Categories
FullBoard Mid Asia SouthAsia

ทัวร์เลห์ ลาดัก

Leh Ladakh​
สรุปทริป
☀️ เลห์ ลาดัก
☀️ 12 วัน 10 คืน  
☀️ เมืองเลห์ ตั้งอยู่ในรัฐลาดักห์ (Ladakh) จุดหมายปลายทางสำหรับการท่องเที่ยวแบบผจญภัย และการถ่ายภาพแบบ Landscape
☀️ Shanti Stupa หรือ “สถูปแห่งสันติภาพ” เป็นโครงสร้างสีขาวที่สง่างาม ตั้งอยู่บนยอดเขา Chanspa ใน Leh
☀️ Nubra Valley มีกิจกรรมเล่นสกีบนเนินทราย ขี่อูฐสองหนอก และเพลิดเพลินกับทุ่งดอกไม้
☀️ Turtuk Village หมู่บ้านที่วิวทิวทัศน์เป็นสีเขียว เส้นทางการค้าสายไหม
☀️ ทะเลสาบแปงกอง ทะเลสาบน้ำเค็มที่สูงที่สุดในโลก น้ำมีสีสันที่งดงามเปลี่ยนสีตามมุมของดวงอาทิตย์ที่ส่องแสงกระทบผืนน้ำ
☀️ Thiksey Monastery วัดในนิกายหมวกเหลือง (นิกายเกลุกปะ) ซึ่งเป็นนิกายเดียวกับของดาไลลามะ เป็นที่ประดิษฐานพระศรีอริยเมตไตรย์
☀️ Shey Palace พระราชวังฤดูร้อน กำแพงถูกฉาบด้วยทองคำผสมทองแดง ภายในมีรูปปั้นของพระศากยมุนี ที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคนี้
☀️ Magnetic Hill เนินเขาแม่เหล็ก โด่งดังจากปรากฏการณ์ รถที่จอดไว้บนเนินเขาโดยไม่ได้เบรคจะไหลขึ้น
☀️ จุดชมวิว Sangam ชมแม่น้ำ 2 สี (จุดบรรจบกันของแม่น้ำซันสการ์ ที่มีสีฟ้า และแม่น้ำสินธุที่มีสีเขียวขุ่น)
☀️ วัดลามายยูรู วัดพุทธแบบทิเบต หนึ่งในวัดที่เก่าแก่และใหญ่ที่สุดใน Ladakh
☀️ วัด Phuktal สร้างขึ้นจากไม้และโคลน ตั้งอยู่บนหน้าผาสูงชัน อดีตเข้าถึงได้ด้วยการเดินเท้าเท่านั้น
☀️ Manali เมืองเก่าที่มีเสน่ห์แบบดั้งเดิม อบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของชา Masala และเสียงดนตรีพื้นเมือง
 
รายละเอียด
🗓️ 1-12 พ.ค. 68
💰 ค่าทริป xxxxx
 
✅️ Full Service
✅️ โรงแรมระดับ 3 ดาว
✅️ รวมอาหารทุกมื้อ
✅️ เดินทางโดยรถ innova หรือ tempo
✅️ มีหัวหน้าทัวร์คนไทย ถ่ายรูปให้
✅️ ค่ากิจกรรม ทุกอย่าง ตามระบุในโปรแกรม
✅️ ประกันอุบัติเหตระหว่างการเดินทาง(สามารถซื้อความคุ้มครองเพิ่มได้)
ไม่รวมค่าตั๋วเครื่องบิน (เราจัดหาให้ได้)
ไม่รวมทิป
 
การจอง / ติดต่อ
 
📱 มัดจำท่านละ 25000 บาท ส่วนที่เหลือ 30 วันก่อนเดินทาง
📱 Line @painaima
📱 โทร 0894789334 
 
📋painaima.com ในนามบริษัทฟีลโซกู๊ดจำกัด เลขใบอนุญาติ 11/8811 เริ่มก่อตั้งปี 2551
📋เงื่อนใขยกเลิกทริป กดที่นี่
 
โปรแกรมโดยย่อ

วันที่ 1 | พบกันที่สนามบิน ออกเดินทางไปเดลี • ต่อไฟลท์ไปยังเมือง Leh
*พักที่เมือง Leh



วันที่ 2 |
 สวนชาลิมาร์ • สวนนิชาท • Gulmarg
*พักที่เมือง Gulmarg



วันที่ 3 |
Hunder • Turtuk • Thang • Hunder (190 Kms I approx. 6-7 hrs)
*พักที่เมือง Nubra 



วันที่ 4 |
Nubra • Pangong Lake via Shyok River Road (150 Kms | approx. 6-7 hrs)
*พักที่เมือง Pangong Lake



วันที่ 5 |
Pangong Lake • Leh (140 Kms | approx. 4-5 hrs)
*พักที่เมือง Leh



วันที่ 6 |
Leh • Lamayuru • Sham Valley (170 Kms | approx. 5-6 hrs)
*พักที่เมือง Sham



วันที่ 7 |
Sham Valley • Lingshed • Padum (215 kms | approx. 7-8 hrs)
*พักที่เมือง Padum



วันที่ 8 |
Padum Sightseeing (104 Kms | approx. 5-6 hrs)
*พักที่เมือง Padum


 

วันที่ 9 | Padum • Jispa via Phuktal ( 150 kms | approx. 6-7 hrs)
*พักที่เมือง Jispa


 

วันที่ 10 | Jispa • Manali (95 Kms I approx. 3-4 hrs)
*พักที่เมือง Manali


 

วันที่ 11 | Manali • Leh • Delhi


 

วันที่ 12 | Bangkok

Categories
07-Jul 09-Sep 2024 FullBoard Mid Asia

ทัวร์คีร์กีซสถาน

KYRGYZSTAN
สรุปทริป
☀️ เส้นทาง คีร์กิสถาน
☀️ 9 วัน 7 คืน ใบไม้เปลี่ยนสี 
☀️ เมืองบิชห์เคก จัตุรัส Ala Too ☀️ Square
☀️ Töö Ashuu Pass
☀️ Kyzyl Oi
☀️ ทะเลสาบ Song Kol Lake
☀️ ทะเลสาบ Issyk
☀️ Skazka Canyon
☀️ เมืองคาราโคล
☀️ สุเหร่าดันแกน
☀️ หอคอยบูราน่า
 
รายละเอียด
 
🗓️ เดินทาง
💰 ค่าทริป  (อ้างอิงราคาตั๋ว ณ วันที่ ….)
 
 
✅️ Full Service เดินทางโดยรถ Minibus กลุ่มเล็กๆ 12 ท่าน 
✅️ เราทำวีซ่าให้ ไม่ต้องวุ่นวาย
✅️ ค่าอาหารทุกมื้อ
✅️ นำทริปโดยคนไทย ถ่ายรูปสวยๆให้
✅️ โรงแรม 4 ดาว ในเมือง นอกเมืองเป็นโรงแรมระดับท้องถิ่น เน้นสะอาด ปลอดภัย
⛔ ไม่รวมค่าตั๋วเครื่องบิน (เราจัดหาให้ได้)
⛔ ไม่รวมทิป
 
การจอง / ติดต่อ
 
📱 มัดจำท่านละ        บาท ส่วนที่เหลือ 30 วันก่อนเดินทาง
📱 Line @painaima
📱 โทร 0894789334 คุณมิ้นท์/คุณลาน
 
โปรแกรมโดยย่อ

วันที่ 1 | Bangkok • Bishkek • เดินเล่นบริเวณจตุรัส Pobeda Square • ชมสวนสาธารณะ Dubovi Park • จัตุรัส Ala Too Square



วันที่ 2 |
เดินทางข้าม Too Ashuu Pass • ไปยังหมู่บ้าน Kyzyl Oi



วันที่ 3 |
เดินทางไปยัง Song Kol Lake • ชมทะเลสาบ Song Kul Lake



วันที่ 4 |
เช้าเดินเล่นตามอัธยาศัย • ไปยังเมือง Naryn เดินเล่นชมเมือง



วันที่ 5 |
ไปยังเมือง Bokonbayevo ชมวิถีชีวิตคนท้องถิ่น • ไปยัง Bokonbayevo Village



วันที่ 6 |
ชมความสวยงามของผา Skazka Canyon • ชม Jeti Oguz Gorge ไปเมือง เมืองคาราโคล



วันที่ 7 |
ชม Sobor Svyatoy Troitsky • สุเหร่าดันแกน • เดินทางผ่านทะเลสาบ อือซิคุล • ชม หอคอยบูราน่า • เดินทางกลับเข้าสู่เมือง Bishkek



วันที่ 8 |
อิสระช้อบปิ้ง และเดินทางไปสนามบิน



วันที่ 9 |
ถึงกรุงเทพฯ

Categories
FullBoard Mid Asia

ทัวร์จอร์เจีย อาร์เมเนีย อาเซอร์ไบจาน

Georgia Armenia Azerbaijan
Roadtrip
สรุปทริป
☀️ เส้นทาง จอเจียร์ อัลเมเนีย อาเซอไบจัน
☀️ 10 วัน 7 คืน 
 
รายละเอียด
 
🗓️ เดินทาง  
💰 ค่าทริป  
 
 ✅️ Road Trip Style* กลุ่มเล็ก 6 ท่าน เที่ยวโดยรถตู้
✅️ นำทริปโดยคนไทย ถ่ายรูปสวยๆให้
✅️ โรงแรม 4 ดาว สวย สะอาด สะดวก มีอาหารเช้า
✅️ ประกันการเดินทาง วงเงิน 2 ล้าน
⛔ ไม่รวมค่าตั๋วเครื่องบิน (เราจัดหาให้ได้)
⛔ ไม่รวมอาหารกลางวันและเย็น
 
 
การจอง / ติดต่อ
 
📱 มัดจำท่านละ 30000 บาท ที่เหลือ 30 วันก่อนเดินทาง
📱 Line @painaima
📱 โทร 0894789334 
 
📋painaima.com ในนามบริษัทฟีลโซกู๊ดจำกัด เลขใบอนุญาติ 11/8811 เริ่มก่อตั้งปี 2551
📋เงื่อนใขยกเลิกทริป กดที่นี่
 
โปรแกรมโดยย่อ

Day 1 : Bangkok 

  • ช่วงคำนัดพบที่สนามบินสุวรรณภูมิ

Day 2 : Dubai – Baku – Gobustan – Rock Painting – Mud Volcanoes

  • เดินทางถึงสนามบินบากู ประเทศอาเซอร์ไบจาน
  • นำท่านเดินทางสู่ เมืองโกบัสตาน (Gobustan) ตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของเมืองบากู เป็นบริเวณที่มีชื่อเสียงมากที่สุด เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีการแกะสลักภาพบนหินของมนุษย์ที่งดงาม
  • ให้ท่านชมความสวยงามของภูเขาหินที่มีการแกะสลักภาพที่เป็นรูปต่างๆ ณ พิพิธภัณฑ์เปิด Rock Painting Open-air Museum ซึ่งได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกในปี ค.ศ.2007 เช่น ภาพการล่าสัตว์ รูปคนเต้นรำ เรือ หมู่ดาวและสัตว์ต่างๆ
  • นำท่านเดินทางสู่ ภูเขาโคลน หรือ Mud Volcanoes หนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงของประเทศอาร์เซอร์ไบจาน และถูกบันทึกลงในกินเนส (Guinness World Record) เมื่อ 5 ก.ย. 2004 ชมความแปลกประหลาดและสวยงามของภูเขาโคลนที่มีชื่อเสียง (Mud Domes) ซึ่งเกิดขึ้นที่บริเวณนี้มีอยู่ประมาณ 700 แห่ง ภูเขาดินโคลนนี้เกิดจากดินเหลวที่อยู่ใต้ดิน ก๊าซและน้ำที่ร้อนเมื่อถูกผสมรวมกัน ก็จะมีการพุ่งขึ้นมาบนพื้นดินเป็นรูปกรวยหรือโดมที่สวยงาม
  • คืนนี้พักที่เมือง Baku

Day 3 : Baku – Icheri Shekher – Palace of Shirvansshakh -Caravansaray – Ateshgah of Baku – Absheron – YanarDag – Tbilisi 

  • นำท่านเที่ยวชม เมืองบากู (Baku) เมืองหลวงและเมืองใหญ่ที่สุดของอาเซอร์ไบจาน ตั้งอยู่ชายฝั่งทางใต้ของคาบสมุทรเล็ก ๆ ที่ยื่นออกไปในทะเลแคสเปียนชื่ออับชิรอน (Abseron) ประกอบด้วยพื้นที่ 3 ส่วน คือ ย่านเมืองเก่า (อิตแชรีแชแฮร์) ตัวเมืองปัจจุบัน และตัวเมืองที่สร้างขึ้นในสมัยโซเวียต
  • จากนั้นนำท่านเดินทางสู่ Icheri Shekher หรือ Inner Town of Baku เมืองนี้ตั้งอยู่ใจกลางกรุงเป็นเมืองที่ถูกสร้างขึ้นโดยมีกำแพงป้อมล้อมรอบและรอบกำแพงจะมีการสร้างเป็นป้อมหอคอยซึ่งมีทั้งหมด 25 แห่งและมีประตูทางเข้าออกถึง 5 แห่ง
  • นำท่านชม พระราชวังแห่งราชวงศ์เชอร์วาน (Palace of Shirvanshahs) สถานที่พำนักของกษัตริย์แห่งราชวงศ์ชีวานผู้ซึ่งครองราชย์มาอย่างยาวนาน ในช่วงศตวรรษที่ 14-17
  • แวะชม คาราวานซาราย (Caravansaray) หรือที่พักแรมของกองคาราวานในยุคค้าขายแห่งเส้นทางสายไหมที่เดินทางมาแวะพักที่เมืองนี้ ที่ถูกสร้างขึ้นมาในศตวรรษที่ 18 และศตวรรษที่ 19
  • เดินทางไปยัง Ateshgah of Baku หรือ Fire Temple of Baku วัดศาสนาฮินดูที่รูปทรงคล้ายปราสาท ตามหลักฐานทางประวัติศาสตร์ของชาวเปอร์เซียและชาวอินเดีย มีจารึกบ่งชี้ว่า สถานที่แห่งนี้ถูกใช้เป็นสถานที่สำหรับบูชาสักการะตามหลักความเชื่อทางศาสนาของคนท้องถิ่น คือ ศาสนาฮินดู ศาสนาซิกซ์ และศาสนาโซโรอัสเตอร์ (ศาสนาโบราณของชาวอิหร่าน) สถานที่แห่งนี้ถูกสร้างขึ้นช่วงศตวรรษที่ 17 และ 18 ไว้สำหรับประกอบพิธีทางศาสนา
  • จากนั้นนำท่านเดินทางต่อสู่แหลมอับเชรอน Absheron ซึ่งเป็นสถานที่ที่ตั้งอยู่บนชั้นของก๊าซธรรมชาติที่ปะทุอยู่ในเปลวไฟอย่างต่อเนื่อง
  • นำท่านสู่ ยูนาร์แดก (Yanar Dag) หรือที่แปลได้ในภาษาท้องถิ่นว่า “Burning Mountain”เป็นแหล่งก๊าซธรรมชาติไฮโดรคาร์บอนที่พวยพุ่งออกมาจากพื้นพิภพผ่านชั้นหินทรายขึ้นมาเป็นแหล่งไฟธรรมชาติที่สวยงาม ทำให้ประเทศอาเซอร์ไบจานถูกขนานนามว่าเป็นดินแดนแห่งอัคคี (Land of Fire)
  • นำท่านเดินทางสู่สนามบินบากูเพื่อเช็คอินออกเดินทางไปสู่ สนามบิน ทบิลิซี่ โดยสายการบินภายในประเทศ
  • เดินทางถึงสนามบินทบิลิซี่ ประเทศจอร์เจีย
  • คืนนี้พักที่เมือง Tbilisi

Day 4 : Tbilisi – Georgia – Ananuri Fortress – Zhinvali reservoir  Gergeti Trinity Church – Kazbegi

  • ระหว่างทางให้ท่านได้ชมป้อมอนานูรี (Ananuri Fortress) เป็นสถานที่ก่อสร้างอันเก่าแก่มีกำแพงล้อมรอบและตั้งอยู่ริมแม่น้ำอรักวี ที่ตั้งอยู่ห่างจากทบิลิซีประมาณ 45 กม.ซึ่งถูกสร้างขึ้นให้เป็นป้อมปราการในศตวรรษที่ 16-17 ภายในยังมีโบสถ์ 2 หลังที่ถูกสร้างได้อย่างงดงามและยังมีหอคอยที่สูงใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่
  • ชมทิวทัศน์อันสวยงามของเบื้องล่างและอ่างเก็บน้ำซินวาลี (Zhinvali Reservoir) และยังมีเขื่อนซึ่งเป็นสถานที่สำคัญสำหรับนำน้ำที่เก็บไว้ส่งต่อไปยังเมืองหลวง พร้อมกับผลิตกระแสไฟฟ้าอีกด้วย
  • นำท่านสัมผัสบรรยากาศในการท่องเที่ยว โดยการนั่ง 4WD เพื่อชมโบสถ์เกอร์เกตี้ (Gergeti Trinity Church) ถูกสร้างขึ้นในราวศตวรรษที่ 14 หรือมีชื่อเรียกกันว่าสมินดา ซาเมบา (Tsminda Sameba) ซึ่งเป็นชื่อที่เรียกที่นิยมกันของโบสถ์ศักดิ์แห่งนี้สถานที่แห่งนี้ตั้งอยู่ริมฝั่งขวาของแม่น้ำชคเฮรี ที่อยู่บนเทือกเขาของคาซเบกี้
  • นำท่านเดินทางสู่เมืองคาซเบกิ (Kazbegi) ซึ่งเป็นชื่อเมืองอันดั้งเดิม แต่ปัจจุบันได้เปลี่ยนมาเป็นชื่อ สเตพ้านท์สมินด้า (Stepantsminda) หลังจากนักบุญในนิกายออร์โธด๊อก ชื่อสเตฟานได้มาพำนักอาศัยและก่อสร้างสถานที่สำหรับจำศีลภาวนาขึ้นมาเมืองคาซเบกี้ เป็นเมืองเล็กๆที่ตั้งอยู่ตามริมฝั่งแม่น้ำเทอร์กี้ที่มีความยาวประมาณ 157 กม. และตั้งอยู่บนความสูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 1,740 เมตร ในฤดูร้อนจะมีอุณหภูมิที่อยู่ปานกลาง และในฤดูหนาวมีอากาศเย็นและยาวนาน อิสระให้ท่านได้เดินเล่นและพักผ่อน
  • คืนนี้พักที่เมือง Kazbegi

Day 5 : Museum of Stalin – Mtskheta – Gori – Uplistsikhe – Tbilisi 

  • นำท่านชมพิพิธภัณฑ์ของสตาลิน (Museum of Stalin) ซึ่งเป็นสถานที่ที่ได้รวบรวมสิ่งของเครื่องใช้ต่างๆ พร้อมทั้งเรื่องราวต่างๆของสตาลิน และยังมีการแสดงถึงประวัติชีวิตตั้งแต่เกิดจนกระทั่งเสียชีวิต
  • นำท่านเดินทางสู่ เมืองมิทสเคต้า (Mtskheta) ที่ตั้งอยู่ทางด้านเหนือ ห่างจากกรุงทบิลิซีประมาณ 20 กม. เมืองนี้นับว่าเป็นเมืองที่มีความเก่าแห่งหนึ่งของประเทศและในปัจจุบันเป็นศูนย์กลางการปกครองของแคว้นมอสเคต้าและเทียนิตี้ มีประชากรอาศัยอยู่ประมาณ 20,000 คน เนื่องจากมีโบราณสถานทางด้านประวัติศาสตร์มากมายหลายแห่ง จึงได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลกในปี ค.ศ.1994 
  • จากนั้นนำท่านชม วิหารสเวติสโคเวลี (Svetitskhoveli Monastery) สัญลักษณ์ของการเปลี่ยนความเชื่อมานับถือศานาคริสต์ซึ่งกลายมาเป็นศาสนาประจำชาติเมื่อปี ค.ศ. 337 และเป็นสิ่งก่อสร้างยุคโบราณที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของจอร์เจีย สร้างขึ้นในคริสตวรรษที่ 11 ภายในจะมีภาพเขียนเฟรสโก้ที่สวยงามประดับอยู่
  • นำท่านไปชมวิหารจวารี (Jvari Monastery) ซึ่งเป็นวิหารในรูปแบบของคริสต์ศาสนาออร์โธดอกซ์ที่ถูกสร้างขึ้นในราวศตวรรษที่ 6 วิหารแห่งนี้ตั้งอยู่บนภูเขาที่มีแม่น้ำสองสายไหลมาบรรจบกัน คือ แม่น้ำมิควารี และแม่น้ำอรักวีและถ้ามองออกไปข้ามเมืองมิทสเคต้าไปยังบริเวณที่กว้างใหญ่ซึ่งในอดีตเคยเป็นอาณาจักรของไอบีเรีย (Kingdom of Iberia) ซึ่งได้เคยปกครองดินแดนในบริเวณนี้ตั้งแต่ 400 ปีก่อนคริสตกาลจนถึงราวคริสต์ศตวรรษที่ 5
  • ออกเดินทางไปยัง เมืองกอรี (GORI) ซึ่งอยู่ทางด้านตะวันตก เป็นเมืองหลวงและศูนย์กลางการปกครองของจังหวัดชีดา คาร์ทลี เป็นเมืองที่ตั้งอยู่บนเนินเขา ในอดีตเคยมีความสำคัญทางด้านทหารในยุคกลางเป็นที่ตั้งของกองกำลังที่อยู่บนถนนสายสำคัญที่เชื่อมกับทางด้านตะวันออกและด้านตะวันตก นอกจากนั้นเมืองนี้ยังเป็นเมืองบ้านเกิดของ โจเซฟ สตาลิน อดีตผู้นำที่มีชื่อเสียงของพรรคคอมมิวนิสต์โซเวียตและอเล็กซานเดอร์ นาดีราซี ผู้เป็นนักออกแบบชื่อดังในด้านจรวดขีปนาวุธข้ามทวีปของโซเวียต
  • นำท่านเดินทางสู่ เมืองอัพลิสต์ซิเคห์ (Uplistsikhe) เป็นบริเวณถ้ำที่ถูกทำขึ้นเพื่อเป็นที่อยู่อาศัยของมนุษย์ในยุคการเริ่มต้นราวศตวรรษที่ 8-7 ก่อนคริสตกาล ซึ่งในอดีตเป็นเส้นทางการค้าขายสินค้าจากอินเดียสู่ทางด้านเหนือแถบหมู่บ้านมทวารีและหุบเขารีโอนีไปยังทะเลดำและต่อไปยังด้านตะวันตก ทำให้เกิดการพัฒนาการเป็นเมืองต่างๆหลายเมือง และอัพลิสต์ซิคห์ ก็เป็นเมืองหนึ่งที่เป็นศูนย์กลางการค้าได้ถูกสร้างขึ้นในราวพันปีก่อนคริสตกาล ต่อมาก็ได้ถูกขยายออกไปจนกว้างขวาง
  • เดินทางกลับเมือง Tbilisi เมืองหลวงของ ประเทศจอร์เจีย (Georgia)
  • นำท่านเที่ยวชม ย่านเมืองเก่าแห่งนครหลวงทบิลิซี่ (Old town of Tbilisi) ซึ่งมองไปทางไหนก็เห็นแต่ความอ่อนหวานของสีสันอาคารบ้านเรือน สถาปัตยกรรมอันโดดเด่นที่ผสมผสานศิลปะแบบเปอร์เซียและยุโรป อาจกล่าวได้ว่า นี่คือการบรรจบกันของตะวันออกและตะวันตกของประเทศที่ตั้งอยู่ระหว่างสองทวีปอย่างจอร์เจีย เกิดเป็นศิลปะแบบจอร์เจียที่มีเอกลักษณ์
  • คืนนี้พักที่ เมือง Tbilisi

Day 6 : Tbilisi – Peace bridge – Narigala Fortress – Metekhi Church  Sadakhlo

  • นำท่านถ่ายรูปกับสะพานสันติภาพ (Peace bridge) สะพานความยาว 150 เมตรซึ่งเชื่อมระหว่างตัวเมืองเก่าและเมืองใหม่ เปิดใช้งานครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ.2010 จัดว่าเป็นงานสถาปัตยกรรมยุคใหม่ที่สวยงามชิ้นหนึ่งซึ่งพาดผ่านแม่น้ำคูรา
  • จากนั้นนำท่านนั่งกระเช้าเคเบิ้ลขึ้นชม ป้อมนาริกาลา (Narigala Fortress) ป้อมปราการโบราณสมัยยุคศตวรรษที่ 4 ซึ่งนักประวัติศาสตร์ยกย่องว่าเป็นป้อมปราการป้อมหนึ่งบนเส้นทางสายไหมที่แข็งแกร่งและตีได้ยากที่สุด อิสระให้ท่านได้เก็บภาพมุมสูงของเมืองทบิลิซตามอัธยาศัย
  • หลังจากนั้นนำท่านชม โบสถ์เมเตคี (Metekhi Church) โบสถ์เก่าแก่อายุราว 800 ปีซึ่งสร้างอุทิศให้แก่พระแม่มารีตั้งอยู่เหนือเนินผาสูงริมแม่น้ำมิทควารี (Mtkvari River) โดยมีอนุสาวรีย์ทรงม้าของกษัตริย์ Vakhtang Gorgasali ผู้สถาปนาทบิลิซีเป็นนครหลวง ตั้งตระหง่านอยู่คู่กัน ในอดีตโบสถ์ถูกทำลายและได้รับการบูรณะอยู่หลายครั้ง เคยถูกใช้เป็นคุกในยุคที่ราชวงศ์ซาร์สปกครอง และเปลี่ยนมาเป็นโรงละครในยุคโซเวียต และได้รับการบูรณะล่าสุดปลายปี 1980 เพื่อเป็นโบสถ์ออร์โธดอกซ์ของเมือง
  • เดินทางสู่ เมืองซาดาโคล (Sadakhlo) อยู่ทางด้านใต้ซึ่งเป็นเมืองพรมแดนที่อยู่ติดกับอาร์เมเนียและยังตั้งอยู่ใกล้กับประเทศอาร์เซอร์ไบจาน ตลอดเส้นทางท่านจะได้ชมวิวทิวทัศน์และธรรมชาติอันสวยของเทือกเขาคอเคซัสน้อย ที่อยู่ระหว่างอาร์เมเนียและอาร์เซอร์ไบจาน นำท่านผ่านด่านเมืองซาดาโคลและข้ามพรมแดนโดยมีเมืองอะลาเวอดี (Alaverdi) ที่เป็นเมืองชายแดนของอาร์เมเนียที่อยู่ติดกับจอร์เจีย
  • คืนนี้พักที่เมือง Sadakhlo

Day 7 : Sadakhlo – Haghpat city – Sanahin  Monastery 

  • นำท่านเดินทางสู่เมืองฮักห์พาท (Haghpat) เป็นเมืองในหมู่บ้านของจังหวัดลอรี่ที่อยู่ทางด้านเหนือของอาร์เมเนียเมืองนี้เป็นเมืองที่มีชื่อเสียงเพราะเป็นที่ตั้งของวัดอารามโบราณทั้งสองแห่งให้ท่านได้ชมความสวยงามของอารามฮักห์พาท (Haghpat Monastery) ซึ่งถือได้เป็นผลงานชิ้นเอกของทางด้านศาสนาและทางด้านสถาปัตยกรรมในการก่อสร้างในยุคกลางอารามแห่งนี้ได้ถูกสร้างขึ้นโดยนักบุญนิชาน (Saint Nishan) ในราวศตวรรษที่ 10 ซึ่งอยู่ในระหว่างการขึ้นครองราชย์ของกษัตริย์อะบาส ที่ 1 (King Abas I) อารามแห่งนี้ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกของโลกในปีค.ศ.1996ซึ่งอดีตเป็นเพียงตัวโบสถ์เล็กๆ ของนักบุญนิชานที่ถูกสร้างขึ้นช่วงปีค.ศ.967 ต่อมาก็ได้ถูกสร้างขยายให้ใหญ่โตขึ้นและมีการตกแต่งด้วยสถาปัตยกรรมที่สวยงามแบบอาร์เมเนียน
  • ชมอารามโบราณสองแห่ง อารามฮัคพัท (Haghpat Monastry) และอารามซานาฮิน (Sanahin Monastery) ซึ่งตั้งอยู่ในเมืองฮักห์พาท (Haghpat) ทางตอนเหนือของประเทศ โดยอารามทั้งสองแห่งได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกเมื่อปี 1996 สร้างขึ้นในยุครุ่งเรืองของราชวงศ์คลูริเคียน (Klurikain Dynasty) ราวคริสต์ศตวรรษที่ 10-13 มีรูปแบบทางสถาปัตยกรรมผสมผสานระหว่างแบบไบแซนไทน์กับแบบพื้นถิ่นคอเคเซียน สำหรับอารามทั้งสองยังคงอยู่ในสภาพสมบูรณ์เกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ แม้จะผ่านกาลเวลามานับพันปีแล้วก็ตาม
  • คืนนี้พักที่เมือง Haghpat

Day 8 : Dilijan – Sevan city – Geghard – Khor Virap

  • เดินทางสู่เมืองดีลีจาน (Dilijan) สถานที่แห่งนี้จึงได้ชื่อว่า “สวิตเซอร์แลนด์น้อยแห่งอาร์เมเนีย” (Little Switzerland of Armenia) ตั้งอยู่สูงจากระดับน้ำทะเล 1,500 เมตร จึงทำให้อากาศหนาวเย็นตลอดทั้งปี
  • นำท่านเดินทางสู่ เมืองเซวาน (Sevan) ที่ตั้งอยู่ริมทะเลสาบเซวาน (Lake Sevan) ซึ่งเป็นทะเลสาบน้ำจืดและทะเลปิดในประเทศอาร์เมเนียและคอเคซัสทะเลสาบนี้เป็นหนึ่งในทะเลสาบน้ำจืดที่ใหญ่ที่สุดในโลกทะเลสาบเซวานล้อมรอบไปด้วยแม่น้ำหลายสาย เช่น แม่น้ำฮราซดานและแม่น้ำมาสริค ล่องเรือชมความสวยงามของทะเลสาบเซวาน (การล่องเรือขึ้นกับสภาพอากาศ) ตัวเมืองนี้ตั้งอยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเลประมาณ 1,900 เมตร เมืองนี้ถูกสร้างขึ้นในปี ค.ศ.1842 ซึ่งเป็นหมู่บ้านพักอาศัยของชาวรัสเซียที่มีชื่อว่า เยเลนอฟก้า (Yelenovka) จนถึงปีค.ศ.1935 จึงได้ถูกเปลี่ยนชื่อเป็น เซวาน 
  • นำท่านแวะชมอารามเซวาน (Sevan Monastery) หรือมีชื่อเรียกว่า เซวานาแว๊งค์ (Sevanavank) ซึ่งคำว่าแว๊งค์เป็นภาษาอาร์เมเนีย มีความหมายว่า โบสถ์วิหาร สถานที่แห่งนี้ตั้งอยู่บริเวณแหลมที่อยู่ทางด้านตะวันตกเฉียงเหนือของฝั่งทะเลสาบเซวาน ถูกสร้างขึ้นในปีค.ศ.874 โดยเจ้าหญิงมาเรียม ซึ่งเป็นธิดาของกษัตริย์อะช๊อต ที่ 1 ซึ่งอยู่ในช่วงของการต่อสู้กับพวกอาหรับที่ปกครองดินแดนแห่งนี้
  • นำท่านเดินทางสู่วิหารเกกฮาร์ด (Geghard Monastery) ซึ่งถือเป็นหนึ่งในความสวยงามของอาร์เมเนียเพราะเป็นวิหารที่สร้างอยู่ท่ามกลางเทือกเขาที่สวยงามและยังมีส่วนที่สร้างโดยการตัดหินเข้าไปในภูเขาอีกด้วยแม้ตัวอาคารของวิหารเกกฮาร์ดนี้ถูกสร้างขึ้นในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 12-13 แต่สำนักสงฆ์โบราณแห่งนี้ ได้ถูกก่อตั้งขึ้นตั้งแต่เมื่อราวศตวรรษที่ 4 อิสระให้ท่านชมส่วนของห้องโถงของตัวโบสถ์ที่มีการตัดหินสร้างเป็นโดมแกะสลักอย่างสวยงามที่ถูกตกแต่งด้วยความศรัทธาในศาสนาคริสต์วิหารที่สร้างโดยการตัดหินให้กลายเป็นห้องโถงและได้ขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลกเมื่อปี ค.ศ. 2000
  • จากนั้นนำท่านเข้าชมวิหารการ์นี (Garni Temple) ซึ่งในอดีตเมื่อประมาณ 1,700 ปีมาแล้วบริเวณนี้เคยเป็นพระราชวังฤดูร้อนของกษัตริย์อาร์เมเนียซึ่งในปัจจุบันยังคงมีหลงเหลืออยู่ ซากห้องสรงน้ำ (Royal Bath House) และอาคารทรงกรีกที่ถูกสร้างขึ้นในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 1 ตามพระราชประสงค์ของกษัตริย์ Tiridates ด้านข้างของวิหารทรงกรีกก็มีซากโบสถ์คริสต์ที่สร้างขึ้นเมื่อคริสต์ศตวรรษที่ 9 หลงเหลืออยู่ วิหารแห่งนี้ถูกทำลายด้วยแผ่นดินไหวเมื่อปี ค.ศ. 1679
  • Garni Gorge เป็นช่องเขาที่สวยงามสะดุดตา หน้าผาเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นเสาหินบะซอลต์ที่ได้รับการอนุรักษ์ไว้เป็นอย่างดี ความเป็นธรรมชาตินี้คนท้องถิ่นขนานนามว่า “ซิมโฟนีออฟสโตน”
  • นำท่านไปชมวิหารคอร์วิราพ (Khor Virap) เป็นสถานที่มีชื่อเสียงที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์สถานสำหรับพิธีจาริกแสวงบุญให้กับผู้มีชื่อเสียง คือ ท่านกรีกอร์ ลูซาวอริช (Grigor Lusavorich) ผู้ซึ่งกลายมาเป็นนักบุญเกกอรี่ที่ เป็นผู้เผยแผ่ทางด้านศาสนาฯ และต่อมาได้ถูกจองจำอยู่ในคุกนี้ถึง 13 ปีโดยคำสั่งของกษัตริย์ทิริเดท ที่ 3 แห่งอาร์เมเนีย ภายหลังท่านได้รับการยอมรับนับถือและแต่งตั้งให้เป็นพระสังฆราชองค์แรก
  • คืนนี้พักเมืองเยเรวาน

Day 9 : Yerevan

  • หลังอาหารเช้า ชมเมืองเยเรวาน
  • Armenian Genocide Memorial & Museum อนุสรณ์การสังหารหมู่ของอาร์เมเนียในจักรวรรดิออตโตมันในปี 1915 ถึง 1922 บนยอดเขาด้านบนเป็นอนุสรณ์ของยอดแหลมสูง 44 เมตรถัดจากแผ่นหินบะซอลต์ 12 แผ่นที่พาดผ่านเพื่อป้องกันเปลวไฟนิรันดร์
  • ชม The Iranian Blue Mosque มัสยิดบลูในเยเรวานเป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในและเป็นสถานที่ที่ควรค่าแก่การเยี่ยมชมเมื่อเดินทางไปเยเรวาน มัสยิดเก่าแก่นี้สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 18 เรียกว่า Blue Mosque เพราะสีน้ำเงินเป็นสีเด่นที่พบได้ทั้งทางเข้าและบนกระเบื้อง
  • ชมบริเวณรอบๆ ตัวเมืองหลวง เช่น จัตุรัสสาธารณะ (Republic Square) มหาวิทยาลัยของรัฐ (State University) ชมวิวทิวทัศน์ของเมือง (City Panorama)
  • จากนั้นนำท่านแวะถ่ายรูปกับ Yerevan Cascade อีกหนึ่งพิพิธภัณฑ์เปิด (Open-air museum) ของเมืองเยเรวาน ซึ่งมีความงดงามทางศิลปะเป็นอย่างยิ่ง ประกอบด้วยกลุ่มบันได 5 ชั้น ซึ่งรายล้อมด้วยสวนดอกไม้และรูปปั้นมากมาย ซึ่งเป็นส่วนเชื่อมต่อไปยังพิพิธภัณฑ์ศิลปะสมัยใหม่ โรงละครโอเปร่า และอนุสาวรีย์อิสรภาพ
  • ชมความสวยงามของ วิหารเอคมิอัดซิน (Echmiadzin Cathedral) ซึ่งแต่เดิมนั้นเป็นที่รู้จักกันในนามของโบสถ์ศักดิ์สิทธิ์แห่งพระแม่เจ้า (Holy Mother of God Church) เป็นโบสถ์ที่ถูกสร้างขึ้นในราวศตวรรษที่ 4 และได้ชื่อว่าเป็นโบสถ์ที่เก่าแก่ที่สุดของโลก
  • นำท่านเดินทางสู่ สนามบินสวาร์นอท เพื่อเดินทางกลับกรุงเทพฯ

Day 10 : Bangkok

  • เดินทางถึงสนามบินสุวรรณภูมิ กรุงเทพฯโดยสวัสดิภาพ

***รายการอาจจะมีการเปลี่ยนแปลงตามความเหมาะสม***

Categories
10-Oct 2024 FullBoard Mid Asia SouthAsia

ทัวร์อินเดีย ราชาสถาน

Rajastan
สรุปทริป
☀️ เส้นทาง ราชาสถาน

☀️ 9 วัน

 รายละเอียด
 
🗓️ เดินทาง 
💰 ค่าทริป
  
✅️ Full service ออกกรุ๊ปเมื่อครบ 10 ท่าน
✅️ ที่พักแบบ 4-5 ดาว
✅️ รวมอาหารทุกมื้อ
✅️ มีหัวหน้าทัวร์คนไทย ถ่ายรูปให้ 
✅️ เดินทางด้วย Minibus Tempo
✅️ ประกันอุบัติเหตุ (ซื้อความคุ้มค้องเพิ่มได้)
⛔ ไม่รวมค่าตั๋วเครื่องบิน (เราจัดหาให้ได้)
⛔ ไม่รวมทิป
   
การจอง / ติดต่อ
 
📱 มัดจำท่านละ         บาท ส่วนที่เหลือ 30 วันก่อนเดินทาง
📱 Line @painaima
📱 โทร 0894789334 
 
📋painaima.com ในนามบริษัทฟีลโซกู๊ดจำกัด เลขใบอนุญาติ 11/8811 เริ่มก่อตั้งปี 2551
📋เงื่อนใขยกเลิกทริป กดที่นี่
 
โปรแกรมโดยย่อ
  • พบกันที่ท่าอากาศยานสุวรรรภูมิ
  • เดินทางสู่เมืองเดลี
  • เดินทางถึงสนามบินเดลี รอต่อเครื่องเพื่อเดินทางสู่เมือง Udaipur โดยสายการบินภายในประเทศ
  • ถึงสนามบิน Udaipur จากนั้นพาไปชม ทะเลสาบพิโชล่า (PICHOLA LAKE) ชมทิวทัศน์รอบทะเลสาบที่มี ขนาดกว้าง 3 กม. และยาว 4 กม. ภายในทะเลสาปแห่งนี้มีเกาะตั้งอยู่ 4 เกาะ
  • ชม JAGDISH TEMPLE วัดที่ใหญ่ที่สุดของเมือง UDAIPUR และเป็นวัดที่เคารพสักการะสำหรับชาวเมืองเป็นอย่างมาก สร้างขึ้นตั้งแต่ปี ค.ศ. 1651 เป็นเทวาลัยที่สร้างขึ้นเพื่ออุทิศให้กับเทพจักกนาถ (LORD JAGGANATH) ซึ่งเป็นอวตารลำดับที่ 9 ของพระวิษณุ โดยเทวาลัยแห่งนี้ถือได้ว่าเป็น 1 ในสถานที่ท่องเที่ยวหลักในเมืองอุทัยปุระ เนื่องจากลักษณะเด่นทางสถาปัตยกรรม 
  • พักที่ Mewargarh ระดับ 4 ดาวหรือเทียบเท่า
  • ชม วัดเชนแห่งเมืองรานัคปุระ (Jain Temple) วัดเชนแห่งเมืองรานัคปุระ ถูกสร้างขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 16 โดยวิหารแห่งนี้ถือได้ว่าเป็นศูนย์กลางเส้นทางแสวงบุญของศาสนิกผู้นับถือศาสนาเชน ตัวอาคารสร้างมาจากหินอ่อนและใช้เสาค้ำตัวอาคารถึง 1444 ต้น ภายในประดิษฐานพระอธินาถหรือพระวิษณุ
  • นำท่านชม ซิตี้พาเลซ(City Palace) หรือพระราชวังฤดูหนาว สร้างโดย Maharana Udai Signh II ในปี 1559 มีสถาปัตยกรรมแบบผสมระหว่างยุโรปและจีนเข้าด้วยกัน ตั้งตระหง่านอยู่บนฝั่งริมทะเลสาบ Pichola ที่พระราชวังมีสนามหญ้า, ศาลา ,ระเบียง สร้างด้วยหินแกรนิตและหินอ่อน ภายในประดับด้วยกระจกและแก้วหลากสี ประกอบด้วย 11 พระราชวัง
  • ชม ฟาเตห์ ประการห์ พาเลซ(Fateh Prakash Palace) ตั้งอยู่ทางตะวันออกริมทะเลสาบ Pichola ตั้งตามชื่อ Maharana Fateh Singh หนึ่งในผู้ปกครองที่ยิ่งใหญ่ของราชวงศ์ Mewar พระราชวังที่สวยงามแห่งนี้มีป้อมปราการที่โดดเด่นและโดมคู่บารมี ภาพวาดและคริสตัลอันล้ำค่า มีเฟอร์นิเจอร์ไม้ ที่แกะสลักสวยงาม ปัจจุบันบางส่วนได้กลายเป็นโรงแรมที่พัก
  • มุ่งหน้าสู่ เมืองโจดปูร์ หรือ เมืองโยธปุระ เมืองที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับสองในแคว้นราชาสถาน ได้ชื่อว่า เมืองสีฟ้า เพราะบ้านเรือนนิยมทาด้วยสีฟ้าซึ่งถือเป็นสีสัญลักษณ์ของพราหมณ์
  • พักที่ Raj Bagh ระดับ 4 ดาวหรือเทียบเท่า
  • เที่ยวชม ป้อมปราการเมห์รันกาห์ (Mehrangarh Fort) ถือได้ว่าเป็น 1 ใน 4 ของพระราชวังแบบป้อมปราการที่ใหญ่ที่สุดในประเทศอินเดีย ที่กินเนื้อที่อาณาบริเวณภูเขา 125 ลูก ภายในมีพระราชวังที่สวยงามและเป็นจุดชมวิวมหานครสีฟ้าที่งดงาม
  • นำชม พิพิธภัณฑ์พระราชวังอุเหมาบาวัน (Umaid Bhavan Palace) สร้างขึ้นในปี1929 เป็นพระราชวังที่ก่อสร้างขึ้นในยุคใหม่และเป็นพระราชวังสุดท้ายที่สร้างขึ้นก่อนอินเดียได้รับอิสรภาพจากอังกฤษ โดยใช้ฝีมือแรงงานกว่า 3,000 คน และใช้เวลาก่อสร้างถึง 15 ปีกว่าจะแล้วเสร็จ ภายในพระราชวังแห่งนี้ประกอบด้วยห้องต่างๆ 347 ห้อง แบ่งเป็นห้องจัดงานเลี้ยงที่จุคนได้ราว 1,000 คน ถึง 8 ห้อง นอกจากนี้ยังมีโรงภาพยนตร์ รวมถึงสระน้ำขนาดยักษ์อยู่ชั้นใต้ดินด้วย
  • ชม อนุสรณ์สถานจัสวานธาดา (Jaswant Thada) อาคารที่สร้างด้วยหินอ่อนทั้งตัวอาคาร ถูกใช้เป็นสุสานหลวงที่ฝังพระศพของมหาราชา จัสวาน สิงห์ที่สองและราชนิกูลองค์อื่นๆ
  • พักที่ Raj Bagh ระดับ 4 ดาวหรือเทียบเท่า
  • เดินทางสู่เมืองแอจเมอร์ เป็นหนึ่งในหัวเมืองหรือเขตปกครองที่สำคัญของรัฐราชาสถาน โดยเมืองแอจเมอร์ถูกสร้างขึ้นโดยชาคัมบารี ชาห์ฮามานา (เชาฮัน) เมืองแอจเมอร์เป็นเมืองที่ถูกขาอราวัลลี่โอบล้อมไว้ และเป็นเมืองที่เป็นศูนย์กลางการจาริกแสวงบุญของศาสนาอิสลามนิกายซูฟี
  • ชม Dargah Sharif สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของชาวมุสลิม เป็นสุสานของนักบุญนิกายซูฟี “ควาจาห์ มออินุดดิน ชิสที (KHWAJA MOINUDDIN CHISHTI)” ซึ่งตั้งอยู่บนเชิงเขาทาราการ์ ซึ่งภายในสถานที่แห่งนี้ประกอบด้วยอาคารหินอ่อนสีขาวที่มีประตูขนาดมหึมาที่นิซามแห่งไฮเดอราบัดเป็นผู้สร้างถวาย
  • เดินทางต่อไปเมืองพุชคาร์ ซึ่งเป็นเมืองเล็กๆ ริมทะเลสาบพุชคาร์อันศักดิ์สิทธิ์ เป็นสถานที่แสวงบุญของชาวฮินดู เป็นเมืองมังสวิรัติ เป็นเมืองที่ปลอดเนื้อสัตว์ ปลอดไข่ ปลอดแอลกอฮอล์อย่างเคร่งครัด เป็นเมืองเก่าแก่ ตึกรามบ้านช่องสีขาวเรียงรายรอบทะเลสาบ
  • นำท่านชม วัดพระพรหม ที่มีชื่อเสียง เป็นที่รู้จักกันในนาม Jagatpita Brahma Mandir เป็นเทวาลัยที่เชื่อว่าถูกสร้างขึ้นมาแล้ว 2,000 ปีและมาบูรณะปฏิสังขรณ์ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่14 โดยเทวาลาลัยแห่งนี้ถือได้ว่าเป็น 1 ในเทวาลัยอันมีไม่มากในโลกแห่งนี้ที่เป็นเทวาลัยของพระพรหม
  • ชม ทะเลสาบ PUSHKAR ตั้งอยู่ที่เมืองพุชคาร์ ที่นี่เป็นเมืองในตำนานของศาสนาฮินดู มีความเชื่อว่า เป็นบ้านเกิดของพระพรหม ทุกๆปีจะมีชาวฮินดูเดินทางออกมาแสวงบุญและอาบน้ำที่ทะเลสาบแห่งนี้
  • พักที่ Brahma Horizon ระดับ 4 ดาวหรือเทียบเท่า
  • เดินทางไปยังเมืองชัยปูร์ เป็นเมืองหลวงและเมืองที่ใหญ่ที่สุดในแคว้นราชาสถาน โดยท่านมหาราชา ไสวชัย สิงห์ ที่ 2 (Maharaja Sawei Jai Singh II) เป็นผู้สร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1727 หรือเรียกว่า นครแห่งชัยชนะ
  • ชม Nahargarh Fort เป็นจุดชมวิวซึ่งสามารถมองเห็นเมืองจัยปูร์ได้แบบกว้างๆและชัดเจนอีกหนึ่งของเมือง ตั้งอยู่เทือกเขา Aravalli Hills ซึ่งเดิมทีป้อมแห่งนี้เคยเป็นปราการกำแพงป้องกันเมืองเมื่อในอดีต แต่ในทุกวันนี้กลับกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีความยิ่งใหญ่และงดงามอลังการไม่แพ้ที่ไหน ๆ ในราชาสถาน
  • ชม Hawa Mahal พาเลซออฟวินด์ หรือพระราชวังแห่งสายลม สร้างในปี ค.ศ.1799 เป็นอาคาร 5 ชั้นสร้างด้วยหินทรายออกแดงคล้ายสีปูนแห้ง สถาปัตยกรรมสไตล์เปอร์เซียกับโมกุล มีหน้าต่างถึง 953 ช่อง คำว่า ฮาวา หมายถึงสายลม ซึ่งถือเป้็นสัญลักษณ์แห่งจัยปูร์ จนได้ชื่อว่าเป็นเมืองสีชมพู
  • พักที่ Clarks Amer ระดับ 4 ดาวหรือเทียบเท่า
  • เดินทางสู่สนามบิน เพื่อเตรียมตัวเดินทางไปยังเมืองจัยซาแมร์ โดยสายการบินภายในประเทศ
  • เดินทางถึงเมืองจัยซาแมร์ เป็นเมืองที่ได้รับสมญานามว่า นครสีทอง ตั้งอยู่บนที่ราบสูง กลางทะเลทรายธาร์ เมืองแห่งนี้ก่อสร้างขึ้นจากหินทรายสีเหลือง
  • นำชมป้อมจัยซาแมร์ (Jaisalmer Fort) ปราการขนาดใหญ่ที่อยู่ท่ามกลางทะเลสาบ สร้างโดยมหาราชา วัลไจซัล สร้างขึ้นใน ปี 1156 รอบๆ ป้อมจัยซาแมร์มีหอรบถึง 99 หอ โดยศัตรูหลักของเมืองนี้คือบรรดา เจ้าราชปุตของนครต่างๆ รวมถึงจักรพรรดิอัคบาร์แห่งโมกุล ปัจจุบันป้อมจัยซาแมร์ เป็นป้อมเดียวในอินเดียที่มีผู้คนอาศัยอยู่ด้านบน
  • นำชม พระราชวังของมหาราวัล (Palace of the Maharawal) ตั้งอยู่ด้านขวามือของป้อมจัยซาแมร์ เป็นพระราชวังขนาด 5 ชั้น แบ่งเป็นห้องต่างๆ ซึ่งตกแต่งสวยงามตามสไตล์ราชปุต โดยห้องที่โดดเด่นที่สุดของที่นี่คือ กัชวิลล่าส์ (Gaj Villas) ซึ่งบุผนังด้วยกระเบื้องลายสีฟ้าเข้มจากประเทศฮอลแลนด์
  • เดินทางสู่ เนินทรายแซม (Sam Dune) ขี่อูฐชมทะเลทรายกับภูมิทัศน์ที่แสนงดงามของขอบฟ้าจรดกับผืนทราย รอชมพระอาทิตย์อัสดงกลางทะเลทราย อันเป็นภาพที่น่าสุดแสนประทับใจ
  • พักที่ Hotel Rang Mahal Jaisalmer โรงแรมระดับ 4 ดาว
  • ชม วัดเชน (Jain Temples) ตั้งอยู่บนป้อมจัยซาแมร์ กลุ่มวัดเชน ประกอบด้วยวัด 7 วัด มีวัดประธานซึ่งมีขนาดใหญ่สุดมีชื่อว่า ซานดราปราพู ส่วนอีก 6 วัด ได้แก่ วัดซานตินาท วัดสัมพนาท วัดซิตาลนาท วัดปาราสนาท วัดริคาบเดฟ และวัดคุณธูนาท ซึ่งแต่ละวัดก็สร้างเพื่อถวายแด่ศาสดาของศาสนาเชน ทั้งนี้วัดทั้งหมดยังสร้างเชื่อมถึงกัน ทำให้สามารถเดินเข้าออกแต่ละวัดได้อย่างสะดวก
  • ชม ฮาเวลีพัทวันกี (Patwon Ki Haveli) เป็นคฤหาสน์ที่มีขนาดใหญ่และหรูหราที่สุดในบรรดาฮาเวลีด้วยกัน ใช้เวลาในการสร้าง 50 ปี ความโดดเด่นอยู่ที่มีจาโรกัส (ระเบียงและซุ้มหน้าต่างที่ยื่นออกมาล้อมรอบคฤหาสน์) มากถึง 66 ระเบียง
  • นำท่านชม Saalam Singh Ki Haweli หรือพระตำหนักไข่มุก ซึ่งมี จุดเด่นอยู่ที่การนำเปลือกหอยมุกมาบด
  • ชม ทะเลสาบกาดซิซาร์ (Gadsisar Lake) เป็นทะเลสาบเก่าแก่ประจำเมือง จัยซาแมร์ สร้างโดยมหาราชา วาลกาดซี ราวค.ศ. 1367 ซึ่งทะเลสาบนี้เป็นแหล่งน้ำที่สำคัญของเมืองจัยซาแมร์ รอบๆ ทะเลสาบจะมีวัดและอนุสรณ์สถานเล็กๆ สีเหลืองทองอร่าม
  • เดินทางกลับเมืองจัยปูร์ โดยสายการบินภายในประเทศ
  • พักที่ Clarks Amer ระดับ 4 ดาวหรือเทียบเท่า
  • นำท่านชม พระราชวังแอมเบอร์ฟอร์ท (Amber fort) ซึ่งตั้งตระหง่านอยู่บนเนินเขาสูงเหนือทะเลสาบเมาตา (MAOTA LAKE) และรายล้อมไปด้วยชุมชนของเขตเมืองเก่า เดิมทีสถานที่แห่งนี้เคยเป็นที่ตั้งของป้อมปราการเก่า ในยุคศตวรรษที่ 11โดยพระราชวังแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นในปี คริสต์ศักราช 1592 โดยมหาราชาแมน ซิงห์ แล้วเสร็จในรัชกาลของมหาราชาใจ ซิงห์ ป้อมปราการแห่งนี้ยังถือได้ว่าเป็นต้นแบบสถาปัตยกรรมราชปุต (RAJPUT) หากต้องการขี่ช้างแทนการนั่งรถจี๊ป จะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม และการขี่ช้างจะต้องเผื่อเวลาเพิ่มเติม 
  • ชมพระตำหนักกลางน้ำ JAL MAHAL เป็นพระตำหนักฤดูร้อนของมหาราชาแห่งชัยปุระ สร้างโดยมหาราชาประตาปซิงห์ อยู่กลางทะเลสาบมานสาการ์ ในสมัยก่อนมหาราชาทรงมาประทับที่นี่ในช่วงฤดูร้อน เพื่อหลีกหลีความร้อน เป็นสถาปัตยกรรมที่งดงามและประณีต ประดับตกแต่งไปด้วยพลอยหลากสี
  • ชมซิตี้พาเลช (City Palace) ซึ่งครอบคลุมพื้นที่ถึง 1 ใน 7 ของใจกลางเมือง ถูกสร้างขึ้นในรัชกาลของมหาราชาจัย ซิงห์ และถูกต่อเติมเรื่อยมา เป็นสถาปัตยกรรมแบบราชาสถานที่มีกลิ่นอายศิลปะแบบโมกุล พระราชวังแห่งนี้ถูกใช้เป็นพิพิธภัณฑ์ ของเมืองชัยปุระที่แสดงเครื่องใช้ส่วนพระองค์ของมหาราชาแห่งเมืองชัยปุระ
  • ชมหอดูดาว จันทราแมนทาร์ สร้างขึ้นในปีค.ศ. 1727 โดยมหาราชาใจสิงห์ พระองค์ยังทรงเป็นกษัตริย์นักดาราศาสตร์ จึงทรงสร้างหอดูดาวและอุปกรณ์ดาราศาสตร์ขนาดใหญ่ไว้มากมาย เรียกว่า Jantar Mantar ชมนาฬิกาแดด สูงถึง 28 เมตร ที่ยังเที่ยงตรงอยู่
  • เดินทางไปสนามบิน เพื่อเตรียมตัวเดินทางกลับกรุงเทพฯ
  • กลับถึงท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ โดยสวัสดิภาพและความประทับใจ
error: บทความทั้งหมดเป็นลิขสิทธิ์ของไปไหนมาดอทคอม