Categories
Europe

ทัวร์กรีนแลนด์ ฟาโรห์

ทัวร์กรีนแลนด์-ฟาโรห์

Highlight

Day 1 : Bangkok  

  • นัดพบกันที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ  

Day 2: Bangkok – Copenhagen – Faroe Island –Kirkjubour Magnus Catherdal – Torshavn 

  • ถึงสนามบิน โคเปนฮาเกน จากนั้นต่อเครื่องภายในประเทศ ไปยัง สนามบิน Sorvagur แห่งแฟโร โดยสายการบิน Scandinavian Airlines  
  • ชมหมู่เกาะแฟโร (Faroe Island) เป็นประเทศในกลุ่มเกาะจำนวน 18 เกาะ ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของ มหาสมุทรแอตแลนติกระหว่างสกอตแลนด์ นอร์เวย์และไอซ์แลนด์หมู่เกาะแฟโรเป็นเขตการปกครองตนเองของ เดนมาร์ก ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2491 โดยมีสถานภาพเหมือนกับกรีนแลนด์มีอำนาจในการปกครองตนเองทุกด้าน 
  • ชม Trøllkonufingur (Witches Finger) เสาหินรูปร่างประหลาดและโดดเด่นที่ขึ้นตรงชายฝั่ง Vágar คนแฟโรได้ตั้งชื่อนี้เป็นเพราะมีลักษณะที่คล้ายนิ้วของแม่มดและมีตำนานว่าแม่มดได้สร้างเสาหินนี้ขึ้นมายังชายฝั่งอีกด้วย 
  • ชมมืองเคิร์กจูบูเออร์ (Kirkjubour) หมู่บ้านเล็กๆทางตอนใต้ของเกาะแฟโร เป็นหมู่บ้านที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ และมีบ้านไม้ที่อายุเก่าแก่ที่สุดซึ่งสร้างต้้งแต่ศตวรรษที่ 11
  • ชม โบสถ์หินโบราณแมกนาส (Magnus Catherdal) ชมความงดงามของโบสถ์หินโบราณที่ยังคงอนุรักษ์ไว้จนถึงปัจจุบัน พร้อมทั้งดื่มด่ำกับ ทัศนียภาพของบ้านไม้โบราณที่นิยมปลูกหญ้าบนหลังคาเลียบชายฝั่งมหาสมุทร 
  • คืนนี้พักที่ ทอร์ชวาน  

Day 3 : Sørvágsvatn – Kvivik Village  

  • ชมความงามของ Sørvágsvatn ทะเลสาบขนาดใหญ่ที่สุดของหมู่เกาะฟาโร ซึ่งตั้งอยู่บนเกาะ Vágar ที่อยู่ติดกับชายฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติก ตั้งอยู่ที่ความสูง 30 เมตรเหนือระดับน้ำทะเลที่ปลายสุดของทะเลสาบจะมีน้ำตก Bøsdalafossur อีกหนึ่งสถานที่ที่สวยงามของเกาะ 
  • Trælanípan (Slave Cliff) ท่านจะเห็นทะเลสาบที่อยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเล เมื่อถ่ายรูปออกมาจะเห็นเป็นภาพหลอกตา เหมือนกับภูเขาเป็นแอ่งและมีน้ำอยู่ข้างในและลอยอยู่บนมหาสมุทร ซึ่งจริงๆ แล้วทะเลสาบที่เห็นอยู่นี้ สูงกว่าระดับน้ำทะเลเพียงแค่ 30 เมตรเท่านั้น 
  • ล่องเรือสู่ Mykines ถิ่นฐานของนกพัฟฟินที่น่ารัก ใช้ในการวางไข่ นอกจากจะที่อยู่ของนกแถบโซนอาร์คติกไม่ว่าจะเป็นนกพัพฟิน (puffins) ที่อาศัยอยู่ตามชะง่อนผา และ นกอาร์คติดเทิร์น และอีกนานาชนิด เก็บภาพความสวยงามของผาหิน และ นกนานาพันธุ์ (11.20-16.20) 
  • หมู่บ้านไคว์วิค (Kvivik Village) ซึ่งเป็นหนึ่งในหมู่บ้านที่เก่าแก่ที่สุดบนหมู่เกาะแฟโรและยังคงมีหลักฐานทางโบราณคดีที่แสดงให้เห็นว่าชาวไวกิ้ง ได้มีการตั้งถิ่นฐานที่หมู่บ้านแห่งนี้เมื่อประมาณศตวรรษที่ 18 เห็นได้จากบ้านเรือนของชาวไวกิ้งโบราณที่ยังคงหลงเหลืออยู่  
  • พักที่ Torshavn 

Day 4 : Mykines 

  • พานั่งเรือไปยังจุดชมวิว Drangarnir ท่านจะเห็นหินที่ขึ้นขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่กลางทะเล ความอัศจรรย์คือหินนั้นมีรูขนาดใหญ่ที่เป็นจุดเด่นและเอกลักษณ์ของเกาะแฟโรอีกด้วย 
  • ชมน้ำตกมูลาฟอส เซอร์ (Mulafossur Waterfall) ซึ่งเป็นน้ำตกที่เปรียบเสมือนซิกเนเจอร์ของหมู่เกาะแฟโร ให้ท่านได้ชื่นชมกับธรรมชาติและความสวยงามของน้ำตกซึ่งมีฉากหลังเป็นภูเขาสวยงาม 
  • เดินทางสู่เมืองทอร์สเฮาน์ (Torshavn) ซึ่งเป็นเมืองหลวงและเมืองที่ใหญ่ที่สุดของหมู่เกาะแฟโร ดินแดนของประเทศเดนมาร์ก ตั้งอยู่ทางตอนใต้และเป็นส่วนหนึ่งของชายฝั่งทิศตะวันตกของเมืองสเตรอเมอนา นำท่านถ่ายรูปกับบ้านหลังคาหญ้า (Tiganes) ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของเมือง 
  • พักที่ Torshavn 

Day 5 : Torshavn – Copenhagen 

  • เดินทางกลับ โคเปนฮาเกน โดยสายการบินในประเทศ 
  • ชมมือง Copenhagen พอหอมปากหอมคอ พาท่านไปถ่ายรูปกับเงือกน้อย little mermaid สัญลักษณ์ของเมืองโคเปนเฮเกน  
  • Amalianborg Castle พระราชวังที่สร้างขึ้นสำหรับประทับช่วงฤดูหนาว ประกอบด้วยอาคารสี่หลังใหญ่ ล้อมรอบพื้นที่ทรงแปดเหลี่ยม ตรงกลางด้านในนั้นประดิษฐานอนุสาวรีย์พระบรมรูปทรงม้าของผู้ก่อตั้ง Amalienborg ของกษัตริย์เฟรเดอริที่ 5 
  • ชมท่าเรือ Nyhavn ที่ถือเป็นแหล่งท่องเที่ยวหลากสีสัน เพราะรายล้อมไปด้วยร้านค้า ร้านอาหาร ผับ บาร์ ตั้งเรียงรายอยู่สองข้างทาง ผสานไปด้วยบ้านเรือนสไตล์แดนิชหลากสีสันที่สร้างขึ้นได้อย่างสวยงาม 

Day 6 : Copenhagen – Kangerlussuaq – Ice Cap Point 660  Russell Glacier 

  • เดินทางสู่ เมือง Kangerlussuaq โดยสายการบิน Air Geenland  
  • เดินทางสู่ Ice Cap Point 660 ชั้นน้ำแข็งที่ปกคลุมพื้นโลก (แถบขั้วโลกเหนือและใต้) อีกหนึ่งประสบการณ์อันน่าจดจำที่จะได้อยู่บนแผ่นน้ำแข็งที่ปกคลุมทั้งประเทศคิดเป็น 10% ของโลก ที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 2 รองจากแอนตาร์กติกา 
  • สัมผัสกับธารน้ำแข็งรัสเซล (Russell Glacier) หน้าผาน้ำแข็งที่มีขนาดใหญ่มีความสูงกว่า 60 เมตรเด่นตระหง่านอยู่ตรงหน้า จินตนาการรูปลักษณ์คล้ายดั่งสัตว์ในเขตขั้วโลกเหนือ อาทิ หมีขาว แมวน้ำ หรือธารน้ำตก อันเป็นประติมากรรมที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ เราจะค่อยๆเดินขึ้นไปบนธารน้ำแข็งซึ่งทรงพลังที่สุดในธรรมชาติ ความใหญ่โตมหึมาล้อมรอบ 360 องศาที่จะทำให้ตื่นเต้นตลอดเวลาในการเดินอยู่บนธารน้ำแข็งที่ยังคงเหลืออยู่ในกรีนแลนด์ และแอนตาร์กติกาเท่านั้น  

Day 7 : Kangerlussuaq – Ilulissat  

  • ออกเดินทางไปยังเมือง  Ilulissat โดยสายการบิน Air Geenland  
  • ชม โบสถ์ Zion Church ซึ่งสร้างมาตั้งแต่ปลายศตวรรษที่ 18 ถือเป็นสิ่งก่อสร้างที่ใหญ่ที่สุดในกรีนแลนด์ยุคนั้น 
  • นำท่านเข้าชม พิพิธภัณฑ์เมืองอิลูลิสแซต (Iluissat Museum) ซึ่งจัดแสดงเรื่องราวของแหล่งก่อนประวัติศาสตร์ Sermermiut อันเป็นถิ่นฐานของมนุษย์ยุคหิน และเรื่องราวของชนพื้นเมืองคือ อินูอิต (Enuitหรือเอสกิโม (Eskimo) วิถีชีวิต วัฒนธรรม และเส้นทางการค้าของพวกเขากับชาวยุโรป รวมถึงเรื่องราวของนักสำรวจขั้วโลกเหนือที่น่าสนใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Knud Rasmussen นักสำรวจขั้วโลกเหนือผู้ยิ่งใหญ่ 
  • Ilulissat Icefjord ความยาวราว 70 กิโลเมตร หรือที่เรียกกันในภาษาท้องถิ่นว่า Kangia จะเต็มไปด้วยก้อนน้ำแข็งและภูเขาน้ำแข็ง (Iceberg) อันมีที่มาจากธารน้ำแข็งเซอร์เมก คูยาลเลก (Sermeq Kujalleqทางด้านทิศตะวันออก ไหลลงสู่ท้องทะเลและมาออกทะเลเปิดบริเวณอ่าวดิสโก (Disko Bay) มีแผ่นน้ำแข็งลอยน้ำขนาดใหญ่โตมากมายกระจัดกระจายอยู่ตามผืนน้ำ รวมพื้นที่ทั้งหมดของแหล่งมรดกโลกแห่งนี้ราว 4,000 ตารางกิโลเมตร 

Day 8: Whale Watching – Zion Church  

  • พาชมปลาวาฬ พบว่าดินแดนขั้วโลกเหนือแห่งนี้มีปลาวาฬกว่า 15 ชนิด ที่สามารถพบเห็นได้ โดยเฉพาะ วาฬหลังค่อม วาฬฟิน และวาฬมิงก์ นำท่านออกสำรวจปลาวาฬอย่างใกล้ชิด  
  • ่องเรือชม Iceberg ที่ Disko Bay ช่วงพระอาทิตย์เที่ยงคืน จะเห็นภูเขาน้ำแข็งขนาดใหญ่ มีแผ่นน้ำแข็งลอยน้ำขนาดใหญ่โตมากมายกระจัดกระจายอยู่ตามผืนน้ำ รวมพื้นที่ทั้งหมดของแหล่งมรดกโลกแห่งนี้ราว 4,000 ตารางกิโลเมตร 

Day 9 :  Eqip Sermia  

  • ั่งเรือไปทางตอนเหนือของอิลลูลิแซท เมืองปากอ่าวธารน้ำแข็ง อิควิป เซอร์เมีย (Eqip Sermia) หรือรู้จักกันในชื่อ “Eqi” กล่าวได้ว่าเป็นธารน้ำแข็งเก่าแก่อายุหลายหมื่นปี ที่ใหญ่ที่สุดในโลกเพียงแห่งเดียวที่มนุษย์สามารถเข้าไปชมได้อย่างใกล้ชิดที่สุด จัดเป็นมรดกโลกเมื่อปี 2004 เป็นมรดกทางธรรมชาติของโลกที่น่าตื่นตาตื่นใจซึ่งก้อนน้ำแข็งจำนวนมหาศาลไหลลงทะเลทาง Ilulissat Icefjord (อิลลูลิแซท ไอซ์ฟยอร์ด) ถือได้ว่าเป็นที่สุดของธารน้ำแข็งทางฝั่งตะวันตกของกรีนแลนด์  

Day 10 : Ilulissat – Kangerlussuaq – Copenhagen  

  • เดินทางกลับ Copenhagen โดยสายการบิน Air Geenland 

Day 11 : Copenhagen – Bangkok 

  • อิสระยามเช้า เตรียมตัวกลับไทย

Day 12 : Bangkok 

  • เช้า เดินทางถึงกรุงเทพฯ โดยสวัสดิภาพและความประทับใจ 

เร็วๆนี้

ไปไหนมาดอทคอม • 089-4789334 • 02-045-3445 • Line : @painaima.com • painaima@gmail.com • ติดต่อเรา

ไปไหนมาดอทคอม • ติดต่อเรา

Categories
Europe Northernlight

ทัวร์ไอซ์แลนด์

ทัวร์ไอซ์แลนด์

Highlight

จุดเด่นทริป Iceland Grand

  • เที่ยวรอบเกาะ 
  • ล่าแสงเหนือ ทุกคืนที่ท้องฟ้าเปิด (ก.ย. – เม.ย.)
  • ชม Golden Circle : Geysir , Gullfoss, Thingvellir
  • ไอซ์แลนด์ ซิกเนเจอร์ Skogafoss และ Seljalandfoss
  • ลัดเลาะทะเลใต้ เมือง VIK, หาดดำ, ชง่อนผาน้องพัพฟิน
  • Iceburg Lagoon : Fjallsárlón Jökulsárlón
  • อลังการน้ำตกที่แรงสุดในยุโรป Dettifoss
  • เขต Thermal Area, บ่อโคลนเดือด
  • ล่องเรือชมปลาวาฬ
  • เมืองน่ารักๆ Akureyri
  • ภูเขาหมวก Kirkjufell
  • โบสถ์ Reykjavik 
  • แช่น้ำร้อนที่บลูลากูน

129,000

รายละเอียดเพิ่มเติม

DAY 1: Bangkok  

  • ัดพบกันที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ  

DAY 2 :  Reykjavik – Thingvellir National Park  Golden Circle  

  •  ต่อเครื่องไปยัง Iceland 
  • พาชม ุทยานแห่งชาติซิงเควลลิร์ (Thingvellir National Park) อุทยานแห่งชาติแห่งแรก ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโก้ มีความสำคัญคือ เป็นรอยเชื่อมระหว่างทวีปยูเรเซีย และทวีปอเมริกาเหนือ และยังมีฐานะเป็นสภาแห่งแรกของไอซ์แลนด์  
  • ชม น้ำตกกูลฟอสส หรือ ไนแองการ่าแห่งไอซ์แลนด์ ถือเป็นน้ำตกที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งของประเทศไอซ์แลนด์ และเป็นสถานที่ท่องเที่ยว 1 ใน 3 ที่ไอซ์แลนด์จัดให้อยู่ในเส้นทาง “วงกลมทองคำ” ที่ผู้มาเยือนต้องมาเที่ยวชม  สำหรับ ชื่อน้ำตกแห่ง Gullfoss มาจากคำว่า Gull ที่แปลว่าทองคำและ Foss ที่แปลว่าน้ำตก เมื่อรวมกันหมายถึงน้ำตกทองคำ  
  • ชม น้ำพุร้อนหรือเกย์เซอร์ ซึ่งเป็นน้ำพุร้อนที่พวยพุ่งขึ้นสูงกว่า 180 ฟุต ทุกๆ 7-10 นาที  สาเหตุการเกิดน้ำพุร้อนดังกล่าวเนื่องมาจากน้ำในโพรงหินใต้ดิน ได้รับความร้อนจากพลังงานที่อยู่ใต้หินเปลือกโลก เมื่อถึงจุดเดือด จึงขับเคลื่อนน้ำในโพรงขึ้นมา ให้กลายเป็นน้ำพุร้อน  
  • ชมปล่องภูเขาไฟ Kerid Crater ปล่องภูเขาไฟสีเลือดที่มีทะเลสาบสีเขียวมรกตปรากฏอยู่บริเวณปากปล่อง  ซึ่งแม้ว่าจะมีอายุกว่า 3 พันปีแล้วก็ตาม แต่ยังมีสภาพที่สมบูรณ์อยู่  
  • คืนนี้เราจะพักกันที่ เมือง Selfoss  

DAY 3 : Seljalansfoss – Skoga – Dyrholaey – Vik – Klaustur  

  • ชม น้ำตกเซลยาลันส์ฟอสส์ (Seljalansfoss) มีความสูง 60 เมตร และถือเป็นอีกหนึ่ง Highlihgt ของน้ำตกแห่งนี้ที่ผู้มาเยือนสามารถเดินเข้าไปด้านหลังได้  
  • ชม น้ำตกสโกก้าฟอสส์ (Skogarfossอันมีมวลน้ำขนาดใหญ่ตกมาจากหน้าผาสูง 62 m ความสวยงามตระการตาของน้ำตกที่เห็นอยู่นั้นเกิดจากองค์ประกอบรอบๆ ของตัวน้ำตกและโตรกผาที่สอดประสานกัน  
  • ชม แหลม Dyrholaey (เดิมเรียกว่าเคปพอร์ตแลนด์โดยชาวอังกฤษตั้งอยู่บนชายฝั่งทางใต้ของไอซ์แลนด์ จุดเด่นของที่นี่คือ หาดลาวาสีดำสนิท ที่ทอดตัวยาวหลายสิบกิโลเมตร โดดเด่นที่บริเวณริมผาจะเห็นประติมากรรมอันถูกสร้างสรรค์จากธรรมชาติ เป็นลักษณะแหลมหินที่มีรูขนาดใหญ่ยื่นลงไปในทะเล เมื่อมองกลับไปด้านหลังจะพบกับธารน้ำแข็ง Mýrdalsjökull glacier  
  • Reynisfjara Beach หาดทรายสีดำที่ดังที่สุดในเส้นทางIceland ภาคใต้ มี landmark ที่สำคัญคือหน้าผาหิน บะซอลท์ที่ใครๆก็ต้องแวะเวียนมาถ่ายรูป  
  • ชม Trolls in Reynisdrangar ที่มีตำนานอันลึกลับกล่าวขานว่า พวกปีศาจพยายามแอบลากเรือออกจากฝั่งของเมือง Vik แต่ถูกจับได้ โดยเทพเจ้าแห่งแสงแดดในยามรุ่งสาง เหล่าปีศาจร้ายจึงถูกสาปให้กลายเป็นหินรูปทรงแปลกประหลาดน่าเกลียดน่ากลัวตั้งอยู่กลางท้องทะเล  
  • เดินทางต่อสู่เส้นทางเลียบชายหาด แวะชม LavaField ซึ่งเป็นทุ่งหญ้ามอสที่ปกคลุมอยู่บนหินลาวา เมื่อถ่ายภาพออกมา จะกลายเป็นภาพที่แปลกตาแต่สวยงาม  
  • คืนนี้เราจะพักกันที่ เมือง Klaustur  

Day 4 : Skaftafell –  Svartifoss –  SvinafellsJokull – Vatnajokull  Jokulsarlon – Hofn  

  • ชม อุทยานแห่งชาติ Skaftafell อันมีภูมิประเทศคล้ายคลึงกับเทือกเขา Alp  มีลักษณะเป็นเขตธารน้ำแข็งที่ก่อต่อขึ้นมาหลายพันปีจากอิทธิพลการระเบิดของภูเขาไฟใต้ธารน้ำแข็งที่ทำให้เกิด Glacier Floods  
  • ชม ธารน้ำแข็ง SvinafellsJokull อันมีลักษณะเป็นกราเซียที่เกิดจากธารน้ำแข็ง Vatnajokul ผู้มาเยือนสามารถถ่ายภาพกับวิวกลาเซียและก้อนน้ำแข็งขนาดใหญ่ที่ลอยอยู่ในทะเลสาบเบื้องล่างอันแสนพิเศษนี้  
  • ธารน้ำแข็งเรียกว่า Vatnajokull มีขนาด 8,300 ตร.กมเท่ากับธารน้ำแข็งทั้งหมดในทวีปยุโรปรวมกัน และขนาดความหนามากที่สุดประมาณ 1,000 เมตร ซึ่งถือว่ามีขนาดใหญ่เป็นอันดับสองของทวีปยุโรป  
  • ชม โจกุลซาลอน (Jokulsarlon) ซึ่งถือเป็นทะเลสาบธารน้ำแข็งที่ใหญ่ที่สุดในไอซ์แลนด์ ธารน้ำแข็งแห่งนี้ เกิดขึ้นครั้งแรกในช่วงปี 1934-1935 ต่อมาจึงเกิดการละลายเรื่อยๆ จนเพิ่มพื้นที่มากขึ้นในทุกๆ ปี  
  • ชม AMPHIBIAN BOAT TOUR  ล่องเรือชมความงามของภูเขาน้ำแข็งขนาดใหญ่ท่ามกลางทิวทัศน์อันสวยงามแปลกตา ตื่นตากับธารน้ำแข็ง 1000 ปี หากโชคดีอาจจะเจอแมวน้ำรอต้อนรับ 
  • คืนนี้เราจะพักกันที่ Hofn  

Day 5 : Hofn – Dettifoss – Hverarondor Hverir – Goda foss Akureyri  

  • เตรียมตัวเดินทางสู่ใจกลางประเทศไอซ์แลนด์ วันนี้เราจะลัดเลาะไปตามแนว East Fjord มีหน้าผาสูงชันและเลียบไปตามทะเล  แวะถ่ายรูปทัศนียภาพอันแปลกตา ที่น่ามองอีกจุดหนึ่งของ Iceland  
  • เดินทางข้าม Pass Modradalsfjallgurdar อันมีหิมะปกคลุมในช่วงฤดูหนาวตลอดเส้นทาง เราจะเห็นทัศนียภาพเป็นหุบเขาสีขาวสวยงามตระการตา พร้อมมุ่งหน้าสู่เมืองหลวงทางตะวันออกที่ชื่อเมือง Egilstadir  
  • ชม น้ำตก Dettifoss อันเป็นสถานที่ถ่ายภาพยนต์เรื่อง Prometeus น้ำตกแห่งนี้เป็นน้ำตกที่ใหญ่และทรงพลังที่สุดในทวีปยุโรป ตั้งอยู่ในอุทยานแห่งชาติ Vatnajökull  
  • ชม สถานีพลังงาน Krafla เป็นสถานีพลังงานความร้อนใต้พิภพใหญ่ที่สุดของประเทศ ขนาด 60 เมกะวัตต์ตั้งอยู่ใกล้ภูเขาไฟ Krafla ในไอซ์แลนด์  
  • Hverarondor Hverir อันเป็นทางออกของพลังงานความร้อนจากใต้พิภพ เกิดเป็นบ่อโคลนเดือดและควันกำมะถันพวยพุ่งออกมาจากหลุม เดินทางผ่านชมทะเลสาบสีเทอควอยต์ที่มีโรงไฟฟ้าพลังความร้อนพ่นควันฉุยตั้งอยู่เคียงข้าง  
  • คืนนี้เราจะพักกันที่ เมือง Myvatn  

Day 6 : Myvatn – Godafoss – Akureyri  

  • ชม Hverfjall ซึ่งเป็นภูเขาไฟรูปทรงโคลนและมีขนาดความกว้างของปล่องประมาณ 1 กิโลเมตร สามารถเดินเท้าขึ้นไปที่ปากปล่องเพื่อ ชมวิวของ Lake Myvatn และความอลังการของปล่องภูเขาไฟได้ ซึ่งปากปล่องสูงถึง 463 เมตร   
  • ชม น้ำตก Godafoss ที่ได้รับฉายาว่า น้ำตกแห่งพระเจ้า “Waterfall of the Gods”  
  • (เมษายน– กันยายนพาล่องเรือ ชมปลาวาฬ จะมีโอกาสเห็นวาฬมิงค์  
  • ชม เมืองอาคูเรย์ริ (Akureyriเมืองที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ 2 ของประเทศไอซ์เเลนด์ และยังเป็นศูนย์กลางการทำประมง โบสถ์อาคูเรย์รี่ (Akureyrakirkjaสัญลักษณ์ของเมือง สถาปนิกผู้ก่อสร้างโบสถ์นี้คือ Gudjon Samuelsson เป็นคนเดียวกับผู้ออกแบบ Hallgrimskirkja โบสถ์ลูเธอรันนี้ออกแบบเสร็จในปี 1940 ภายในโบสถ์ประกอบด้วยท่อออร์แกน 3200 อันที่นำมาจากประเทศเยอรมันในปี 1961 มีภาพของพระเยซูและเรือทำมือที่แขวนจากเพดาน ตามความเชื่อของชาวนอร์ดิกโบราณ  
  • อิสระแก่ทุกท่านเพื่อช้อปปิ้งเลือกซื้อสินค้าบนถนนคนเดินเกเรอโตรกาตา (Gerartogata 
  • คืนนี้เราจะพักกันที่ เมือง Akureyri  

Day 7 : Akureyri – Snæfellsjökull – Kirkjufell –  Grundafjord  

  • เดินทางสู่ Snæfellsjökull เขตภูเขาไฟอายุ 700000 ปีที่มีกลาเซียปกคลุมอยู่ทั่วบริเวณ  และภูเขาไฟแห่งนี้ ยังเป็นฉากในนวนิยายเรื่อง Journey to the Center of the Earth  
  • เข้าสู่เขตเมือง Grundafjordur เมืองเล็กๆริมทะเล อยู่ทางตอนเหนือของคาบสมุทร Snæfellsnes Peninsula ทางทิศตะวันตกของไอซ์แลนด์ อาคารแต่ละหลังถูกสร้างขึ้นมาอย่างเรียบง่าย มีฉากหลังเป็นภูเขาที่ปกคลุมไปด้วยหิมะ  
  • ชม Kirkjufell ภูเขาทรงหมวก และน้ำตก Kirkjufellsfoss อันเป็นสถานที่สำคัญเลื่องชื่อ ที่หากมาเยือน Iceland แล้ว ต้องห้ามพลาดถ่ายรูปกับสถานที่แห่งนี้  
  • คืนนี้เราจะพักกันที่ เมือง Grundafjord  

DAY 8 : Grundafjord – BlueLagoon – Keflavik  

  •  หลังอาหารเช้าชม ถ้ำลาวา 1 หมื่นล้านปี อันเกิดจากลาวาที่ไหลลงมาสู่ชายฝั่งทะเล และแข็งตัวไม่พร้อมกัน ทำให้เกิดเป็นโพรงถ้ำขนาดใหญ่อยู่ใต้ดิน  
  • เดินทางเข้าสู่เมืองหลวงเรยาวิค ชม ฮัลล์กรีมสคิร์คยา (Hallgrimskirkja) โบสถ์ใจกลางเมืองที่มีความสูง 73 เมตร เป็นโบสถ์ที่ใหญ่ที่สุดในไอซ์แลนด์และเป็นสิ่งก่อสร้างที่สูงที่สุดเป็นอันดับ 6 ของไอซ์แลนด์ โดยโบสถ์แห่งนี้ถูกตั้งชื่อขึ้นตามชื่อของ ฮัลล์กรีมูร์ เพทูร์สซอน (1614 – 1674) กวีและนักบวชชาวไอซ์แลนด์  เพราะคำว่า “ฮัลล์กรีมสคิร์คยา” ตามศัพท์แปลว่า “โบสถ์ของฮัลล์กรีมูร์”  
  • ชม Harpa อันเป็น Concert Hall และ Conference Center มีที่ตั้งอยู่ริมอ่าว โดยอาคารแห่งนี้ถูกตกแต่งไปด้วยกระจก 6 เหลี่ยม เมื่อยามสะท้อนแสงอาทิตย์จะทำให้เกิดเป็นประกาย หลากสีสันแตกต่างกันออกไปตามมุมมองที่เรายืนชมอยู่ นับเป็นอีกหนึ่งสถาปัตยกรรมสมัยใหม่ที่หาดูได้ยากในโลก  
  • ถ่ายรูปกับ Sun Voyager (Solar) สร้างขึ้นเมื่อปี 1990 ชนะเลิศจากการประกวดประติมากรรมเพื่อเฉลิมฉลองกรุงเรคยาวิกครบ 200 ปี Sun Voyeger แทนความหมายของเรือแห่งความฝันที่ออกเดินทางไปตามทิศทางแห่งดวงอาทิตย์ ไปสู่ดินแดนที่ยังไม่ถูกค้นพบ  
  • มุ่งหน้าสู่ เมือง Keflavik แวะผ่อนคลายกันที่ บลูลากูน (BlueLagoon) หรือทะเลสาบสีฟ้า ซึ่งเป็นน้ำพุร้อนที่มีชื่อเสียงที่สุดของไอซ์แลนด์ สามารถลงไปแหวกว่าย นอนแช่ในบ่อน้ำพุร้อนที่มีอุณหภูมิความร้อนของน้ำเฉลี่ยอยู่ที่ 40 องศาเซลเซียสได้อย่างสบายๆ ทำให้เกิดความรู้สึกผ่อนคลาย อีกทั้งตัวน้ำพุร้อนอันบริสุทธิ์ยังเต็มไปด้วยแร่ธาตุมากมาย ที่เชื่อกันว่าสามารถช่วยรักษาโรคได้อีกด้วย (กรุณาเตรียมชุดว่ายน้ำไปด้วยครับ 
  • คืนนี้เราจะพักกันที่ เมือง Keflavik  

DAY 9 : Keflavik – Copenhagen  

  • ออกเดินทางจาก Icelane สู่โคเปนเฮเกน (พาเที่ยวโคเปน ด้วยรถไฟ)  
  • พาท่านไปถ่ายรูปกับเงือกน้อย little mermaid ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของเมืองโคเปนฮาเก้น ที่กำลังนั่งรอเจ้าชายตามเทพนิยายอันเลื่องชื่อ ของนักเล่านิทานระดับโลกฮันส์คริสเตียน-แอนเดอร์สัน 
  • Amalianborg Castle พระราชวังที่สร้างขึ้นสำหรับประทับช่วงฤดูหนาว ประกอบด้วยอาคารสี่หลังใหญ่ ล้อมรอบพื้นที่ทรงแปดเหลี่ยม ตรงกลางด้านในนั้นประดิษฐานอนุสาวรีย์พระบรมรูปทรงม้าของผู้ก่อตั้ง Amalienborg ของกษัตริย์เฟรเดอริที่ 5  
  • พักที่ Copenhagen  

DAY 10 : Copenhagen – Bangkok  

  • เช้า อิสระตามอัธยาศัย ช่วงบ่ายเตรียมกลับไทย 

DAY 11 : Bangkok  

  • เดินทางถึงกรุงเทพมหานครโดยสวัสดิภาพ

ค่าใช้จ่ายทริป 
129000 บาท พักห้องคู่

*พักเดี่ยวเพิ่ม 30000 บาท
**ไม่มีราคาเด็ก

ค่าใช้จ่ายรวม

  • ค่าวีซ่า
  • การเดินทางทั้งหมดในไอซ์แลนด์
  • ค่ากิจกรรมทั้งหมดตามโปรแกรม
  • โรงแรมระดับ 3-4 ดาว ขึ้นกับสภาพเมือง พร้อมอาหารเช้า
  • ตั๋วเครื่องบินโคเปนเฮเก้น – เรยาวิค

ค่าใช้จ่ายไม่รวม

  • อาหารกลางวันและเย็น
  • ตั๋วเครื่องบินระหว่างประเทศ กรุงเทพ-โคเปนเฮเก้น (สามารถจองและออกตั๋วผ่านทีมงานได้เลย)
  • ไอซ์แลนด์เป็นประเทศที่สภาพภูมิอากาศแปรปรวน โดยเฉพาะลมและฝน ซึ่งเกิดขึ้นได้ทุกเวลา ให้ทุกท่านเตรียมร่างกายและอุปกรณ์เพื่อรับกับสภาพอากาศให้พร้อม
  • แสงเหนือในช่วงฤดูหนาว ขึ้นอยู่กับสภาพเมฆที่ปกคลุมท้องฟ้า โดยสตาฟจะศึกษาพยากรณ์อากาศในแต่ละวันเพื่อหาจุดที่ดีที่สุดในระยะที่เราเดินทางถึงจากที่พักในค่ำคืนนั้น (พาทุกท่านออกล่าแสงเหนือทุกคืน ที่ฟ้าเปิด)
  • โรงแรมที่พักในบางเมืองที่ห่างไกลอาจจะไม่สะดวกหรือใหญ่โตเหมือนในเขตเมืองใหญ่
  • หากมีพายุหิมะ จะต้องรอจนถนนเคลียร์เรียบร้อยก่อน ซึ่งอาจจะได้ให้โปรแกรมขาดไปได้ (ประเมินตามหน้างาน)
  • ทัวร์ของเราเป็นลักษณะเหมาจ่าย การไม่ใช้ Service ใด Service หนึ่งไม่สามารถขอ Refund ได้ระหว่างการเดินทาง 
  • วีซ่า ทีมงานจะเตรียมเอกสารโดยสมบูรณ์ที่สุดหากแต่การพิจารณาขึ้นกับดุลยพินิจของสถานทูตเท่านั้น 
  • ประกันการเดินทางครอบคลุมถึงกรณีเจ็บป่วย กระเป๋าล่าช้า และต้องเดินทางฉุกเฉิน * ทั้งนี้การชดใช้ค่าเสียหายที่เกิดขึ้น ขึ้นกับดุลยพินิจของบริษัทประกัน โดยทางทีมงานมีหน้าที่อำนวยความสะดวกในการเตรียมเอกสารเพื่อเคลมประกัน ไม่สามารถก้าวล่วงการพิจารณาของประกันได้

 


– การยกเลิกทริปล่วงหน้า 90 วัน จะได้รับมัดจําคืนเต็มจํานวน ยกเว้นค่าใช้จ่ายที่ได้จ่ายไปตามจริงแล้ว เช่น ค่าเครื่องบิน ค่าจองโรงแรม
– กรณียกเลิกทริปล่วงหน้า 60 วัน จะหักมัดจํา 50%
– กรณียกเลิกทริปล่วงหน้า 45 วัน จะไม่สามารถคืนมัดจําได้
– กรณียกเลิกทริปล่วงหน้า 30 วัน ไม่สามารถคืนค่าทริปทั้งหมด
– กรณียกเลิกทริปเนื่องด้วยภัยธรรมชาติ ที่ทําให้ไม่สามารถเดินทางไปได้ ผู้จัดยินดีคืนเงินค่าทริปทั้งหมด หลังหัก ค่าใช้จ่าย เช่น ค่าตั๋วเครื่องบิน ค่าจอง รร เป็นต้น

ไปไหนมาดอทคอม • 089-4789334 • 02-045-3445 • Line : @painaima.com • painaima@gmail.com • ติดต่อเรา

ไปไหนมาดอทคอม • ติดต่อเรา

Categories
Europe

ทัวร์โดโลไมท์

ทัวร์โดโลไมท์

Highlight

Dolmite Grand

Dolmite + Cinque

Dolmite + Tuscany

Day : Bangkok – Milan 

  • นัดพบกันที่ สนามบินสุวรรณภูมิ  

Day : Milan – Bergarmo – Stelvio National park – Stelvio – Sulden 

  • ถึงเมืองมิลาน เดินทางสู่เมือง เบอร์กาโม (BERGAMO) เมืองในยุคกลางอีกครั้ง สถาปัตยกรรมที่ผสานระหว่างศิลปะยุคกลางและยุคเรเนสซองส์ไว้ด้วยกัน  
  •  ชมย่านเมืองเก่า Citta Alta” ซึ่งพื้นที่ส่วนใหญ่ของเมืองนั้นล้อมรอบด้วยกำแพงเมืองแบบเวนิส ที่สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 17  
  • ชมย่านจัตุรัสเก่า เปียสซ่า เว็คเคียร์ (Piazza Vecchia ,Old square) ซึ่งเป็นย่านใจกลางเมืองเก่าที่แวดล้อมไปด้วยเหล่าอาคารที่แสดงออกถึงการผสมผสานระหว่างสถาปัตยกรรมของยุคกลางและเรเนสซองส์ 
  • นำท่านเข้าชม มหาวิหารซานต้า มาเรีย มายอเร” (Santa Maria Maggiore) อีกหนึ่งมหาวิหารที่มีความโดดเด่นทางด้านสถาปัตยกรรม  สิ่งที่โดดเด่นของมหาวิหารก็คงจะเป็นรูปปั้นสิงโตคู่ ที่สร้างขึ้นเพื่อรองรับซุ้มประตูโค้งด้านหน้ามหาวิหาร 
  • ชื่นชมความมหัศจรรย์ของอุทยานแห่งชาติ Stelvio National park ก่อตั้งขึ้นในปี 2478 อุทยานนี้จะติดกับอุทยานแห่งชาติสวิสด้วย และเป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่านานาชนิดที่หายาก
  • ออกเดินทางสู่เมือง Stelvio โดยใช้เส้นทาง Stelvio Pass ลักษณะถนนจะคดโค้ง วกไปวนมาแวะถ่ายรูปบนจุดสูงสุดของ Pass ที่ความสูงประมาณ 2757 เมตร
  • จากนั้นนำท่านสู่ เมือง Sulden เป็นชุมชนเก่าแก่ขนาดกลางใจกลางเทือกเขาแอลป์ ล้อมรอบด้วยยอดเขาหิมะสูงชัน ทิวทัศน์ของเมืองก็งดงามน่าประทับใจ นับเป็นปลายแดนที่ชาวยุโรปนิยมขึ้นมาพักผ่อน 
  • คืนนี้เราจะพักกันที่เมือง Sulden 

Day : Sulden – Brixen – Val di Funnes – Santa Magdalena  Ortisei 

  • เดินทางไปเมืองบรีเซ่น (Brixen) เมืองที่เก่าแก่ที่สุดในแคว้น Tyrol มีเทือกเขา Dolomite เป็นฉากหลัง ความเป็นอยู่ของผู้คนที่นี่จึงอิงแอบกับธรรมชาติ  
  • ชมความมหัศจรรย์ของ Culture Landscape ซึ่งเป็นการผสมผสานกันได้อย่างลงตัวของธรรมชาติ โดยฉากหลังเป็นภูเขาอันยิ่งใหญ่ตระการตา เบื้องหน้าของเราเป็นหมู่บ้านสงบๆ Val di Funes พร้อมถ่ายรูป ณ จุดถ่ายรูปมุมพิเศษที่เราสรรหามาให้คุณ 
  • ไปยังจุดชมวิว Santa Magdalena อันเป็นเอกลักษณ์ ในยามอาทิตย์อัสดง แสงแดดทองละเลียดริมหน้าผา ฉากเบื้องหน้าเป็นโบสถ์และหมู่บ้านอันแสนสงบ 
  • เดินทางไปยังเมือง Ortisei 
  • นำท่านสู่  Val Gardena ซึ่งถือเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวที่อยู่ท่ามกลางหุบเขา โดยมีที่ตั้งอยู่ที่ความสูง 1236 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล ท่านสามารถเดินเล่นชมเมืองได้เล็กน้อย  
  • คืนนี้เราจะพักกันที่เมือง Ortisei 

Day : Ortisei – Secade – Alp de Suisi 

  • นำท่านขึ้นกระเช้าสู่ Secada ซึ่งเป็นจุดชมวิวที่ท่านจะได้เห็นกลุ่มภูเขา Sella group และ  Sussolungo เที่ยวถ่ายรูปกันจนอิ่ม  
  • พาท่านไปขึ้นกระเช้าอีกฝั่ง ชมวิว Alpe di Siusi เป็นอีกหนึ่งจุดชมวิวที่สามารถเห็นความยิ่งใหญ่อลังการของกลุ่มเขาใน Dolomite ได้  (option ไม่รวมค่ากระเช้าในทริป 
  • Urlaub Seis am Schlern หมู่บ้านเล็กๆแสนสวย ที่อยู่เชิงภูเขา Seiser Alm ในปัจจุบันที่เป็นจุดเริ่มต้นสำหรับการสำรวจทุ่งหญ้าขนาดใหญ่ที่สุดในยุโรปและกิจกรรม Adventure ต่างๆ  มีเทรลเดินศึกษาธรรมชาติและรีสอร์ทสวยๆแบบลักชัวรี่ 
  • คืนนี้เราจะพักกันที่เมือง Ortisei 

Day : Ortisei – Sella pass – Pass gardena – Pass Falzarego – Cortina  

  • ขับรถผ่าน Sella pass มีวิวทิวทัศน์ที่สวยงามไม่แพ้กัน เป็นหนึ่งในเส้นทางของภูเขาโดโลไมท์  
  • ผ่านเส้นทาง Passo Gardena (ปาสโซ่ การ์เดน่าหรือ Gardena Pass เป็นอีกหนึ่งเส้นทางคดเคี้ยวผ่านภูเขาในเส้นทางสาย Great Dolomite Road อีกหนึ่งสายที่งดงามอลังการ ด้วยทิวทัศน์ทุ่งหญ้าและภูเขาสูงใหญ่แห่งเทือกเขาโดโลไมท์   
  • เดินทางผ่าน Pass Falzarego ท่านจะได้เห็นวิวภูเขาใหญ่โตจนต้องแวะถ่ายรูปเลยทีเดียว 
  • จากนั้นจึงเดินทางกันต่อ มุ่งสู่เมือง Cortina d’ Ampezzo เป็นเมืองสกีรีสอร์ทที่อยู่ในตอนกลางของหุบเขาอัมเปซโซ ในทิวเขา Dolomites  อีกทั้งยังเป็นสถานที่ไว้ใช้จัดโอลิมปิกในฤดูหนาวอีกด้วย  
  • คืนนี้เราจะพักกันที่เมือง  Cortina  

Day : Cotina – Tri Cime – Misurina – Braies – Cortina 

  • ชม Tri Cime di Lavaredo ยอดภูเขาหินปูนสามลูกที่เรียงติดกัน ว่ากันว่าเป็นยอดเขาที่ดังและสวยที่สุดของ Dolomites ฝั่งตะวันออก 
  • ทะเลสาบ Misurina ณ เมืองเบลลูโน่ ซึ่งเป็นทะเลสาบที่มีความยาวถึง 2.6 กิโลเมตร ลึกกว่า เมตร แวดล้อมด้วยทัศนียภาพอันสวยงามและอากาศอันบริสุทธิ์
  • ชมความงามของ ทะเลสาบบรายเอียซ (Braies) เขตอุทยานแห่งชาติ FANES SENNES BRAIES ตามตำนานกล่าวว่าที่นี่เป็นที่อยู่อาศัยของยักษ์ ที่คอยคุ้มครองดูแลเหมืองทองคำใต้พิภพอีกด้วย  
  • คืนนี้เราจะพักกันที่เมือง  Cortina  

Day :  Cortina – Pass giau – Pordoi Karesee – Bolzano 

  • Giau Pass จุดชมวิวที่อยู่บน Mountain Pass สูงกว่า 2236 เมตร เห็นวิวรอบด้าน 360 องศา ภาพที่ถ่ายบ่อยมากเป็นมุมทางด้านทิศเหนือ เห็นทุ่งหญ้ากับภูเขารูปทรงสามเหลี่ยม
  • เราจะข้ามผ่าน Pordoi pass อยู่ระหว่าง กลุ่ม ella-Marmolada  ที่ยิ่งใหญ่ โดยมีระดับความสูงถึง 2239 เมตร 
  • ชม Lake of Karezza เป็นอีกหนึ่งจุดที่เป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยวและช่างภาพ เป็นภาพทะเลสาบและทิวต้นสนฉากหลังเป็นภูเขาหิมะอันสวยงาม
  • เดินทางต่อไปยังเมือง Bolzano เมืองชนบทที่เงียบสงบ ล้อมรอบด้วยแม่น้ำเป็นเมืองหลวงของภูมิภาคไทโรลใต้  
  • คืนนี้เราจะพักกันที่เมือง Bolzano 

Day : Bolzana – Duomo – Milan 

  • เดินเล่นชมเมือง วิวทิวเขาแปลกตารอบๆเมือง  ชมวิหาร Duomo โบสถ์ Chiesa dei Domenican และอนุสาวรีย์ที่จัตุรัสกลางเมือง Piazza delle Erbe แถบถนนคนเดิน Piazza Walther และย่านอาณาเขตโบลซาโน และสามารถช้อปปิ้งจุใจไปกับแฟชั่นต่างประเทศและสินค้าที่ระลึกท้องถิ่น 
  • เดินทางไปยังเมืองมิลาน ชมโบสถ์ Duomo แบบกอธิคที่ขึ้นชื่อว่ามีความสวยงามตระการตามากที่สุดในอิตาลี สร้างในปี ค..1386 มีรูปปั้นหินอ่อนจากทุกยุคทุกสมัย ด้านบนสุดมีรูปปั้นทองของ พระแม่มาดอนน่า 
  • คืนนี้เราจะพักกันที่เมือง Milan 

Day : Milan Airport 

  • เดินทางไปยังสนามบิน เดินทางกลับกรุงเทพฯ  

Day 10 : Bangkok 

  • ถึงกรุงเทพฯ โดยสวัสดิภาพ 

***รายการอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ตามความเหมาะสม*** 

Day 1 : Bangkok – Milan

  • พบกันที่สนามบินสุวรรณภูมิ เดินทางสู่เมืองมิลาน

Day 2 : Milan – Sirmione – Lake Garda – Bolzano – Canazei

  • ไปยังเมือง Sirmione เมืองอันเก่าแก่ที่มีอายุกว่า 2000 ปี มีลักษณะภูมิประเทศเป็นแหลมที่ยื่นออกไป ในทะเลสาบการ์ด้าซึ่งมีความยาวกว่า 55 กิโลเมตร เมืองนี้จึงถูกขนาบข้างด้วยทะเลสาบ ชมร่องรอยประวัติศาสตร์ ซากปรักหักพังของตึก และอาคารต่างๆ ตั้งแต่สมัยยุคโรมัน
  • เดินทางสู่เมือง Bolzano เป็นเมืองหลวงของภูมิภาค South Tyrol ประชากรส่วนใหญ่พูดภาษาเยอรมัน รองลงมาเป็น ภาษาอิตาลี เราสามารถรับประทานไส้กรอกเยอรมันแสนอร่อยและจิบกาแฟอิตาเลียนได้ที่เมืองนี้ แวะชมวิหาร Chiesa dei Domenican ย่านใจกลางเมือง และอนุสาวรีย์ที่จัตุรัสกลางเมือง Pizza delle Erbe พร้อมเดินเล่นแถบถนนคนเดิน Pizza Walther
  • เดินทางสู่ เมือง Canazei จุดเริ่มต้นสำหรับ ไปยัง Sella, Marmolada และ Sassolungo กลุ่ม Pordoi เราจะข้ามผ่าน pordoi pass อยู่ระหว่าง กลุ่ม ella-Marmolada  ที่ยิ่งใหญ่ โดยมีระดับความสูงถึง 2239 เมตร
  • คืนนี้เราจะพักกันที่เมือง Ortisei

Day 3 : Val Gardena – Val di Funes – Santa Magdalena – Lake Braies – Lake Misurina – Cortina d’ Ampezzo

  • เส้นทาง Passo Gardena (ปาสโซ่ การ์เดน่า) หรือ Gardena Pass เป็นอีกหนึ่งเส้นทางคดเคี้ยวผ่านภูเขาในเส้นทางสาย Great Dolomite Road อีกหนึ่งสายที่งดงามอลังการ ด้วยทิวทัศน์ทุ่งหญ้าและภูเขาสูงใหญ่แห่งเทือกเขาโดโลไมท์ ตั้งแต่ช่วงฤดูใบไม้ผลิไปจนถึงปลายฤดูร้อนเส้นทางเส้นนี้จัดได้ว่าเป็นเส้นทางยอดนิยมของนักปั่นจักรยาน นักขี่มอเตอร์ไซค์ Big Bike และนักเดินเขาเป็นอย่างมาก
  • ชมวิว Santa Magdalena อันเป็นเอกลักษณ์ของ Dolomite แสงแดดทองละเลียดริมหน้าผา ฉากเบื้องหน้าเป็นโบสถ์และหมู่บ้านอันแสนสงบ ปล่อยกายปล่อยใจไปกับช่วงเวลาแสนพิเศษนี้
  • ชมความมหัศจรรย์ของ Culture Landscape ซึ่งเป็นการผสมผสานกันได้อย่างลงตัวของธรรมชาติ โดยฉากหลังเป็นภูเขาอันยิ่งใหญ่ตระการตา เบื้องหน้าของเราเป็นหมู่บ้านสงบๆ Val di Funes พร้อมถ่ายรูป ณ จุดถ่ายรูปมุมพิเศษที่เราสรรหามาให้คุณ
  • ชมความงามของ ทะเลสาบบรายเอียซ (Braies) เขตอุทยานแห่งชาติ FANES SENNES BRAIES ตามตำนานกล่าวว่าที่นี่เป็นที่อยู่อาศัยของยักษ์ ที่คอยคุ้มครองดูแลเหมืองทองคำใต้พิภพอีกด้วย
  • เยี่ยมชม ทะเลสาบ Misurina ณ เมืองเบลลูโน่ ซึ่งเป็นทะเลสาบที่มีความยาวถึง 6 กิโลเมตร ลึกกว่า 5 เมตร แวดล้อมด้วยทัศนียภาพอันสวยงามและอากาศอันบริสุทธิ์ให้ทุกท่านได้สัมผัส สูดลมหายใจลึกๆ พร้อมชมความงามของทะเลสาบอันกว้างใหญ่ไพศาล กระแสน้ำที่ใสสะอาด เป็นเงาสะท้อนเห็นวิวภูเขาลดหลั่นไปมาอย่างน่าอัศจรรย์  มีฉากหน้าเป็นโรงแรมสีเหลืองตัดกับท้องฟ้าสีครามสวยงามจับใจ
  • มุ่งสู่เมือง Cortina d’ Ampezzo เป็นเมืองสกีรีสอร์ทที่อยู่ในตอนกลางของหุบเขาอัมเปซโซ ในทิวเขา Dolomites อีกทั้งยังเป็นสถานที่ไว้ใช้จัดโอลิมปิกในฤดูหนาวอีกด้วย
  • คืนนี้เราจะพักกันที่เมือง ortisie

Day 4 : Great Dolomite Road – Passo Pordoi – Passo Falzarego – Verona

  • นำชมเส้นทาง Great Dolomite Road บนเส้นทางสายมหัศจรรย์แห่งนี้ คุณจะทึ่งในความยิ่งใหญ่ตระการตาของขุนเขาอีกครั้ง ค่อยๆ ซึมซับบรรยากาศที่หาไม่ได้ที่ไหนอีกแล้วในโลกนี้
  • ชมสองจุดสำคัญคือ Passo Pordoi และ Passo Falzarego แวะถ่ายรูปกับถนนงูเลื้อย ซึ่งเป็น 1 ใน 7 pass ของการแข่งขัน จักรยานในอิตาลีอันยิ่งใหญ่เที่ยบเท่า Tour de France
  • เมือง Verona เมืองแห่งตำนานรักของโรมิโอจูเรียต ใหญ่เป็นอันดับ 2 รองจากเวนิส แต่มีความโรแมนติคที่ไม่แพ้กันเลย ทั้งทางด้านศิลปะ วัฒนธรรม โรงละคร งานจัดแสดงต่างๆ และที่โด่งดังเป็นที่รู้จักกันดีเลยนั่นคือ เรื่องราวความรักระหว่างหนุ่มสาว โรมีโอจูเลียต ที่ถูกนำมาเรียงร้อยเรื่องราว
  • คืนนี้เราจะพักกันที่เมือง Verona

Day 5 : Tuscany – San Gimignano

  • เยี่ยมชม San Gimignano เมืองเล็กๆ ที่มีทิวทัศน์งดงามที่สุดในแคว้นทัสคานี ตั้งอยู่บนเนินเขาที่ล้อมรอบด้วยกำแพงเมืองโบราณ เป็นเมืองแห่งสุดยอดสถาปัตยกรรมยุคกลาง เป็นเมืองเดียวในอิตาลีที่สามารถอนุรักษ์สิ่งก่อสร้างและสถาปัตยกรรมยุคกลางไว้ได้อย่างครบถ้วน จนได้รับการประกาศเป็นเมืองมรดกโลกโดย UNESCO
  • คืนนี้เราจะพักกันที่เมือง Montalcino

Day 6 : Sant’ Antimo – Siena – Duomo – Pienza-San Quirico d’Orcia – Bagno Vignoni – Montalcino

  • โบสถ์ซานต์ อานติโม (Sant’ Antimo) ได้เวลาพาทุกท่านเข้าสู่ เมืองเซียน่า (SIENA) แคว้นทัสคานี ที่มีชื่อเสียงอย่างยิ่งในสมัยช่วงยุคกลางของประเทศอิตาลี เซียน่า ซึ่งเป็นเมืองคู่แข่งสำคัญของฟลอเรนซ์ในอดีต แต่ตอนหลังถูกยึดรวมเข้าเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรฟลอเรนซ์ เป็นเมือง UNESCO อีกเมืองหนึ่งของแคว้นทัสคานี่
  • ชมวิหารดูโอโม ซึ่งเป็นโบสถ์เก่าแก่ในสถาปัตยกรรมแบบโกธิกที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศ มีความงดงามทั้งภายนอกโบสถ์และภายในโบสถ์ที่ออกแบบได้อย่างวิจิตร เพราะถูกตกแต่งด้วยหินอ่อนภายใต้ศิลปะแบบเซียน่า
  • ชม จัตุรัสกลางเมือง ที่มีศาลาว่าการกลางสไตล์โกธิคตั้งตระหง่านอยู่จนเป็นสัญลักษณ์ของเมืองนี้
  • เมือง Pienza และ San Quirico d’Orcia เนินหญ้าที่สวยงามตลอดข้างทาง ถือได้ว่าเป็นทิวทัศน์ในแบบฉบับแคว้นทัสคานีแท้ๆ
  • แวะชมเมือง Bagno Vignoni เมืองแห่งน้ำพุร้อนและสปาโบราณที่มีมาตั้งแต่สมัยยุคกลาง ที่นี่เป็นจุดแวะพักสำหรับผู้แสวงบุญก่อนที่จะเดินทางไปยังกรุงโรม
  • Montalcino เมืองน่ารักๆ ที่มีชื่อเสียงอย่างมากในเรื่องไวน์
  • คืนนี้เราจะพักกันที่เมือง Montalcino

Day 7 :  Pisa – Cinque Terre

  • ชม หอเอนปิซ่า 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลก “หอเอนเมืองปิซ่า” หอระฆังของศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิคสร้างด้วยหินอ่อนสีขาว สูง 8 ชั้น อดีตเป็นที่ตั้งของศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก
  • เดินทางสู่เมือง La spezia จากนั้นพาท่านนั่งรถไฟท้องถิ่น เลียบชายฝั่งของหมู่บ้าน Cinque Terre ที่มีความหมายว่า 5 แผ่นดิน เป็นหมู่บ้านเล็กๆ มีหลักฐานการตั้งถิ่นฐานย้อนกลับไปถึงศรตวรรษที่ 11 โดยมี VERNAZZA และ MANAROLA เป็นสองหมู่บ้านแรกก่อนหมู่บ้านอื่นๆจะเติบโตตามมา หมู่บ้านเหล่านี้ได้เสื่อมโทรมลงในศตวรรษที่ 16 เมื่อมีการสร้างทางรถไฟเชื่อมต่อจาก La spezia ผ่านหมู่บ้านเหล่านี้ คนในหมู่บ้านนี้จึงได้อพยพย้ายถิ่นฐานออกไปจากที่นี่ จนกระทั้งการท่องเที่ยวกลับมาสร้างความคึกคักอีกครั้งในช่วงปี 1970 เมืองมรดกโลกแห่งนี้ประกอบด้วยหมู่บ้านทั้งหมด 5 แห่ง Monterosso al Mare , Vernazza , Corniglia , Manarola และ Riomaggiore
  • MANAROLA เป็นเมืองที่เก่าแก่ที่สุดของเมืองใน Cinque Terre เริ่มต้นตั้งแต่ปี 1338 ภาษาถิ่นคือ Manaroles ซึ่งแตกต่างจากภาษาถิ่นในพื้นที่ใกล้เคียง ชื่อ “Manarola” มีรากจากภาษาลาติน แปลว่า “ล้อใหญ่” ซึ่งหมายถึงล้อกังหันในเมืองอุตสาหกรรมหลักของมานาโรลาเป็นอุตสาหกรรมดั้งเดิมคือการประมงและทำไวน์ ไวน์ท้องถิ่นในชื่อ Sciacchetrà มีชื่อเสียงเป็นพิเศษ
  • VERNAZZA มีการกล่าวถึงย้อนไปถึงปี 1080 อ้างถึงฐานทัพเรือของชาวท้องถิ่นที่เป็นจุดยุทธศาสตร์ในการป้องกันโจรสลัด ปัจจุบันที่นี่กลายเป้นแหล่งท่่องเที่ยวสำคัญรวมถึงอุตสาหกรรมการผลิตไวน์ที่มีชื่อเสียง
  • คืนนี้เราจะพักกันที่เมือง La spezia

Day 8 : Portofino – Divo Martino – Serravalle Outlet

  • เดินทางสู่ เมืองปอร์โตฟิโน่ (PORTOFINO) หมู่บ้านประมงเล็กๆ ในอิตาลีที่น่าเที่ยวชมอีกแห่งหนึ่ง โดยหมู่บ้านแห่งนี้ ยังถือเป็นรีสอร์ทเมืองสวรรค์สำหรับนักท่องเที่ยวในเมืองเจนัวอีกด้วย
  • อ่าวเรือยอร์ช (YATCH) ที่จอดเรียงรายอย่างเป็นระเบียบ ความสวยงามของที่นี่นั้นถึงกับทำให้บริษัทในเครือวอลท์ดิสนีย์ (WALT DISNEY) ต้องขอจำลองไปไว้ที่สวนสนุกดิสนีย์ซี (DISNEYSEA) ในประเทศญี่ปุ่นเลยทีเดียว เยี่ยมชม โบสถ์เซนต์มาร์ติน (DIVO MARTINO) สร้างตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 11
  • Serravalle Outlet แวะช้อปปิ้งสินค้าแบรนเนมราคาถูก จากนั้นเดินทางเข้าสู่ Milan เมืองสำคัญของประเทศอิตาลี มีชื่อเสียงในด้านแฟชั่นและศิลปะ โดยถูกจัดให้เป็นเมืองแฟชั่นในระดับเดียวกับ นิวยอร์ค ปารีส ลอนดอน และ โรม
  • คืนนี้เราจะพักกันที่เมือง Milan

Day 9 : Duomo – Milan Airport

  • ชมดูโอโม จากนั้นมุ่งหน้าสู่สนามบิน เป็นมหาวิหารประจำเมืองสร้างในสถาปัตยกรรมแบบโกธิก เป็นมหาวิหารที่ใหญ่เป็นอับดับสองรองจากมหาวิหารเซนต์ปีเตอร์ในกรุงวาติกัน
  • เตรียมตัวเดินทางไปยังสนามบิน เดินทางกลับกรุงเทพฯ โดยสายการบินไทย เที่ยวบินที่ TG941 เวลา 05 น.

Day 10 : Bangkok

  • เดินทางถึงประเทศไทยโดยสวัสดิภาพ

89,000

ไปไหนมาดอทคอม • 089-4789334 • 02-045-3445 • Line : @painaima.com • painaima@gmail.com • ติดต่อเรา

ไปไหนมาดอทคอม • ติดต่อเรา

Categories
Russia

ทัวร์ไบคาล

ทัวร์ไบคาล

Highlight

ไบคาล 6 วัน

ไบคาล ทรานไซบีเรีย 7 วัน

ไบคาล ทรานไซบีเรีย มูรมันก์ 12 วัน

Day 1 : Bangkok – Irkutsk

  • ช่วงบ่าย พบกันที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ
  • ถึงท่าอากาศยานนานาชาติเมืองอีร์คุตสค์ ประเทศรัสเซีย ผ่านการตรวจคนเข้าเมือง จากนั้นนำท่านเข้าสู่ที่พัก ภายในตัวเมืองอีรคุตสค์
  • คืนนี้เราจะพักกันที่ โรงแรม Angara 4* หรือเทียบเท่า

Day 2 : Listvynska – Dogsledge – Snowmobile – Chersky Peak  (B/L/D)

  • เดินทางสู่หมู่บ้านลิสต์เวียนก้า ห่างจาก Irkutsk ราว 70 กิโลเมตร เมืองเล็กๆ ริมทะเลสาบไบคาลที่มีสิ่งน่าสนใจและกิจกรรมหลายอย่างรอเราอยู่
  • สุนัขลากเลื่อน กิจกรรมที่ทุกท่านใฝ่ฝันจะได้ร่วมสักครั้ง เราจะพาท่านนั่งบน Sledge ที่ลากด้วยสุนัขประมาณ 6-8 ตัว ไปตามทางที่โรยด้วยเกล็ดหิมะ *(โปรแกรมอาจมีการเปลี่ยนแปลงขึ้นอยู่กับสภาพหิมะที่ปกคลุมว่ามีมากเพียงพอหรือไม่)
  • ร่วมทดลองขับ SNOWMOBILE พาหนะที่ใช้เดินทางของคนในพื้นที่อันหนาวเหน็บ ในช่วงเวลาหน้าหนาวที่หิมะหนานุ่มปกคลุมอยู่ทั้งเมือง จัดให้นั่งคันละ 2 ท่าน
  • นั่ง Ski lift สู่ เนินหินเชียร์สกี เพื่อชมทิวทัศน์ของทะเลสาบไบคาล จากชายฝั่งด้านทิศตะวันตกของทะเลสาบ มุมอันสวยงามของธรรมชาติ
  • คืนนี้เราจะพักกันที่ โรงแรม Angara หรือเทียบเท่า

Day 3 : Olkhon – Khorgoy – Ogoy – Buddhist Stupa – Khuzhir (B/L/D)

  • เดินทางสู่ เกาะโอลคอน ซึ่งเป็นเกาะที่มีขนาดใหญ่ที่สุดบนทะเลสาบไบคาล เมื่อถึงปลายแผ่นดินใหญ่ เราจะเปลี่ยนเป็นรถตู้ท้องถิ่นสไตล์รัสเซียแท้ๆ ที่จะสามารถวิ่งไปบนผืนน้ำแข็งได้
  • แวะพักยืดเส้นยืดสาย ชมวิว ณ จุดชมวิวก่อนข้ามสู่เกาะ Olkhon ที่นี่มีอนุสาวรีย์ของชายพเนจรตั้งอยู่ ริมอ่าว Kurkutsky Bay อนุสาวรีย์นี้เป็นตัวแทนของชายพเนจรในบทเพลงพื้นบ้านผู้ที่หนีการถูกลงโทษ พยายามข้ามทะเลสาบไบคาลกลับสู่เมืองอีรคุตสค์ ด้วยเรือสภาพผุพัง จากจุดนี้เราสามารถมองวิวทิวทัศน์ของทะเลสาบไบคาลได้อย่างชัดเจน
  • เปลี่ยนยานพาหนะสำหรับเดินทางเป็นรถตู้ท้องถิ่นสไตล์รัสเซียที่จะพาเราตะลุยไปบนแผ่นผืนน้ำแข็งอันกว้างใหญ่ ด้วยฝีมือคนขับขั้นเทพ ส่วนสัมภาระของเราจะเดินทางไปรอล่วงหน้าที่ โรงแรม เราจะได้เห็น รถตู้ UAZ เรียกอีกอย่างว่า “Buchanka” เริ่มผลิตตั้งแต่ปี 1941 ในสมัยสงครามโลก จนถึงทุกวันนี้ก็ยังผลิตอยู่ และมีสโลแกนว่า “ทำไมต้องคิดค้นสิ่งใหม่เมื่อสิ่งเก่ายังทำงานได้ดีอยู่”
  • จะแวะถ่ายรูปจุดสวยๆ หลายจุด เช่น ถ้ำ น้ำตกน้ำแข็งที่เกิดจากน้ำแข็ง (ในแต่ละปีมีรูปร่างต่างกันไป) ตามสภาวะของอากาศ ความหนาวเย็น และสายลม
  • ชม แหลมคอร์กอย ทางตอนใต้ของเกาะ ซึ่งเป็นบริเวณที่มีการพบ “ซากกำแพงหินโบราณ” ที่สันนิษฐานว่าอาจเคยใช้เป็นแนวป้องกันข้าศึกในอดีต
  • เดินทางสู่ เกาะโอกอย ซึ่งอยู่ทางตอนใต้ของเกาะโอลคอน ตั้งอยู่ในเขตทะเลน้อย สถูปพุทธแบบทิเบต สูง 8 เมตร ประดิษฐานบนเกาะเมื่อปี 2005 เพื่อสักการะบูชาบนเกาะ
  • Cape Dragon Island Ogoy อยู่ที่ปลายแหลมของเกาะ เป็นจุด Check in สำคัญของทริปไบคาลจุดหนึ่ง
  • คืนนี้เราจะพักกันที่ Olkhlon ลักษณะเป็น โรงแรมขนาดเล็ก มีน้ำอุ่น ภายในห้องอุ่น ไม่หนาว

Day 4 : Burkan – Shaman Rock – Three Rock – Khoboy Cape (B/L/D)

  • เดินชมแหลมบูรคาน หนึ่งในแลนด์มาร์คสำคัญของทะเลสาบไบคาล ที่เป็นที่ตั้งของ “โขดหินชามาน” สถานที่ประกอบพิธีกรรมของหมอผีสื่อวิญญาณตามความเชื่อของชาวไบคาล ก่อนการเผยแพร่ศาสนาพุทธจากทิเบตมายังบริเวณนี้ พร้อมกันกับที่ให้เวลาท่านได้ถ่ายภาพทิวทัศน์ไว้เป็นที่ระลึกตามอัธยาศัย
  • ชมหินสามพี่น้อง หรือ THREE BROTHER ROCK ตำนานท้องถิ่นกล่าวว่ามีพี่น้องสามตนซึ่งเป็นนกอินทรี พวกเขาจะบินเหนือเกาะและเพลิดเพลินกับท้องฟ้า ครั้งหนึ่งพวกเขาผิดคำสาบานที่ให้ไว้กับพ่อ เขาได้กินเนื้อสัตว์ที่ตายแล้ว เขาจึงถูกสาบให้กลายเป็นหิน
  • แหลมโคบอย ทางตอนเหนือสุดของเกาะโอลคอน พร้อมสัมผัสความงามของผืนน้ำแข็งสีฟ้าแวววาวที่โด่งดังในช่วงฤดูหนาว แนวถ้ำน้อยใหญ่ ถ่ายรูปกับน้ำแข็งรูปทรงแปลกตาสีฟ้า สีส้มตามการสะท้อนของแสงแดดและท้องฟ้า 
  • ถ่ายรูปฟองอากาศแข็งตัว • ลายน้ำแข็ง • ก้อนน้ำแข็งรูปทรงแปลกตา • น้ำตกน้ำแข็ง • ถ้ำน้ำแข็ง • รถตู้ UAZ
  • คืนนี้เราจะพักกันที่ Olkhlon

Day 5 : Olkhon – City tour Irkutsk (B/L/D)

  • อำลาเกาะโอลคอน เดินทางกลับสู่ตัวเมืองอีรคุตสค์ตามเส้นทางเดิม
  • นำท่านเที่ยวชมภายในตัวเมืองอีรคุตสค์ อาทิเช่น
  • โบสถ์คาซาน
  • ถนนคาร์ล มาร์กซ์ ที่รายล้อมด้วยอาคารสถาปัตยกรรมสมัยปลายศตวรรษที่ 19 โบราณสถานสำคัญภายในสำนักชีสนา
  • อนุสาวรีย์ยาคอฟ โปคาบอฟ ผู้ก่อตั้งเมืองอีรคุตสค์
  • ประตูชัยมอสโก อนุสรณ์แห่งการครองราชย์ครบ 10 ปีของจักรพรรดิอเล็กซานเดอร์ที่ 1
  • เปลวไฟนิรันดร์ ที่สร้างเพื่อรำลึกถึงทหารเกณฑ์จากดินแดนไซบีเรียผู้เข้าร่วมรบในสงครามโลกครั้งที่สองเมนสกี ซึ่งเป็นอาคารที่เคยถูกใช้งานหลากหลายรูปแบบตลอดสมัยจักรวรรดิรัสเซียและโซเวียต
  • อนุสาวรีย์นายพลคอลชัค หนึ่งในผู้นำการเคลื่อนไหวของกลุ่มรัสเซียขาวในสงครามกลางเมืองหลังการปฏิวัติรัสเซีย
  • อนุสาวรีย์จักรพรรดิอเล็กซานเดอร์ที่ 3 ผู้ดำริให้สร้างทางรถไฟประวัติศาสตร์สายทรานส์ไซบีเรีย
  • คืนนี้เราจะพักกันที่ โรงแรม Angara หรือเทียบเท่า

Day 6 : Irkutsk – Bangkok (B)

  • เดินทางสู่สนามบิน เพื่อเดินทางกลับกรุงเทพฯ

Day 1 : Bangkok

  • ช่วงบ่าย พบกันที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ
  • เดินทางถึงท่าอากาศยานนานาชาติเมืองอีรคุตสค์ ประเทศรัสเซีย
  • คืนนี้เราจะพักกันที่ โรงแรม Angara หรือเทียบเท่า

Day 2 : Irkutsk City Tour – Listvynska – Dogsledge  Snowmobile – Hovercraft – Chersky Peak (B/L/D)

  • นำท่านเที่ยวชมภายในตัวเมืองอีรคุตสค์ อาทิเช่น
  • อนุสาวรีย์ยาคอฟ โปคาบอฟ ผู้ก่อตั้งเมืองอีรคุตสค์
  • ประตูชัยมอสโก อนุสรณ์แห่งการครองราชย์ครบ 10 ปีของจักรพรรดิอเล็กซานเดอร์ที่ 1
  • เปลวไฟนิรันดร์ ที่สร้างเพื่อรำลึกถึงทหารเกณฑ์จากดินแดนไซบีเรียผู้เข้าร่วมรบในสงครามโลกครั้งที่สองเมนสกี ซึ่งเป็นอาคารที่เคยถูกใช้งานหลากหลายรูปแบบตลอดสมัยจักรวรรดิรัสเซียและโซเวียต
  • อนุสาวรีย์นายพลคอลชัค หนึ่งในผู้นำการเคลื่อนไหวของกลุ่มรัสเซียขาวในสงครามกลางเมืองหลังการปฏิวัติรัสเซีย
  • อนุสาวรีย์จักรพรรดิอเล็กซานเดอร์ที่ 3 ผู้ดำริให้สร้างทางรถไฟประวัติศาสตร์สายทรานส์ไซบีเรีย
  • เขตประวัติศาสตร์ ย่าน 130 ที่เต็มไปด้วยอาคารไม้ตามแบบสมัยต้นศตวรรษที่ 18
  • ได้เวลาสมควร เดินทางสู่หมู่บ้านลิสต์เวียนก้า ห่างจาก Irkutsk ราว 70 กิโลเมตร เมืองเล็กๆริมทะเลสาบไบคาลที่มีสิ่งน่าสนใจและกิจกรรมหลายอย่างรอเราอยู่
  • สุนัขลากเลื่อน กิจกรรมที่ทุกท่านใฝ่ฝันจะได้ร่วมสักครั้ง เราจะพาท่านนั่งบน Sledge ที่ลากด้วยสุนัขประมาณ 6-8 ตัว ไปตามทางที่โรยด้วยเกล็ดหิมะ *(โปรแกรมอาจมีการเปลี่ยนแปลงขึ้นอยู่กับสภาพหิมะที่ปกคลุมว่ามีมากเพียงพอหรือไม่)
  • ร่วมทดลองขับ SNOWMOBILE พาหนะที่ใช้เดินทางของคนในพื้นที่อันหนาวเหน็บ ในช่วงเวลาหน้าหนาวที่หิมะหนานุ่มปกคลุมอยู่ทั้งเมือง จัดให้นั่งคันละ 2 ท่าน
  • นั่ง Hovercraft เรือสะเทิ้นน้ำสะเทิ้นบก ที่จะพาคุณเคลื่อนที่ไปบนน้ำแข็งในประสบการณ์แปลกใหม่
  • นั่ง Ski lift สู่ เนินหินเชียร์สกี เพื่อชมทิวทัศน์ของทะเลสาบไบคาล จากชายฝั่งด้านทิศตะวันตกของทะเลสาบ มุมอันสวยงามของธรรมชาติ
  • คืนนี้เราจะพักกันที่ โรงแรม Angara หรือเทียบเท่า

 Day 3 : Transiberia

  • นั่งรถไฟทรานไซบีเรีย (Trans-Siberian Railway) เปิดประสบการณ์นั่งรถไฟสายตำนาน ที่นักเดินทางทุกคนต้องเคยฝันไว้ตั้งแต่เด็กๆ สู่เมือง Ulan Ude ใช้เวลาในการเดินทางประมาณ 8 ชม. พบกับทัศนียภาพอันสวยงามระหว่างการเดินทางบนเส้นทางระดับตำนานเส้นนี้ ที่มีชื่อเสียงดึงดูดนักเดินทางจากทั่วทุกมุมโลก
  • เดินทางถึงเมือง Ulan-Ude เมืองหลวงของสาธารณรัฐบูเรียเตียของประเทศรัสเซียและยังเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับสามของแคว้นไซบีเรียด้วย ส่วนตัวเมืองตั้งอยู่ริมแม่น้ำเซเลนกาโดยทางฝั่งใต้จะเป็นทะเลทรายยาวไปจนถึงมองโกเลีย เมืองที่ตั้งริมฝั่งแม่น้ำ Uda ยังมีกลิ่นอายของความเป็นเอเชียหลงเหลืออยู่มาก
  • ชมวัดไอโวลกินสกีดัตสัน วัดของพุทธศาสนานิกายมหายานที่ก่อสร้างตามสไตล์ของทิเบตมีคัมภีร์โบราณภาษาทิเบตและต้นโพธิ์ศักดิ์สิทธิ์เป็นสมบัติอันล้ำค่า Ivolginsky Datsan มีความหมายว่าศาสนสถานสำหรับการเรียนรู้ เบิกบาน และความสุขสร้างขึ้นในปี 1945 ในฐานะศูนย์รวมจิตวิญญาณแห่งพุทธศาสนา
  • คืนนี้เราจะพักกันที่ เมือง Ulan Ude

Day 4 : Datsan – Ust barguzin – Icecave

  • ชม Lenin Head รูปปั้นศรีษะของเลนินขนาดยักษ์ ผู้นำนักปฏิวัติมาร์กซิสคนแรกของโซเวียต รูปหล่อนี้ถูกสร้างขึ้นเมื่อปี 2513 มีความสูง7.7 เมตร และหนัก 42 ตัน ตั้งอยู่ ณ จตุรัสใจกลางเมือง ถนนสายหลักในเมือง ยังคงชื่อ Lenina Street ที่เป็นที่ตั้งของทั้งพิพิธภัณฑ์, โรงแรม และร้านค้าต่างๆ มากมาย
  • เดินทางสู่เมือง Ust barguzin เป็นอีกเมืองริมทะเลสบาบไปคาลที่ผู้คนยังมาเยือนน้อยจึงมีความสงบอยู่มาก
  • เมื่อถึงเมือง เปลี่ยนเป็นรถคันเล็กเพื่อเตรียมตัวไปถ่ายรูปกับมหัศจรรย์ Frozen icelake ที่น้อยคนนักจะได้มาเห็นในฝั่งนี้
  • ชม Ice Cave ความมหัศจรรย์ทางธรรมชาติของถ้ำน้ำแข็งที่ยังคงบริษุทธิ์อยู่มากๆ คุณจะต้องทึ่งกับลวดลายของเส้นน้ำแข็งชัดเจนและอลังการ กว่าที่ใดๆ ถ่ายรูปตามสบายไม่ติดหัวใคร และไม่มีใครแย่งมุม
  • คืนนี้พักที่ Ust barguzin

Day 5 :  Ice crossing – Khoboy Cape – Three Rock

  • Ice crossing เดินทางข้าม Open Sea หรือทะเลเปิด อันกว้างใหญ่ของทะเลสาบไบคาล จากฝั่งตะวันออกไปตะวันตก ชม ความสวยงามของ Blue Ice ระหว่างการเดินทาง ที่น้อยคนนักจะได้เห็น
  • แหลมโคบอย ปลายสุดแหลมของเกาะโอลคอน ที่เราจะพบเป็นจุดแรกหลังจากเดินทางข้ามทะเลเปิด แหลมนี้อยู่ทางตอนเหนือสุดของเกาะโอลคอน ถ่ายรูปกับกองน้ำแข็งสีฟ้า Blue ice แปลกตา และถ้ำน้ำแข็ง หามุมส่วนตัวของคุณเพื่อถ่ายรูปไปอวดเพื่อนๆ
  • ชมหินสามพี่น้อง หรือ THREE BROTHER ROCK ตำนานท้องถิ่นกล่าวว่ามีพี่น้องสามตนซึ่งเป็นนกอินทรี พวกเขาจะบินเหนือเกาะและเพลิดเพลินกับท้องฟ้า ครั้งหนึ่งพวกเขาผิดคำสาบานที่ให้ไว้กับพ่อ เขาได้กินเนื้อสัตว์ที่ตายแล้ว เขาจึงถูกสาบให้กลายเป็นหิน และเราจะแวะพักทานอาหารแบบ Picnic กันที่นี่
  • เสาไม้แกะสัญลักษณ์ เป็นความเชื่อของชาวชามาน ถูกหุ้มด้วยริบบิ้นสีสดใสพริ้วไหวในสายลม เสาทั้ง 13 ต้นนี้เป็นตัวแทนของเทพเจ้า 13 องค์ ของเกาะ
  • ถ่ายรูปกับ Shaman Rock หินศักสิทธิ์แห่งชาวชามาน อันเป็น จุดหมายสำคัญอีกแห่งของเกาะโอลคอน
  • คืนนี้เราจะพักกันที่ Olkhlon

Day 6 : Olkhon – Khorgoy – Ogoy – Buddhist Stupa – Irkutsk

  • พาแวะถ่ายรูปจุดสวยๆ หลายจุด เช่น ถ้ำน้ำแข็ง น้ำตกน้ำแข็งซึ่งในแต่ละปีจะมีรูปร่างต่างๆกันไปตามสภาวะของอากาศ ความหนาวเย็น และสายลม
  • เดินทางสู่ เกาะโอกอย ซึ่งอยู่ทางตอนใต้ของเกาะโอลคอน ตั้งอยู่ในเขตทะเลน้อย นมัสการ สถูปพุทธแบบทิเบต สูง 8 เมตร ประดิษฐานบนเกาะเมื่อปี 2005 เพื่อสักการะบูชา บนเกาะ ชม แหลมคอร์กอย ทางตอนใต้ของเกาะ
  • แวะถ่ายรูปกับ Cape Dragon Island Ogoy อยู่ที่ปลายแหลมของเกาะ เป็นจุด Check in สำคัญของทริปไบคาลจุดหนึ่ง
  • จากนั้นอำลาเกาะโอลคอน เดินทางกลับสู่ตัวเมืองอีรคุตสค์
  • คืนนี้เราจะพักกันที่ โรงแรม Angara หรือเทียบเท่า

Day 7 :  Irkutsk – Bangkok

  • เดินทางสู่สนามบิน เพื่อเดินทางกลับกรุงเทพฯ
  • 15.30 น. กลับถึงท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ โดยสวัสดิภาพพร้อมความประทับใจ

Day 1 : Bangkok – Irkutsk

  • ช่วงบ่าย พบกันที่สนามบินสุวรรณภูมิ
  • ถึงท่าอากาศยานนานาชาติเมืองอิรคุตสค์ ประเทศรัสเซีย
  • คืนนี้เราจะพักกันที่ โรงแรม Angara 4* หรือเทียบเท่า

Day 2 : Listvynska – Dogsledge – Snowmobile – Chersky Peak  Baikal Museum (B/L/D)

  • เดินทางสู่หมู่บ้านลิสต์เวียนก้า ห่างจาก Irkutsk ราว 70 กิโลเมตร เมืองเล็กๆ ริมทะเลสาบไบคาลที่มีสิ่งน่าสนใจและกิจกรรมหลายอย่างรอเราอยู่
  • สุนัขลากเลื่อน กิจกรรมที่ทุกท่านใฝ่ฝันจะได้ร่วมสักครั้ง เราจะพาท่านนั่งบน Sledge ที่ลากด้วยสุนัขประมาณ 6-8 ตัว ไปตามทางที่โรยด้วยเกล็ดหิมะ *(โปรแกรมอาจมีการเปลี่ยนแปลงขึ้นอยู่กับสภาพหิมะที่ปกคลุมว่ามีมากเพียงพอหรือไม่)
  • ร่วมทดลองขับ SNOWMOBILE พาหนะที่ใช้เดินทางของคนในพื้นที่อันหนาวเหน็บ ในช่วงเวลาหน้าหนาวที่หิมะหนานุ่มปกคลุมอยู่ทั้งเมือง จัดให้นั่งคันละ 2 ท่าน

นั่ง Ski lift สู่ เนินหินเชียร์สกี เพื่อชมทิวทัศน์ของทะเลสาบไบคาล จากชายฝั่งด้านทิศตะวันตกของทะเลสาบ มุมอันสวยงามของธรรมชาติ

  • ชมพิพิธภัณฑ์ไบคาลเพื่อเรียนรู้เรื่องระบบนิเวศน์ของทะเลสาบไบคาล ที่ประกอบไปด้วยพืชและสัตว์หลากหลายสายพันธุ์ที่น่าสนใจ รวมไปถึงดาวเด่นของพิพิธภัณฑ์ “แมวน้ำไบคาล” นอกจากนี้ยังมีนิทรรศการจำลองสภาพใต้น้ำของทะเลสาบไบคาลให้ชมกันอย่างใกล้ชิด
  • คืนนี้เราจะพักกันที่ โรงแรม Angara 4* หรือเทียบเท่า

Day 3 : Olkhlon – Khorgoy – Ogoy – Buddhist Stupa – Khuzhir (B/L/D)

  • เดินทางสู่ เกาะโอลคอน ซึ่งเป็นเกาะที่มีขนาดใหญ่ที่สุดบนทะเลสาบไบคาล (280 กม-4 ชม ) เมื่อถึงปลายแผ่นดินใหญ่ เราจะเปลี่ยนเป็นรถตู้ท้องถิ่นสไตล์รัสเซียแท้ๆ ที่จะสามารถวิ่งไปบนผืนน้ำแข็งได้
  • แวะพักยืดเส้นยืดสาย ชมวิว ณ จุดชมวิวก่อนข้ามสู่เกาะ Olkhlon ที่นี่มีอนุสาวรีย์ของชายพเนจรตั้งอยู่ ริมอ่าว Kurkutsky Bay อนุสาวรีย์นี้เป็นตัวแทนของชายพเนจรในบทเพลงพื้นบ้านผู้ที่หนีการถูกลงโทษ พยายามข้ามทะเลสาบไบคาลกลับสู่เมืองอิรคุตสก์ ด้วยเรือสภาพผุพัง จากจุดนี้เราสามารถมองวิวทิวทัศน์ของทะเลสาบไบคาลได้อย่างชัดเจน
  • เปลี่ยนยานพาหนะสำหรับเดินทางเป็นรถตู้ท้องถิ่นสไตล์รัสเซียที่จะพาเราตะลุยไปบนแผ่นผืนน้ำแข็งอันกว้างใหญ่ ด้วยฝีมือคนขับขั้นเทพ ส่วนสัมภาระของเราจะเดินทางไปรอล่วงหน้าที่ โรงแรม เราจะได้เห็น รถตู้ UAZ เรียกอีกอย่างว่า “Buchanka” เริ่มผลิตตั้งแต่ปี 1941 ในสมัยสงครามโลก จนถึงทุกวันนี้ก็ยังผลิตอยู่ และมีสโลแกนว่า “ทำไมต้องคิดค้นสิ่งใหม่เมื่อสิ่งเก่ายังทำงานได้ดีอยู่”
  • จะแวะถ่ายรูปจุดสวยๆ หลายจุด เช่นถ้ำ น้ำตกน้ำแข็งที่เกิดจากน้ำแข็ง (ในแต่ละปีมีรูปร่างต่างกันไป) ตามสภาวะของอากาศ ความหนาวเย็น และสายลม ชม แหลมคอร์กอย ทางตอนใต้ของเกาะ ซึ่งเป็นบริเวณที่มีการพบ “ซากกำแพงหินโบราณ” ที่สันนิษฐานว่าอาจเคยใช้เป็นแนวป้องกันข้าศึกในอดีต

เดินทางสู่ เกาะโอกอย ซึ่งอยู่ทางตอนใต้ของเกาะโอลคลอน ตั้งอยู่ในเขตทะเลน้อย สถูปพุทธแบบทิเบต สูง 8 เมตร ประดิษฐานบนเกาะเมื่อปี 2005 เพื่อศักการะบูชาบนเกาะ Cape Dragon Island Ogoy อยู่ที่ปลายแหลมของเกาะ เป็นจุด Check in สำคัญของทริปไบคาลจุดหนึ่ง

  • คืนนี้เราจะพักกันที่ Mini Hotel Guest house หรือเทียบเท่า มีน้ำอุ่น มี Heater

Day 4 : Shaman Rock – Three Rock – Khoboy Cape (B/L/D)

  • แหลมบูรคาน หนึ่งในแลนด์มาร์คสำคัญของทะเลสาบไบคาล ที่เป็นที่ตั้งของ “โขดหินชามาน” สถานที่ประกอบพิธีกรรมของหมอผีสื่อวิญญาณตามความเชื่อของชาวไบคาล ก่อนการเผยแพร่ศาสนาพุทธจากทิเบตมายังบริเวณนี้ พร้อมกันกับที่ให้เวลาท่านได้ถ่ายภาพทิวทัศน์ไว้เป็นที่ระลึกตามอัธยาศัย
  • รู้จักชาว ชามาน เกาะ Olkhon นั้นเป็นที่อยู่ของชนพื้นเมือง Buryat ซึ่งเป็นชนกลุ่มน้อยทางตอนเหนือของ Mongols เกาะนี้ได้รับการยกย่องว่าเป็นศูนย์กลางอันศักดิ์สิทธิ์ของชาแมนในซีกโลกเหนือและเชื่อกันว่าเป็น“ หนึ่งในห้าพื้นที่” ของพลังงานชามานิก
  • เสาไม้แกะสัญลักษณ์ เป็นความเชื่อของชาวชามาน ถูกหุ้มด้วยริบบิ้นสีสดใสพริ้วไหวในสายลม เสาทั้ง 13 ต้นนี้เป็นตัวแทนของเทพเจ้า 13 องค์ของเกาะ ถ่ายรูปกับน้ำแข็งรูปทรงแปลกตาสีฟ้า สีส้มตามการสะท้อนของแสงแดดและท้องฟ้า
  • ชมหินสามพี่น้อง หรือ THREE BROTHER ROCK ตำนานท้องถิ่นกล่าวว่ามีพี่น้องสามตนซึ่งเป็นนกอินทรี พวกเขาจะบินเหนือเกาะและเพลิดเพลินกับท้องฟ้า ครั้งหนึ่งพวกเขาผิดคำสาบานที่ให้ไว้กับพ่อ เขาได้กินเนื้อสัตว์ที่ตายแล้ว เขาจึงถูกสาบให้กลายเป็นหิน
  • แหลมโคบอย ทางตอนเหนือสุดของเกาะโอลคอน พร้อมสัมผัสความงามของผืนน้ำแข็งสีฟ้าแวววาวที่โด่งดังในช่วงฤดูหนาว แนวถ้ำน้อยใหญ่
  • คืนนี้เราจะพักกันที่ Mini Hotel Guest house หรือเทียบเท่า มีน้ำอุ่น มี Heater
  • ถ่ายรูปฟองอากาศแข็งตัว • ลายน้ำแข็งที่ร่อนร้าว • ก้อนน้ำแข็งรูปทรงแปลกตา • น้ำตกน้ำแข็ง • ถ้ำน้ำแข็ง • รถตู้ UAZ

Day 5 : Ice crossing – Chivyrkuy Bay – Sacred Nose Penninsula (B/L/D)

  • เดินทางข้ามแผ่นน้ำแข็ง Ice crossing ผืนน้ำแข็งขนาดใหญ่ข้ามไปยังอีกฝั่งชม Chivyrkuy Bay อ่าวที่มีชื่อเสียงที่สุดของทะเลสาบไบคาลฝั่งตะวันออก ท่ามกลางภูเขาหิมะสีขาวและน้ำแข็งสีฟ้าใสในทะเลสาบ
  • Sacred Nose Penninsula อันเป็นคาบสมุทรที่เปรียบเสมือนจมูกแห่งไบคาลก็ว่าได้ เป็นคาบสมุทรขนาดใหญ่เพียงแห่งเดียวในทะเลสาบ Baikal 53 กิโลเมตรและกว้างถึง 20 กิโลเมตร ยอดเขาที่สูงที่สุดคือ 1877 เมตร มีลำธารและแม่น้ำหลายสิบสายไหลผ่าน ชมทะเลสาบไบคาลในมุมที่คนอื่นไม่เคยเห็น
  • พักที่ Chivyrkuy Bay

Day 6 : Barguzin Bay – Ulan Ude – Ivolginsky Datsan – Lenin Head (B/L/D)

  • เดินทางสู่ Barguzin Bay ข้ามผืนแผ่นน้ำแข็ง อันกว้างใหญ่ สู่ชายฝั่งตะวันออกของทะเลสาบไบคาล ชมความสวยงามอันน่าตื่นตาซึ่งถูกขนานนามว่า “end of the world”
  • เดินทางเข้าสู่เมือง Ulan-Ude เมืองหลวงของสาธารณรัฐบูเรียเตียของประเทศรัสเซียและยังเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับสามของแคว้นไซบีเรียด้วย ส่วนตัวเมืองตั้งอยู่ริมแม่น้ำเซเลนกาโดยทางฝั่งใต้จะเป็นทะเลทรายยาวไปจนถึงมองโกเลีย เมืองที่ตั้งริมฝั่งแม่น้ำ Uda ยังมีกลิ่นอายของความเป็นเอเชียหลงเหลืออยู่มาก
  • วัดไอโวลกินสกี้ ดัตซัน วัดของพุทธศาสนานิกายมหายานที่ก่อสร้างตามสไตล์ของทิเบตมีคัมภีร์โบราณภาษาทิเบตและต้นโพธิ์ศักดิ์สิทธิ์เป็นสมบัติอันล้ำค่า สร้างขึ้นในปี 1945 ในฐานะศูนย์รวมจิตวิญญาณแห่งพุทธศาสนา
  • Lenin Head รูปปั้นศรีษะของเลนินขนาดยักษ์ ผู้นำนักปฏิวัติมาร์กซิสคนแรกของโซเวียต รูปหล่อนี้ถูกสร้างขึ้นเมื่อปี 2513 มีความสูง 7 เมตร และหนัก 42 ตัน ตั้งอยู่ ณ จัตุรัสใจกลางเมือง ถนนสายหลักในเมือง ยังคงชื่อ Lenina Street ที่เป็นที่ตั้งของทั้งพิพิธภัณฑ์, โรงแรม และร้านค้าต่างๆ มากมาย
  • เดินเล่นที่ย่าน Arbat ซึ่งเป็นย่านเมืองเก่าของ Ulan Ude ให้ท่านได้สัมผัสบรรยากาศร้านรวง และอาหารท้องถิ่นหลากเมนูที่ขึ้นชื่อ
  • คืนนี้เราจะพักกันที่ โรงแรม Hotel Buryatia หรือเทียบเท่า

Day 7 : Ulan Ude – Irkutsk (B/L/D)

  • นั่งรถไฟทรานไซบีเรีย (Trans-Siberian Railway) สู่เมือง Irkutsk ใช้เวลาในการเดินทางประมาณ 8 ชม. พบกับทัศนียภาพอันสวยงามระหว่างการเดินทางบนเส้นทางระดับตำนานเส้นนี้ ที่มีชื่อเสียงดึงดูดนักเดินทางจากทั่วทุกมุมโลก
  • คืนนี้เราจะพักกันที่ โรงแรม Angara 4* หรือเทียบเท่า

Day 8 : Irkutsk – Murmansk (B/L/D)

  • นำท่านเที่ยวชมภายในตัวเมืองอิรคุตสค์ อาทิเช่น เขตประวัติศาสตร์ ย่าน 130 ที่เต็มไปด้วยอาคารไม้ตามแบบสมัยต้นศตวรรษที่ 18
  • ถนนคาร์ล มาร์กซ์ ที่รายล้อมด้วยอาคารสถาปัตยกรรมสมัยปลายศตวรรษที่ 19 โบราณสถานสำคัญภายในสำนักชี
  • อนุสาวรีย์ยาคอฟ โปคาบอฟ ผู้ก่อตั้งเมืองอิรคุตสก์
  • ประตูชัยมอสโก อนุสรณ์แห่งการครองราชย์ครบ 10 ปีของจักรพรรดิอเล็กซานเดอร์ที่ 1
  • เปลวไฟนิรันดร์ ที่สร้างเพื่อรำลึกถึงทหารเกณฑ์จากดินแดนไซบีเรียผู้เข้าร่วมรบในสงครามโลกครั้งที่สองเมนสกี ซึ่งเป็นอาคารที่เคยถูกใช้งานหลากหลายรูปแบบตลอดสมัยจักรวรรดิรัสเซียและโซเวียต
  • อนุสาวรีย์นายพลคอลชัค หนึ่งในผู้นำการเคลื่อนไหวของกลุ่มรัสเซียขาวในสงครามกลางเมืองหลังการปฏิวัติรัสเซีย
  • อนุสาวรีย์จักรพรรดิอเล็กซานเดอร์ที่ 3 ผู้ดำริให้สร้างทางรถไฟประวัติศาสตร์สายทรานส์ไซบีเรีย
  • เดินทางสู่สนามบิน เพื่อเดินทางสู่เมืองมูรมันสค์
  • เดินทางเข้าที่พักในเมือง Murmansk ***หลังเชคอินโรงแรม ถ้าอากาศเปิดนำท่านออกล่าแสงเหนือ

Day 9 : Murmansk – Teriberka (B/L/D)

  • นำท่านเดินทางเข้าสู่เมือง เทอริเบอก้า (Teriberka) ซึ่งเป็นเมืองชนบทของประเทศรัสเซีย ตั้งอยู่ในแคว้นมูรมันสค์ แถบชายผั่งทะเลบาร์เร้นทส์ (Barents Sea) สัมผัสกับความหนาวเย็นท่ามกลางภูเขาที่ปกคลุมไปด้วยหิมะและธรรมชาติอันสวยงาม
  • เที่ยวชมบริเวณ อ่าวเทอริเบอก้า ซึ่งเต็มไปด้วยบรรยากาศอันเงียบสงบ บริเวณนี้ยังเคยใช้เป็นสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์ชื่อดังของรัสเซีย เรื่อง Leviathan จากนั้นเยี่ยมชมวิถีชีวิตของ หมู่บ้านชาวประมง ที่น่าประทับใจอีกด้วย
  • รับประทานอาหารเที่ยงแบบปิคนิค พาท่านเที่ยวชมเมืองเทอริเบอก้า จนได้เวลาอันสมควร จึงนำท่านเดินทางกลับสู่เมืองมูรมันสค์
  • นำท่านล่าแสงออโรร่าหรือแสงเหนือ ปรากฏการณ์ที่เกิดในฤดูหนาว มองเห็นได้เฉพาะพื้นที่เหนือเส้น รุ้ง 66 ในวันที่ฟ้ามืดสนิทไร้แสงและเมฆรบกวน เราจะเห็นกลุ่มหมอกสีเขียวที่เกิดจากปฏิกิริยาระหว่างสนามแม่เหล็กจากดวงอาทิตย์ กับอนุภาคที่อยู่ในชั้นบรรยากาศ โดยปรากฏการณ์ แสงออโรร่านั้นจะขึ้นอยู่กับสภาพอากาศในขณะนั้นด้วย

*** หากเส้นทางไปเทอริเบอก้า ไม่สามารถเดินทางได้ เช่นหิมะตกหนัก ถนนปิด เราจะเปลี่ยนเส้นทางไปที่  Safari Snow Village แทน ***

  • คืนนี้เราจะพักกันที่เมือง Murmansk

Day 10  : Murmansk – Sami Village  (B/L/D)

  • พาชม หมู่บ้านซามี่ (Sami Village) หมู่บ้านเล็กๆของชนเผ่าพื้นเมืองที่มีอาชีพล่าสัตว์ โดยลักษณะของหมู่บ้านได้สร้างคล้ายกับพิพิธภัณฑ์เพื่อการเรียนรู้วิถีชีวิตชนเผ่า Majestic Idols ประติมากรรมอันเป็นตัวแทนของธรรมชาติ ได้แก่ ไฟ โลก น้ำ อากาศ โดยมีความเชื่อว่าหากมาอธิษฐานขอพรกับประติมากรรมชิ้นนี้ จะทำให้เกิดความโชคดีแก่ตนเอง
  • ฟาร์มกวางเรนเดียร์ ภายในหมู่บ้านจะเห็นชนเผ่าเลี้ยงกวางเรนเดียร์ไว้สำหรับลากเลื่อน และมีสัตว์อื่นๆ อีกมากเช่น สุนัขจิ้งจอก กระต่ายป่า สัมผัสกับความน่ารักแสนรู้ของสุนัขลากเลื่อน ซึ่งตั้งอยู่ท่ามกลางหิมะอันขาวโพลน
  • นำท่านล่าแสงออโรร่าหรือแสงเหนือ ปรากฏการณ์ที่เกิดในฤดูหนาว มองเห็นได้เฉพาะพื้นที่เหนือเส้น รุ้ง 66 ในวันที่ฟ้ามืดสนิทไร้แสงและเมฆรบกวน เราจะเห็นกลุ่มหมอกสีเขียวที่เกิดจากปฏิกิริยาระหว่างสนามแม่เหล็กจากดวงอาทิตย์ กับอนุภาคที่อยู่ในชั้นบรรยากาศ
  • คืนนี้เราจะพักกันที่เมือง Murmansk 

Day 11 : Murmansk – Moscow – Bangkok (B/-/-)

  • ชมอนุสาวรีย์อโลชา (Alyosha Memorial) ที่สร้างขึ้นเพื่ออุทิศให้กับเหล่าทหารกองทัพของโซเวียตที่สามารถตรึงกองกำลังเพื่อหยุดยั้งการรุกคืบจากกองทัพเยอรมัน เป็นรูปปั้นขนาดสูงถึง 5 เมตร สูงเป็นอันดับสองของรัสเซียและมีน้ำหนักกว่า 5,000 ตัน
  • เดินทางสู่สนามบิน เพื่อเดินทางกลับกรุงเทพฯ

Day 12 : Bangkok

  • กลับถึงท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ โดยสวัสดิภาพพร้อมความประทับใจ

10-15 กพ. 66
เริ่มต้น 45,900 บาท

ไปไหนมาดอทคอม • 089-4789334 • 02-045-3445 • Line : @painaima.com • painaima@gmail.com • ติดต่อเรา

ไปไหนมาดอทคอม • ติดต่อเรา

Categories
Northernlight Russia

ทัวร์มูรมันสก์รัสเซีย นั่งรถไฟชมแสงเหนือ

ทัวร์มูรมันสก์

Highlight

Day 1 : Bangkok – Moscow – Murmansk

  • ช่วงเช้า พบกันที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ

Day 2 : Murmansk – Teriberka

  • เดินทางสู่ เมือง เทอริเบอก้า (Teriberka) เมืองชนบทของประเทศรัสเซีย ตั้งอยู่ในแคว้นมูรมันสค์ แคว้นชายฝั่งทะเลบาร์เร้นทส์ (Barents Sea) สัมผัสกับความหนาวเย็นท่ามกลางภูเขาที่ปกคลุมไปด้วยหิมะและธรรมชาติอันสวยงาม
  • อ่าวเทอริเบอก้า ซึ่งเต็มไปด้วยบรรยากาศอันเงียบสงบ บริเวณนี้ยังเคยใช้เป็นสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์ชื่อดังของรัสเซีย เรื่อง Leviathan ชมวิถีชีวิตของ หมู่บ้านชาวประมง ที่น่าประทับใจ
  • อนุสาวรีย์อโลชา (Alyosha Memorial) สร้างขึ้นเพื่ออุทิศให้กับเหล่าทหารกองทัพของโซเวียตที่สามารถตรึงกองกำลังเพื่อหยุดยั้งการรุกคืบจากกองทัพเยอรมัน เป็นรูปปั้นขนาดสูงถึง 5 เมตร สูงเป็นอันดับสองของรัสเซียและมีน้ำหนักกว่า 5,000 ตัน
  • นำท่านล่าแสงออโรร่า หรือแสงเหนือ ปรากฏการณ์ที่เกิดในฤดูหนาว มองเห็นได้เฉพาะพื้นที่เหนือเส้นรุ้ง 66 ในวันที่ฟ้ามืดสนิทไร้แสงและเมฆรบกวน เราจะเห็นกลุ่มหมอกสีเขียวที่เกิดจากปฏิกิริยาระหว่างสนามแม่เหล็กจากดวงอาทิตย์ กับอนุภาคที่อยู่ในชั้นบรรยากาศ
  • คืนนี้เราจะพักกันที่ เมืองมูรมันสค์

Day 3 : Murmansk – Sami Village

  • เดินทางสู่ หมู่บ้านซามี่ (Saami Village) หมู่บ้านเล็กๆของชนเผ่าพื้นเมืองที่มีอาชีพล่าสัตว์ โดยลักษณะของหมู่บ้านได้สร้างคล้ายกับพิพิธภัณฑ์เพื่อการเรียนรู้วิถีชีวิตชนเผ่า ภายในจะเห็นชนเผ่าเลี้ยงกวางเรนเดียร์ไว้สำหรับลากเลื่อน และมีสัตว์อื่นๆอีกมากมาย เช่น สุนัขจิ้งจอก กระต่ายป่า
  • ชม Majestic Idols ประติมากรรมอันเป็นตัวแทนของธรรมชาติ ได้แก่ ไฟ โลก น้ำ อากาศ โดยมีความเชื่อว่าหากมาอธิษฐานขอพรกับประติมากรรมชิ้นนี้ จะทำให้เกิดความโชคดีแก่ตนเอง ไม่ว่าจะเป็น เรื่องของสุขภาพที่ดี รวมถึงเรื่องความรักก็จะสมปรารถนาอีกด้วย
  • เที่ยวชมความน่ารักและให้อาหารฝูงกวางใน ฟาร์มกวางเรนเดียร์ จากนั้นท่านจะได้สัมผัสกับความน่ารักแสนรู้ของสุนัขลากเลื่อน ซึ่งตั้งอยู่ท่ามกลางหิมะอันขาวโพลน
  • Husky Farm ให้ท่านได้ชมความน่ารักของสุนัขแสนรู้ ฮัสกี้ เป็นสุนัขพันธุ์ฉลาดเฉลียวและแข็งแรงมาก โดยอาศัยอยู่ในเขตหนาว ซึ่งชาวแลปป์ได้เลี้ยงสุนัขพันธุ์นี้เพื่อใช้ในการลากเลื่อนบนน้ำแข็งหรือหิมะ ให้ท่านได้สัมผัสประสบการณ์นั่งรถเทียมสุนัขฮัสกี้ลากเลื่อน (Husky Sledding)
  • นำท่านล่าแสงออโรร่าหรือแสงเหนือ ปรากฏการณ์ที่เกิดในฤดูหนาว มองเห็นได้เฉพาะพื้นที่เหนือเส้น รุ้ง 66 ในวันที่ฟ้ามืดสนิทไร้แสงและเมฆรบกวน เราจะเห็นกลุ่มหมอกสีเขียวที่เกิดจากปฏิกิริยาระหว่างสนามแม่เหล็กจากดวงอาทิตย์ กับอนุภาคที่อยู่ในชั้นบรรยากาศ
  • คืนนี้เราจะพักกันที่ เมือง Kirovsk

Day 4 : Snowmobiles – Snow village

  • เดินทางสู่ภูเขาคิบินี (Khibiny Mountains) จุดศูนย์กลางของคาบสมุทรโคล่า สนุกสนานไปกับการนั่ง Snowmobile กลางทุ่งหิมะอันหนาวเย็นท่ามกลางป่าไม้และทะเลสาบน้ำแข็งของภูมิประเทศเขตอาร์กติกที่ไม่เหมือนใคร
  • จากนั้นนำท่านเดินทางสู่เมืองหิมะ (Snow Village) ที่สร้างขึ้นจากหิมะทั้งหมด ที่มีการสร้างประติมากรรมน้ำแข็งเป็นรูปร่างต่างๆที่สวยงาม มีทั้งอาคาร,รูปปั้น, โบสถ์น้ำแข็ง, อุโมงค์ถ้ำ, เฟอร์นิเจอร์ต่างๆ
  • เตรียมตัวไปยังสถานีรถไฟ เพื่อไปเมือง Petrozavodsk ด้วย Night Arctic train (พักห้องละ 4 ท่าน)

Day 5 : Petrozavodsk

  • ตื่นรับแสงแรกแห่งวันบนเส้นทางสาย Arctic Train ถึงเมือง Petrozavodsk เวลา 50 น. เมือง “เปโตรซาวอดสค์”  อดีตเคยเป็นแหล่งผลิตอาวุธยุทโธปกรณ์ที่สำคัญในสมัยจักรวรรดิรัสเซีย ขณะที่ในสมัยโซเวียตเคยถูกยึดครองโดยกองทัพฟินแลนด์ นอกจากนี้ยังเป็นแหล่งกำเนิดของปรากฏการณ์ลึกลับบนท้องฟ้าในช่วงปี ค.ศ. 1977
  • ชมวิวเขตปกครองพิเศษคาเรเลีย ที่ปกคลุมไปด้วยหิมะ สีขาวจากหน้าต่างรถไฟ
  • เดินทางถึง Petrozavodsk เมืองหลวงของสาธารณรัฐคาเรเลีย ตั้งอยู่ริมทะเลสาบ “โอเนกา” ทะเลสาบธารน้ำแข็งที่กว้างใหญ่เป็นอันดับสองในภูมิภาคนี้
  • คืนนี้เราจะพักกันที่ เมือง Petrozavodsk

Day 6 : Petrozavodsk – Moscow – Bangkok

  • เดินทางไปยัง Moscow โดยสายการบินภายในประเทศ
  • แวะช้อปปิ้งที่ ตลาดอิสไมโลโว ตลาดขายของฝากราคาไม่แพง สินค้าที่ขึ้นชื่อได้แก่ตุ๊กตาแม่ลูกดก งานไม้ต่างๆ
  • เตรียมตัวเดินทางสู่สนามบินเชเรมิตเตโวเพื่อเดินทางกลับกรุงเทพฯ

 Day 7 : Bangkok

  • เดินทางถึงกรุงเทพฯ โดยสวัสดิภาพและความประทับใจ

Day 1 : Bangkok – Moscow – St.Petersburg

  • ช่วงเช้า พบกันที่ท่่าอากาศยานสุวรรณภูมิ
  • เดินทางถึงเซนท์ปีเตอร์เบิร์ก เดินทางเข้าเมือง
  • คืนนี้พักที่ Best western Hotel หรือเทียบเท่า

Day 2 : St.Petersburg

  • เมือง peterburg ได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก เดิมชื่อว่าเมืองเปโตรกราดและเลนินกราด เป็นเมืองท่าที่สำคัญในประเทศรัสเซียและเคยเป็นเมืองหลวงของรัสเซียนาน 206 ปี
  • ชม จัตุรัสพระราชวัง ศูนย์กลางของเมืองเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กอีกหนึ่งมรดกโลก ที่นี่ได้บันทึกเหตุการณ์สำคัญในทางประวัติศาสตร์ของประเทศรัสเซียที่เกิดขึ้นหลายต่อหลายครั้ง รวมถึงการลุกฮือซึ่งนำไปสู่การปฏิวัติล้มระบอบซาร์
  • พระราชวังแคทเธอรีน ตั้งอยู่ในเมือง Pushkin เป็นพระราชวังฤดูร้อนที่งดงามมาก สร้างขึ้นสมัยพระเจ้าปีเตอร์มหาราช ในปี คศ. 1717 เพื่อเป็นที่พักผ่อนในฤดูร้อนกับพระมเหสี พระนางแคทเธอรีนที่ 1 สีของพระราชวังนี้สีฟ้าแทนพระเนตรของพระนางเเละสีทองแทนพระเกศา มีสวนแห่งความสุข ความทรงจำและห้องภาพต่างๆด้วยศิลปะคลาสสิกภายในเน้นตกแต่งประดับประดาผนังห้องด้วยลายปูนปั้นต่างๆ เพดานเขียนภาพแฟรสโก้
  • ห้องอำพัน ตั้งอยู่ภายในพระราชวังแคทเธอรีน เป็นห้องที่ผนังทำด้วยอำพันทั้งสิ้น 6 ตัน ทั้งห้องตกแต่งด้วยทองคำเปลวและกระจก มีความมหัศจรรย์ สวยงามเป็นอย่างมากจนทุกคนต้องตลึง
  • วิหารเซนต์ไอแซค ใช้เป็นสถานที่ในการประกอบพิธีกรรมสำคัญต่างๆ เช่นพิธีราชาภิเษกหรือใช้ทำพิธีก่อนพระราชาจะออกไปรบ โดมของวิหารประดับด้วยทองคำแท้น้ำหนักกว่า 100 กิโลกรัม ด้านนอกเป็นเสาหินอ่อนขนาดใหญ่ จึงทำให้มีความโดดเด่นเป็นสง่า มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว
  • อนุสาวรีย์ซาร์ปีเตอร์บนหลังม้า เป็นแลนด์มาร์คที่สำคัญของเมืองเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก ที่สร้างขึ้นมาเพื่ออุทิศให้กับพระเจ้าซาร์ปีเตอร์มหาราช ผู้ซึ่งวางรากฐานอันมั่นคงให้กับเมืองเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กรวมถึงจักรวรรดิรัสเซีย
  • จัตุรัสรัฐสภา อดีตเคยเป็นจตุรัสกลางเมือง เคยถูกเปลี่ยนชื่อเป็น Decemrists square ในปี 1925 เพื่อระลึกถึงการครบรอบ 100 ปีของการเกิดปฏิวัติเดือนธันวาคมในปี 1825 และถูกเปลี่ยนชื่ออีกครั้งในปี 2008 มาเป็น Senetor square จนถึงทุกวันนี้
  • สเตรลคา (Strelka) หรือ “แหลม” ในภาษาอังกฤษ เป็นจุดชมวิวมหานครที่น่าตื่นตาตื่นใจ จากจุดนี้สามารถชมเมืองเป็นฉากหลงอันยิ่งใหญ่ มีแม่น้ำเนวาอันกว้างใหญ่เป็นฉากหน้า
  • Rostral column เสาหินสีแดง 2 ต้น สร้างเมื่อ ค.ศ. 1810 เคยเป็นประภาคารสำหรับการเดินเรือ เสา 2 ต้นนี้ สูง 32 เมตร ตั้งอยู่บนเกาะวาซิลเยฟสกี้ฝั่งแม่น้ำเนวา ตรงข้ามพระราชวังฤดูหนาว (Hermitage) อีกด้านของเสาเป็นอาคารตลาดหลักทรัพย์ รูปแบบเสาเป็นรูปหัวเรือและมีแม่ย่านางเรือ ฐานสลักหินรูปเทพเจ้า Neptune และ Merkury เทพผู้ปกครองท้องทะเลและการเดินเรือ
  • ชม “ป้อมปีเตอร์และปอล” ตั้งอยู่บน เกาะวาซิลเยฟสกี้ เป็นสิ่งก่อสร้างแรกที่สร้างในเมืองเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก ตั้งอยู่ ณ ริมฝั่งแม่น้ำเนวา ป้อมปราการสร้างขึ้นเป็นรูปทรงหกเหลี่ยม เพื่อคุ้มกันเมืองจากศัตรูทางน้ำ รวมถึง อนุสรณ์แห่งชัยชนะสงครามเหนือสวีเดน
  • คืนนี้พักที่ Best western Hotel หรือเทียบเท่า

Day 3 : St.Petersburg – Murmansk

  • นำชม พิพิธภัณฑ์แห่งชาติเฮอร์มิเทจ หนึ่งในพิพิธภัณฑ์ที่เก่าแก่และใหญ่ที่สุดในโลก อาคารจัดแสดงหลักตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำเนวา อดีตเคยเป็นพระราชวังที่ประทับของจักรพรรดิและจักรพรรดินีแห่งรัสเซียในช่วงฤดูหนาว รวบรวมผลงานชิ้นเอกของศิลปินระดับโลก เครื่องใช้ของราชวงศ์ รวมถึงบรรณาการจากราชวงศ์ทั่วโลก จัดแสดงในห้องซึ่งประดับประดาอย่างงดงามกว่าพันห้อง
  • ชม “ถนนเนฟสกี” ถนนสายหลักใจกลางเมือง เซนต์ปีเตอร์สเบิร์กที่สองข้างทางเต็มไปด้วยทิวทัศน์อาคารซึ่งสร้างขึ้นตั้งแต่ศตวรรษที่ 18
  • ออกเดินทางไปยังมูรมันสค์ โดยสายการบินภายในประเทศ
  • คืนนี้เราจะพักกันที่ เมืองมูรมันสค์ หลังเชคอินพาท่านออกล่าแสงเหนือ

Day 4 : Murmansk – Teriberka

  • เดินทางสู่ เมือง เทอริเบอก้า (Teriberka) เมืองชนบทของประเทศรัสเซีย ตั้งอยู่ในแคว้นมูรมันสค์ แถบชายฝั่งทะเลบาร์เร้นทส์ (Barents Sea) สัมผัสกับความหนาวเย็นท่ามกลางภูเขาที่ปกคลุมไปด้วยหิมะและธรรมชาติอันสวยงาม
  • อ่าวเทอริเบอก้า ซึ่งเต็มไปด้วยบรรยากาศอันเงียบสงบ บริเวณนี้ยังเคยใช้เป็นสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์ชื่อดังของรัสเซีย เรื่อง Leviathan ชมวิถีชีวิตของ หมู่บ้านชาวประมง ที่น่าประทับใจ
  • อนุสาวรีย์อโลชา (Alyosha Memorial) สร้างขึ้นเพื่ออุทิศให้กับเหล่าทหารกองทัพของโซเวียตที่สามารถตรึงกองกำลังเพื่อหยุดยั้งการรุกคืบจากกองทัพเยอรมัน เป็นรูปปั้นขนาดสูงถึง 35.5 เมตร สูงเป็นอันดับสองของรัสเซียและมีน้ำหนักกว่า 5,000 ตัน
  • นำท่านล่าแสงออโรร่า หรือแสงเหนือ ปรากฏการณ์ที่เกิดในฤดูหนาว มองเห็นได้เฉพาะพื้นที่เหนือเส้น รุ้ง 66 ในวันที่ฟ้ามืดสนิทไร้แสงและเมฆรบกวน เราจะเห็นกลุ่มหมอกสีเขียวที่เกิดจากปฏิกิริยาระหว่างสนามแม่เหล็กจากดวงอาทิตย์ กับอนุภาคที่อยู่ในชั้นบรรยากาศ
  • คืนนี้เราจะพักกันที่ เมืองมูรมันสค์

Day 5 : Murmansk – Sami Village

  • เดินทางสู่ หมู่บ้านซามี่ (Sami Village) หมู่บ้านเล็กๆของชนเผ่าพื้นเมืองที่มีอาชีพล่าสัตว์ โดยลักษณะของหมู่บ้านได้สร้างคล้ายกับพิพิธภัณฑ์เพื่อการเรียนรู้วิถีชีวิตชนเผ่า ภายในจะเห็นชนเผ่าเลี้ยงกวางเรนเดียร์ไว้สำหรับลากเลื่อน และมีสัตว์อื่นๆ อีกมากมาย เช่น สุนัขจิ้งจอก กระต่ายป่า
  • ชม Majestic Idols ประติมากรรมอันเป็นตัวแทนของธรรมชาติ ได้แก่ ไฟ โลก น้ำ อากาศ โดยมีความเชื่อว่าหากมาอธิษฐานขอพรกับประติมากรรมชิ้นนี้ จะทำให้เกิดความโชคดีแก่ตนเอง ไม่ว่าจะเป็น เรื่องของสุขภาพที่ดี รวมถึงเรื่องความรักก็จะสมปรารถนาอีกด้วย
  • เที่ยวชมความน่ารักและให้อาหารฝูงกวางใน ฟาร์มกวางเรนเดียร์ จากนั้นท่านจะได้สัมผัสกับความน่ารักแสนรู้ของสุนัขลากเลื่อน ซึ่งตั้งอยู่ท่ามกลางหิมะอันขาวโพลน
  • Husky Farm ให้ท่านได้ชมความน่ารักของสุนัขแสนรู้ ฮัสกี้ เป็นสุนัขพันธุ์ฉลาดเฉลียวและแข็งแรงมาก โดยอาศัยอยู่ในเขตหนาว ซึ่งชาวแลปป์ได้เลี้ยงสุนัขพันธุ์นี้เพื่อใช้ในการลากเลื่อนบนน้ำแข็งหรือหิมะ ให้ท่านได้สัมผัสประสบการณ์นั่งรถเทียมสุนัขฮัสกี้ลากเลื่อน (Husky Sledding) ได้เวลาสมควรเดินทางต่อสู่เมือง Kirovsk
  • นำท่านล่าแสงออโรร่าหรือแสงเหนือ ปรากฏการณ์ที่เกิดในฤดูหนาว มองเห็นได้เฉพาะพื้นที่เหนือเส้น รุ้ง 66 ในวันที่ฟ้ามืดสนิทไร้แสงและเมฆรบกวน เราจะเห็นกลุ่มหมอกสีเขียวที่เกิดจากปฏิกิริยาระหว่างสนามแม่เหล็กจากดวงอาทิตย์ กับอนุภาคที่อยู่ในชั้นบรรยากาศ
  • คืนนี้เราจะพักกันที่ เมือง Kirovsk

Day 6 : Snowmobiles – Snow village

  • เดินทางสู่ภูเขาคิบินี (Khibiny Mountains) จุดศูนย์กลางของคาบสมุทรโคล่า สนุกสนานไปกับการนั่ง Snowmobile กลางทุ่งหิมะอันหนาวเย็นท่ามกลางป่าไม้และทะเลสาบน้ำแข็งของภูมิประเทศเขตอาร์กติกที่ไม่เหมือนใคร
  • จากนั้นนำท่านเดินทางสู่เมืองหิมะ (Snow Village) ที่สร้างขึ้นจากหิมะทั้งหมด ที่มีการสร้างประติมากรรมน้ำแข็งเป็นรูปร่างต่างๆที่สวยงาม มีทั้งอาคาร,รูปปั้น, โบสถ์น้ำแข็ง, อุโมงค์ถ้ำ, เฟอร์นิเจอร์ต่างๆ
  • เตรียมตัวไปยังสถานีรถไฟ เพื่อไปเมือง Petrozavodsk ด้วย Night Arctic train (พักห้องละ 4 ท่าน)

Day 7 : Petrozavodsk

  • ตื่นรับแสงแรกแห่งวันบนเส้นทางสาย Arctic Train ถึงเมือง Petrozavodsk เวลา 14.50 น. เมือง “เปโตรซาวอดสค์”  อดีตเคยเป็นแหล่งผลิตอาวุธยุทโธปกรณ์ที่สำคัญในสมัยจักรวรรดิรัสเซีย ขณะที่ในสมัยโซเวียตเคยถูกยึดครองโดยกองทัพฟินแลนด์ นอกจากนี้ยังเป็นแหล่งกำเนิดของปรากฏการณ์ลึกลับบนท้องฟ้าในช่วงปี ค.ศ. 1977 
  • ชมวิวเขตปกครองพิเศษคาเรเลีย ที่ปกคลุมไปด้วยหิมะ สีขาวจากหน้าต่างรถไฟ ช่วงบ่าย เดินทางถึง Petrozavodsk เมืองหลวงของสาธารณรัฐคาเรเลีย ตั้งอยู่ริมทะเลสาบ “โอเนกา” ทะเลสาบธารน้ำแข็งที่กว้างใหญ่เป็นอันดับสองในภูมิภาคนี้
  • พักที่ Petrozavodsk

Day 8 : Petrozavodsk – Moscow

  • เดินทางไปยังเมือง Moscow โดยสายการบินภายในประเทศ
  • นำชม จัตุรัสแดง สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 15 เพื่อปรับปรุงด้านความปลอดภัยให้กับพระราชวังเครมลิน จึงเป็นลานประวัติศาสตร์ใจกลางกรุงมอสโกที่มีความสำคัญ เป็นแลนมาร์คของรัสเซียมาอย่างยาวนาน เป็นศูนย์กลางของการค้าขายในสมัยก่อน ต่อมาได้ถูกปรับปรุงพัฒนาตามยุคสมัย และรายล้อมไปด้วยสถานที่สำคัญต่างมากมาย นอกจากนั้นจัตุรัสแดงยังถูกใช้เป็นสถานที่สำหรับการเดินสวนสนามของทหาร การประกอบพิธีสำคัญระดับประเทศ
  • ห้างสรรพสินค้า GUM ตั้งอยู่ย่านจัตุรัสแดง เป็นห้างที่เก่าแก่มากที่สุดในกรุงมอสโก สร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1895 มีความโดดเด่นขึ้นชื่อด้านสถาปัตยกรรมแบบยุคโบราณที่สวยงามโดดเด่น ลักษณะของห้างสร้างเป็นตัวอาคารสูง 3 ชั้น ภายนอกดูหรูหรา ตกแต่งได้อย่างสวยงาม ภายในโออ่าใหญ่โต มีสินค้าให้เลือกมากมาย
  • สุสานเลนิน หลังจากที่ วลาดีมีร์ เลนิน อดีตผู้นำปฏิว้ติรัสเซียได้เสียชีวิตลงแล้ว ก็ได้มีการสร้างสุสานเลนินขึ้นมาที่บริเวณจตุรัสแดง กลางกรุงมอสโก จนแล้วเสร็จ เมื่อปี ค.ศ. 1929 รูปแบบของสุสานมีความโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ เป็นทรงพีระมิด มีความสูงราว 12 เมตร โดยมีกระบวนการต่างๆที่เก็บรักษาร่างของเลนินไว้ เช่น การเก็บไว้ในอุณหภูมิที่เหมาะสม เป็นต้น สำหรับสุสานเลนินแห่งนี้ได้เปิดให้ประชาชนได้เคารพศพและเข้าชมอีกด้วย
  • วิหารเซนต์บาซิล ตั้งอยู่บริเวณจัตุรัสแดง เป็นวิหารที่สร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ.1555 เพื่อฉลองชัยชนะเหนือมองโกลที่ยกทัพมาเมืองคาซาน ด้วยรูปแบบของวิหารเซนต์บาซิล ที่มีลักษณะแปลกตาแต่สวยงามลงตัว เพราะสร้างให้มีโดมรูปทรงหัวหอม 8 โดม ล้อมรอบโดมที่ 9 ซึ่งอยู่ตรงกลาง จึงกลายเป็นสัญลักษณ์ในกรุงมอสโกที่โดดเด่นไม่เหมือนใคร จึงดึงดูดความสนใจของผู้มาเยือนได้เป็นอย่างดี
  • อนุสาวรีย์มินินและโปชาร์สกี อนุสาวรีย์แห่งนี้ตั้งอยู่ใจกลางจัตุรัสแดง เป็นอนุสาวรีย์ที่หล่อด้วยทองสำริด สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2361 หลังจากที่มินินและโปชาร์สกี้ สองผู้นำอาสาสมัครนำกองกำลังเพื่อต่อสู้กับกองทัพโปลที่เข้ามารุกรานในเขตเครมลิน จนได้รับชัยชนะในที่สุด จึงมีการสร้างอนุสาวรีย์แห่งนี้ขึ้นมา
  • คืนนี้พักที่ Best western หรือเทียบเท่า

Day 9 : Moscow – Bangkok

  • เครมลินแห่งกรุงมอสโก สถานที่ซึ่งมากไปด้วยความสำคัญของรัสเซีย เพราะเป็นคำเรียกป้อมปราการในกรุงมอสโก มีความสำคัญคือเป็นศูนย์กลางของกรุงมอสโกมาตั้งแต่สมัยศตวรรษที่ 15 มาจนถึงปัจจุบัน สถานที่แห่งนี้ จึงเป็นศูนย์รวมอำนาจรัฐของรัสเซียมาจนถึงปัจจุบัน เครมลินจึงเป็นที่ตั้งของหน่วยงานราชการหลายแห่ง และใช้เป็นที่พักอาศัยของผู้นำรัสเซีย ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรมของยูเนสโก เมื่อ ค.ศ. 1990
  • หอระฆังพระเจ้าซาร์อิวานมหาราช สร้างโดยเจ้าชายอิวาน ความสูงมากถึง 81 เมตร จึงกลายเป็นหอระฆังที่มีความสูงมากที่สุดในโลก ส่วน “ระฆังพระเจ้าซาร์” เป็นระฆังที่มีน้ำหนักกว่า 200 ตัน จึงถูกเรียกว่าเป็นระฆังที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลกเช่นกัน ตัวระฆังภายนอกได้ถูกสลักลวดลายต่างๆไว้อย่างวิจิตรสวยงาม
  • ชม ปืนใหญ่พระเจ้าซาร์ อีกหนึ่งสถาปัตยกรรมที่เก่าแก่ เป็นปืนที่ไม่เคยใช้งานมาก่อน สร้างขึ้นเมื่อ ค.ศ. 1586 ขนาดของปืนมีน้ำหนักมากถึง 40 ตัน จึงกลายเป็นปืนที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก บริเวณด้านหน้าปืน ปรากฎลูกกระสุนอยู่ 4 ลูก โดยแต่ละลูกมีน้ำหนักราว 1 ตัน
  • ชมภายใน จัตุรัสวิหาร ที่ล้อมรอบด้วยวิหาร 3 แห่ง ซึ่งเคยใช้ประกอบพิธีของสมาชิกราชวงศ์โรมานอฟ ได้แก่วิหารแม่พระรับเกียรติ ที่ใช้ประกอบพิธีราชาภิเษก วิหารแม่พระรับสาร โบสถ์ประจำราชวงศ์สำหรับงานพิธีมงคล และ วิหารอัครทูตสวรรค์ สถานที่บรรจุพระศพของสมาชิกราชวงศ์ซาร์รัสเซียยุคก่อนจักรวรรดิ
  • แวะช้อปปิ้งที่ ตลาดอิสไมโลโว ตลาดขายของฝากราคาไม่แพง สินค้าที่ขึ้นชื่อ ได้แก่ ตุ๊กตาแม่ลูกดก งานไม้ต่างๆ
  • ได้เวลาสมควรเตรียมตัวเดินทางสู่สนามบินเชเรมิตเตโว เพื่อเดินทางกลับกรุงเทพฯ

Day 10 : Bangkok

  • เดินทางถึงกรุงเทพฯ โดยสวัสดิภาพและความประทับใจ

ยังไม่มีบิน

ไปไหนมาดอทคอม • 089-4789334 • 02-045-3445 • Line : @painaima.com • painaima@gmail.com • ติดต่อเรา

ไปไหนมาดอทคอม • ติดต่อเรา

Categories
Europe Northernlight

ทัวร์โลโฟเทน นอร์เวย์

ทัวร์โลโฟเทน

Highlight

  • เที่ยวครบทุกจุดไฮไลท์
    • Reine / Hamnoy / Henningsvear / Nusfjord /  Fredvang / หาด Uttakleiv / Ramburg / หมู่บ้าน A / และจุดชมวิวใหม่ๆ
  • แวะถ่ายรูปทุกจุดที่อยากจอด
  • ออกล่าแสงเหนือ ทุกคืนที่ท้องฟ้าเปิด (ก.ย. – เม.ย.)
  • พัก โรบูเออ บ้านสไตล์โลโฟเทน
  • แวะเซนจ้า มุมมองใหม่แห่ง Nord Norway
  • ชมหมู่บ้านชาวซามี
  • ดูกวางเรนเดียร์

Day 1 : Bangkok

  • พบกันที่สนามบินสุวรรณภูมิ

Day 2 : Oslo – Leknes – Haukland Beach – Uttakleiv Beach  Hamnoy

  • ถึง Oslo จากนั้นนำท่านต่อเครื่อง ไปยังเมือง Leknes โดยสายการบินในประเทศ
  • ชมหาด Haukland Beach เป็นอีกหาดยอดนิยม เป็นทั้งจุดถ่ายแสงเหนือ จุดถ่าย Seascape และเป็นจุดเริ่มต้นในการเดินเขา
  • ชมหาด Uttakleiv Beach ซึ่งเป็นหาดที่มีชื่อเสียงที่สุดใน Lofoten เป็นหาดที่มีโขดหินน้อยใหญ่เรียงรายเป็นรูปร่างต่างๆ
  • ชม Hamnoy ซึ่งมีอาชีพหลักๆ คือ การเลี้ยงปลาแซลมอนและปลาคอดในฟาร์ม เดิมจะเชื่อมกับหมู่บ้าน Reine โดยเรือข้ามฟาก แต่ปัจจุบันมีสะพานเป็นทางเชื่อม บนเส้นทาง E10
  • เข้าที่พัก หมู่บ้าน Hamnoy

Day 3 : Reine – Sakrisøy – Å village – Fishing village

  • หมู่บ้าน Reine หมู่บ้านชาวประมงที่เก่าแก่ที่สุดของประเทศนอร์เวย์
  • ชม Sakrisøy หมู่บ้านชาวประมงเล็กๆ ที่มีบ้านสีสันแตกต่างจากหมู่บ้านอื่น
  • ชมเมือง Å เมืองที่อยู่ปลายสุดของถนนสาย E10 ซึ่งเป็นหมู่บ้านชาวประมงนอร์เวย์
  • เข้าชม Norwegian Fisherman Village สัมผัสวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของชาวประมงที่อาศัยอยู่บนหมู่เกาะลอฟโฟเทน ที่มีประวัติความเป็นมายาวนานกว่า 250 ปี
  • พักกันที่บ้านชาวประมงริมน้ำในหมู่บ้าน Reine

Day 4 : Fredvang – Eggum – Nusfjord

  • เดินทางสู่หมู่บ้าน Fredvang ชมสะพาน Fredvang ที่มีลักษณะเฉพาะตัวของนอร์เวย์ และชมหาด Sandbotnen
  • จากนั้นนำท่านเดินทางสู่ EGGUM ป้อมปราการขนาดใหญ่และซากปรักหักพังตั้งแต่สมัยสงครามโลก
  • หมู่บ้านนุสฟยอร์ด (Nusfjord) เป็นหมู่บ้านชาวประมงเก่าแก่ที่มีชื่อเดียวกับฟยอร์ดอันงดงาม
  • คีนนี้เราจะพักกันที่เมือง Svolvaer

Day 5 : Svolvaer – Henningsvaer – Kabelvag – Narvik

  • ชม Henningsvaer เป็นเมืองท่าและหมู่บ้านชาวประมงที่ปัจจุบันชาวบ้านยังคงประมงกันอย่างคึกคัก
  • ชมเมือง Kabelvag ซึ่งเป็นหมู่บ้านชาวประมงเก่าแก่อีกที่หนึ่ง พาท่านเดินเล่นรอบเมือง
  • คืนนี้เราจะพักกันที่เมือง Narvik

Day 6 : Narvik – Senja – Gryllefjord Fishing Village

  • เดินทางสู่ Senja (ประมาณ 3 ชม) ซึ่งเป็นเกาะที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับสองของประเทศนอร์เวย์
  • ชมจุดชมวิวเมดฟยอร์ดโบทน์ (Medfjordbotn) ของเส้นทางธรรมชาติอันรายล้อมไปด้วยขุนเขากับฟยอร์ด
  • จากนั้นนำเดินทางต่อไป ตุงเกอเนสเซท (Tungeneset) อีกหนึ่งจุดชมวิวที่เป็นทางเดินเรียบชายทะเลพร้อมวิว ของเทือกเขาโอคชอร์นัน (Okshornan)
  • เดินทางสู่ เบิร์กโบทน์ (Bergsbotn) จุดชมวิวที่เป็นสะพานไม้ยาว 44 เมตร รายล้อมด้วยขุนเขาและสามารถชมวิวของเบิร์กฟยอร์ด (Bergsfjord) ที่อยู่เบื้องล่างแบบพาโนรามา
  • แวะชม หมู่บ้านชาวประมงกริลล์ฟยอร์ด (Gryllefjord Fishing Village) ซึ่งมีประชากรอยู่ราวๆ 400 คน
  • เดินทางต่อสู่ อ่าวแฮมน์ไอเซนญา (Hamn I Senja) ซึ่งตั้งอยู่บริเวณชายฝั่งตะวันตกของเกาะเซนญาความงามของธรรมชาติและแสงเหนือ
  • คืนนี้พักที่ Senja*หากอากาศเปิดพาออกล่าแสงเหนือ

Day 7 : Senja – Arctic Cathedral – Storsteinen mountain

  • ไปยัง เมืองทรอมโซ (TROMSO) เมืองท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงของนอร์เวย์ อีกทั้งยังเป็นเมืองใหญ่ที่สุด ในเขตอาร์คติกเซอร์เคิลอีกด้วย
  • ชมมหาวิหารทรอมโซ (Tromso Cathedral) มหาวิหารไม้ที่ตั้งอยู่ในย่านใจกลางเมือง ที่ได้รับการยอมรับว่ามีความเก่าแก่ที่สุด
  • นั่งเคเบิ้ลคาร์สู่ ยอดเขาสโตรสไตเนิน เป็นยอดเขาสูง
  • ชม มหาวิหารอาร์คติก (ARCTIC CATHEDRAL) มหาวิหารที่สร้างขึ้นในรูปแบบสถาปัตยกรรมสมัยใหม่ สร้างขึ้นในปี 1965 มีภาพประดับกระจกใหญ่ที่สุดในยุโรป
  • จากนั้นอิสระให้ท่านเดินเล่นชมเมือง ทรอมโซตามอัธยาศัย
  • คืนนี้เราจะพักกันที่เมือง Tromso

Day 8 : Sami village – Reindeer Farm

  • ไปยัง หมู่บ้านชาวซามิ (SAMI VILLAGE) ชาวพื้นเมืองที่อาศัยอยู่บริเวณ เมืองทรอม
  • เดินทางสู่ ฟาร์มกวางเรนเดียร์ (REINDEER FARM) ยานพาหนะของซานตาครอส โดยท่านสามารถสัมผัส ให้อาหาร และถ่ายรูปกับกวางเรนเดียร์ได้อย่างใกล้ชิด
  • คืนนี้เราจะพักกันที่เมือง Tromso

Day 9 : Day 9 Tromso – Oslo

  • นำท่านเดินทางไปยังสนามบิน เพื่อเดินทางกลับออสโล โดยสายการบิน ในประเทศ
  • เดินทางกลับกรุงเทพมหานคร

Day 10 : Day 10 Arrive Bangkok

  • เดินทางถึงกรุงเทพฯ โดยสวัสดิภาพและความประทับใจ

99,000

ไปไหนมาดอทคอม • 089-4789334 • 02-045-3445 • Line : @painaima.com • painaima@gmail.com • ติดต่อเรา

ไปไหนมาดอทคอม • ติดต่อเรา

Categories
America

ทัวร์แคนาดา

ทัวร์แคนาดา

Highlight

Canada on the rock 11 วัน

Extra TripCanada Grand 16 วัน

Day 1 : Bangkok – Vancouver

  • พบที่สนามบินสุวรรณภูมิ เช็คอินสายการบิน EVA Air เที่ยวบิน BR68 25-21.15 แวะไทเปเปลี่ยนเครื่องเป็น BR10 (23.55-19.25)
  • คืนนี้เราพักกันที่ Vancouver

Day 2 : Victoria – Capilano – Granville Island – Gastown Stream Clock 

  • หลังอาหารเช้า พาชมเมือง Vancouver เป็นเมืองท่าชายฝั่งที่มีชื่อเสียงทางภาคตะวันตกเฉียงใต้ของรัฐบริติชโคลัมเบีย ประเทศแคนาดา เป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดของรัฐ และในภูมิภาคแปซิฟิก
  • ชม สะพาน capilano bridge แรกเริ่มเดิมทีสะพานนี้ทำจากแผ่นกระดานไม้สนและเชือกปอ สร้างขึ้นในปี 1889 โดยวิศวกรสก็อตแลนด์ เพื่อทำทางเดินเชื่อมไปยังป่าด้านใน สะพานนี้อยู่ท่ามกลางยอดต้นไม้ที่อยู่รอบตัว ทดสอบความกล้าบนสะพานแขวนที่สูงและยาวแห่งนี้
  • Stanley Park สวนสาธารณะขนาดใหญ่ในเมือง สวนสาธารณะแห่งนี้อยู่ติดทะเลที่ English Bay อันเป็นสถานที่ทางประวัติศาสตร์ที่มีความสำคัญของแคนาดา Stanley Park นับเป็นโอเอซิสสีเขียวที่สวยงามท่ามกลางภูมิทัศน์เมืองที่มีความหนาแน่น
  • Granville Island เกาะกลางแม่น้ำ Granville Island ที่มี Art Galleries ชาวคณะแปลงร่างเป็นศิลปินเดินดูงานศิลปะและของที่ระลึก เหมาะสำหรับผู้ที่ชื่นชอบศิลปะเป็นอย่างยิ่ง และมีตลาดสดรวมถึงร้านอาหารที่หลากหลายให้เลือกชิม
  • เมืองเก่า Gastown เมืองที่มีสถาปัตยกรรมงดงาม และมี ถนนหินที่ชื่อว่า obbled-Stone Streets
  • Stream Clock ท่านจะได้พบนาฬิกาไอน้ำของแท้ดั้งเดิมที่เหลืออยู่เพียงไม่กี่เรือนบนโลก
  • คืนนี้เราจะพักกันที่ Vancouver

Day 3 : Vancouver – Calgary – Emeral lake – lake louis  

  • เดินทางสู่สนามบินเช็คอินสายการบิน Air Canada* เดินทางสู่เมืองแคลกาลี เที่ยวบินที่ AC210 (11.30-13.55) *เที่ยวบินอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้
  • ถึงเมืองแคลการีออกเดินทางไปยังเส้นทางไฮเวย์หมายเลข 1 มุ่งหน้าผ่านเลคหลุยส์ ชม Emerald Lake อันมีน้ำสีเขียวมรกตเป็นที่มาของชื่อทะเลสาบ โอบล้อมโดยเทือกเขา President Range, Mount Burgess, Wapta Mountain น้ำในทะเลสาบเกิดจากการละลายของธารน้ำแข็งบนเทือกเขาด้านบน ผสมกับแร่ธาติไลมสโตนจึงทำให้น้ำมีสีแปลกตา สวยงาม ชวนมอง
  • ชม Lake Louise ทะเลสาบที่โด่งดังแห่งเทือกเขา Rocky ด้วยน้ำที่เขียวใสราวกับมรกต สะท้อนยอดเขา รายล้อมด้วยทิวสนยอดสูง และเทือกเขาที่ปกคลุมด้วยหิมะตลอดปี Landmark ที่สำคัญของโลก ตามประวัติกล่าวว่าเมื่อปี 882 นักสำรวจทางรถไฟชาวผิวขาวชื่อว่า Tom Willson ได้ค้นพบทะเลสาบแห่งนี้ และตั้งชื่อว่า ทะเลสาบมรกต ต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็นทะเลสาบหลุยส์ (Lake Louise) ตามพระนามพระราชธิดา ในสมเด็จพระนางเจ้าวิคตอเรีย
  • คืนนี้เราจะพักกันที่ Lake Louise

Day 4 : Morien lake – Ice field park way – Jasper

  • ชม Moraine Lake ตั้งอยู่ใน Valley of ten peak หนึ่งในทะเลสาบที่มีชื่อเสียงอีกแห่งหนึ่งในแคนาดา ทะเลสาบแห่งนี้มักปรากฎภาพในของที่ระลึกต่างๆ เช่น โปสการ์ด ปฏิทิน และโฆษณาต่างๆ
  • Columbia Icefields ทุ่งน้ำแข็งที่ใหญ่สุดในเทือกเขาร็อกกี้สถานที่แห่งนี้ประกอบไปด้วยธารน้ำแข็งถึง 6 แห่งเดินทางสู่ลานน้ำแข็งอันยิ่งใหญ่นี้ด้วยรถล้อโตของอุทยาน
  • ชม Glacier Skywalk ทางเดินยื่นไปในหน้าผามองเห็นวิวกลาเซียและขุนเขาอันยิ่งใหญ่ของเทือกเขาร็อกกี้อยู่เบื้องหน้า ท้าทายความกล้าในการเดินบนทางเดินพื้นกระจก
  • Sunwapta Falls อยู่ในอุทยานแห่งชาติ Banff จะมีน้ำตกชั้นบนและล่าง ไหลมาจากธารน้ำแข็ง Athabasca เราสามารถชมน้ำตกด้านบนได้จากจุดชมวิวที่มีความสูงถึง 18 เมตร
  • อุทยานแห่งชาติ Jasper มลรัฐอัลเบอร์ตา อุทยานแห่งชาติที่ใหญ่ที่สุดในเขตเทือกเขาร็อกกี้แคนาดา เป็นอุทยานแห่งชาติที่มีชื่อเสียงมากเป็นอันดับต้นๆ ของประเทศแคนาดา
  • เย็นย่ำค่ำลง เดินเล่นในเมืองเล็กๆ แห่งนี้ ช๊อปปิ้งของฝากเล็กๆน้อยๆตามอัธยาศัย สูดอากาศดีๆ สบายๆ ให้เต็มปอด
  • ค่ำคืนนี้พักกันที่เมือง Jasper

Day 5 : Jasper – around jasper – Pyramid Lake – Jasper tramway  Athabasca Falls tramway – Jasper

  • ชม Pyramid Lake ทะเลสาบที่น้ำใสและนิ่งเรียบราวกระจก จนสามารถเห็นเงาของภูเขาที่สะท้อนมาได้ชัดเจน
  • ชม Maligne Lake เป็นทะเลสาบที่มีคนไปถ่ายรูปมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก น้ำในทะเลสาบสีเขียวเงียบสงบนิ่งสะท้อนฉากหลังที่เป็นภูเขาสูงชันรอบทิศทาง รวมถึงเกาะ spirit Island อันเป็น signature ของทะเลสาบแห่งนี้
  • Medicine Lake ทะเลสาบอัศจรรย์ที่จะมีน้ำแต่ในฤดูใบไม้ผลิและฤดูร้อน แต่เมื่อย่างเข้าเดือนตุลาคม ทะเลสาบแห่งนี้จะอันตรธานหายไปอย่างลึกลับ ทะเลสาบแห่งนี้จึงได้ชื่อว่า ทะเลสาบวิเศษของชาวอินเดียนแดง
  • Jasper Tramway ขึ้นกระเช้า Jasper Tramway กระเช้าที่จะพาเราสู่ยอดเขา สัมผัสกับเทือกเขาร๊อคกี้ในมุมสูง เป็นอีกหนึ่งประสบการณ์ดีๆ ที่ไม่ควรพลาด
  • คืนนี้เราจะพักกันที่ Jasper

Day 6 : Jasper  – Payto lake  – Banff

  • Athabasca Falls ชมน้ำตกแอทธาบาสก้าที่มีความงดงามและได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวเป็นอย่างมาก
  • Herbert Lake และ Bow Lake ทะเลสาบอันสวยงามที่อยู่บนเส้นทางสายทรานแคนาดา น้ำใสราวกระจกมีฉากหลังเป็นภูเขาอันสูงชันของเทือกเขาร็อกกี้พลาดไม่ได้ที่จะต้องแวะชมถ่ายรูป
  • Peyto Lake ที่มีผืนน้ำเหมือนสีมรกต (Glacier Milk) เกิดจากดินร่วนปนทรายรวมกับแร่ธาตุ เมื่อหน้าร้อนมาเยือน ดินทรายและแร่ธาตุเหล่านี้จะละลายลงมาในทะเลสาบ ทำให้น้ำมีลักษณะเหมือนนมสีมรกต น่าตื่นตาตื่นใจ
  • ชมเมือง Banff เดินเล่นยามเย็นในเมืองเล็กๆ น่ารักๆ ที่ซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางเทือกเขาร็อกกี้ ในเมืองมีร้านค้าให้เดินชมสินค้าหลากหลายรูปแบบทั้งสินค้าพื้นเมืองสไตล์คันทรี่สินค้าประเภทเครื่องแต่งกายสำหรับกีฬาแอดเวนเจอร์และอื่นๆอีกมาก
  • คืนนี้เราจะพักกันที่ Banff

Day 7 : Banff – Minewanka Lake – Calgary – Toronto

  • ขึ้นกระเช้าชมยอดเขาซัลเฟอร์ โดยยอดเขานี้จะมีความสูงจากระดับน้ำทะเลกว่า 2000 เมตร สามารถมองเห็นทัศนียภาพอันสวยงามของเทือกเขาแคนาเดี้ยน ร้อกกี้ โดยการขึ้นกระเช้าสู่ยอดเขา ขึ้นไปเก็บภาพความสวยงามจนจุใจ ยืดเส้นยืดสายพร้อมชมวิวแบบพาโนรามาจากเขา Tunnel Mountain เมื่อมองลงมาจะเห็นแม่น้ำ Bow River คดเคี้ยวเป็นสายยาวอยู่เบื้องล่าง
  • ชมทะเลสาบ Minnewanka เป็นทะเลสาบที่ใหญ่ที่สุดในอุทยานแห่งชาติแบมฟ์ ภาษาท้องถิ่นของคนอินเดียนแดงมีความหมายว่าทะเลสาบแห่งจิตวิญญาณ ทะเลสาบแห่งนี้ลึกสูงสุดถึง 140 เมตรมีน้ำใสราวกระจกรวมถึงมีเส้นทาง treking รอบๆภูเขา
  • เดินทางสู่สนามบิน เตรียมตัวเดินทางสู่โตรอนโต โดยสายการบิน Air canada* เที่ยวบินที่ AC194 (17.45-23.36) *อาจจะมีการเปลี่ยนแปลงได้
  • คืนนี้เราจะพักกันที่ Toronto

Day 8 : Niagara City

  • เดินทางสู่น้ำตกที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลกน้ำตกไนแอการาตั้งอยู่พรมแดนระหว่างแคนาดาและอเมริกาพาทุกท่านล่องเรือ Hornblower เพื่อชมความงามของน้ำตกอย่างใกล้ชิด 
  • ช๊อปปิ๊งกันที่ Canada One Outlet สวรรค์ของนักช้อป จากนั้น เดินทางสู่ไนแองการ่าออน เดอเลค เป็นเมืองชุมชนของชาวแคนาดาตั้งอยู่ทางทิศใต้ของออนตาริโอ้ (Ontario) เป็นที่ ๆแม่น้ำไนเองการาไหลมา บรรจบกับทะเสสาบออนตาริโอ้ และได้ชื่อว่าน่ารักที่สุดของมณรัฐ Ontario อีกด้วย
  • คืนนี้เราจะพักกันที่ ไนแองการ่าออน เดอเลค

Day 9 : Niagara – Toronto 

  • เดินทางกลับเมืองโตรอนโต ขึ้นชมหอคอย CN Tower ซึ่งนับเป็น landmark ของเมืองโตรอนโต ใช้เป็นหอคอยและหอสังเกตการณ์เคยเป็นสิ่งก่อสร้างที่สูงที่สุดในโลกยาวนานถึง 32 ปีแต่ถูกแทนที่ด้วยอาคารเบิร์จคาลิฟา(ดูไบ) ตอนนี้หอคอยแห่งนี้สูงเป็นอันดับที่ 3 ในโลก
  • Graffiti Alley เกาะที่มีภาพวาดกษิติน่าสนใจอยู่มากมายถ่ายรูปกับกาแฟติดระดับโลกที่นี่กันอย่างจุใจ
  • Toronto’s First Post Office ตั้งขึ้นมาเกือบ 200 ปี ยังนับว่าเป็นอาคารที่เก่าแก่ที่สุดที่ยังคงใช้งานอยู่จนถึงปัจจุบันปัจจุบันใช้เป็นที่ทำการไปรษณีย์รวมถึงเป็นพิพิธภัณฑ์อีกด้วย
  • Lawrence Market ตลาดอาหารเก่าแก่ที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ในย่าน old Town มีความคึกคักแบบดั้งเดิมมีสินค้าหลากหลายประเภท ทั้งของสด ทั้งผลไม้รวมไปถึงอาหารทะเล นิตยสาร National Geographic ได้มอบให้ตลาดแห่งนี้เป็นตลาดอาหารที่ดีที่สุดในโลก
  • เดินทางสู่สนามบินโตรอนโต

Day 10 : Toronto – Bangkok

  • ออกเดินทางสู่กรุงเทพฯ โดยสายการบิน EVA Air เที่ยวบิน BR35 (แวะเปลี่ยนเครื่องที่ไทเป เวลา 05.00 น.)

Day 11 : Bangkok

  • ออกเดินทางต่อสู่กรุงเทพฯ โดยสายการบิน EVA Air เที่ยวบิน BR211
  • เดินทางถึงกรุงเทพฯ โดยสวัสดิภาพและความประทับใจ

***รายการอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ตามความเหมาะสม***

Day 1 : Bangkok – Vancouver

  • พบที่สนามบินสุวรรณภูมิ เดินทางไปยัง Vancouver
  • คืนนี้เราพักกันที่ Vancouver

Day 2 : Victoria – Capilano – Granville IslandGastown – Stream Clock

  • พาชมเมือง Vancouver เป็นเมืองท่าชายฝั่งที่มีชื่อเสียงทางภาคตะวันตกเฉียงใต้ของรัฐบริติชโคลัมเบีย
  • สะพาน Capilano bridge สร้างขึ้นในปี 1889
  • Stanley Park สวนสาธารณะขนาดใหญ่ในเมือง
  • Granville Island เกาะกลางแม่น้ำ Granville Island ที่มี Art Galleries ชาวคณะแปลงร่างเป็นศิลปินเดินดูงานศิลปะและของที่ระลึก เหมาะสำหรับผู้ที่ชื่นชอบศิลปะเป็นอย่างยิ่ง
  • เมืองเก่า Gastown เมืองที่มีสถาปัตยกรรมงดงาม และมีถนนหินที่ชื่อว่า obbled-Stone Streets Stream Clock ท่านจะได้พบนาฬิกาไอน้ำของแท้ดั้งเดิมที่เหลืออยู่เพียงไม่กี่เรือนบนโลก
  • พักที่ Vancouver

 

Day 3 : Vancouver – Calgary – Emeral lake – lake louis

  • เดินทางสู่เมืองแคลกาลี โดยสายการบินภายในประเทศ
  • ถึงเมืองคาลการีออกเดินทางไปยังเส้นทางไฮเวย์หมายเลข 1 มุ่งหน้าผ่านเลคหลุยส์
  • ชม Emerald Lake อันมีน้ำสีเขียวมรกตเป็นที่มาของชื่อทะเลสาบ
  • ชม Lake Louise ทะเลสาบที่โด่งดังแห่งเทือกเขา
  • พักที่ Lake Louise

Day 4 : Moraine lake – Ice Field Park Way – Jasper

  • ชม Moraine Lake ตั้งอยู่ใน Valley of ten peak หนึ่งในทะเลสาบที่มีชื่อเสียงอีกแห่งหนึ่งในแคนาดา
  • Columbia Icefields ทุ่งน้ำแข็งที่ใหญ่สุดในเทือกเขาร๊อกกี้สถานที่แห่งนี้ประกอบไปด้วยธารน้ำแข็งถึง 6 แห่งเดินทางสู่ลานน้ำแข็งอันยิ่งใหญ่นี้ด้วยรถล้อโตของอุทยาน
  • ชม Glacier Skywalk ทางเดินยื่นไปในหน้าผามองเห็นวิวกลาเซียและขุนเขาอันยิ่งใหญ่ของเทือกเขาร็อกกี้อยู่เบื้องหน้า
  • Sunwapta Falls อยู่ในอุทยานแห่งชาติ Banff จะมีน้ำตกชั้นบนและล่าง ไหลมาจากธารน้ำแข็ง Athabasca
  • อุทยานแห่งชาติ Jasper อุทยานแห่งชาติที่ใหญ่ที่สุดในเขตเทือกเขาร็อกกี้แคนาดา
  • เย็นย่ำค่ำลง เดินเล่นในเมืองเล็กๆ แห่งนี้ ช๊อปปิ้งของฝากเล็กๆน้อยๆตามอัธยาศัย
  • พักที่ Jasper

Day 5 : Jasper – Pyramid Lake – Maligne Lake -Jasper Tramway  Jasper

  • ชม Pyramid Lake ทะเลสาบที่น้ำใสและนิ่งเรียบราวกระจก
  • ชม Maligne Lake เป็นทะเลสาบที่มีคนไปถ่ายรูปมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก
  • Medicine Lake ทะเลสาบอัศจรรย์ที่จะมีน้ำแต่ในฤดูใบไม้ผลิและฤดูร้อน แต่เมื่อย่างเข้าเดือนตุลาคม ทะเลสาบแห่งนี้จะอันตรธานหายไปอย่างลึกลับ
  • ขึ้นกระเช้า Jasper Tramway กระเช้าที่จะพาเราสู่ยอดเขา สัมผัสกับเทือกเขาร๊อคกี้ในมุมสูง
  • พักที่ Jasper

Day 6 : Jasper  – Athabasca Falls – Payto lake  – Banff

  • Athabasca Falls ชมน้ำตกแอทธาบาสก้าที่มีความงดงามและได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวเป็นอย่างมาก
  • Herbert Lake และ Bow Lake ทะเลสาบอันสวยงามที่อยู่บนเส้นทางสายทรานแคนาดา
  • Peyto Lake ที่มีผืนน้ำเหมือนสีมรกต (Glacier Milk)
  • ชมเมือง Banff เดินเล่นยามเย็นในเมืองเล็กๆ น่ารักๆ ที่ซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางเทือกเขาร็อกกี้
  • พักที่ Banff

Day 7 : Banff – Sulphur Mountain – Minewanka Lake – Calgary

  • ขึ้นกระเช้าชมยอดเขาซัลเฟอร์ โดยยอดเขานี้จะมีความสูงจากระดับน้ำทะเลกว่า 2000 เมตร
  • ชมทะเลสาบ Minnewanka Lake เป็นทะเลสาบที่ใหญ่ที่สุดในอุทยานแห่งชาติแบมฟ์
  • พักที่ Calgary

Day 8 : Calgary – Quebec

  • ไปยังสนามบินภายในประเทศ เพื่อเดินทางไปยังเมือง Quebec โดยสายการบิน ภายในประเทศ
  • เมือง Quebec ย่านที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์ พื้นที่ที่เป็นมรดกโลก
  • พักที่ Quebec

Day 9 : Upper Town (Haute-Ville) – Lower Town (Basse-Ville)  Terrasse Dufferin – Old Quebec – Montreal

  • Upper Town (Haute-Ville) เมืองที่มีความสวยงามของสภาพแวดล้อมที่หลากหลาย
  • Lower Town (Basse-Ville) เมืองที่มีเสน่ห์ของตัวเอง ย่านประวัติศาสตร์โบราณที่มีชุมชนเมือง
  • Terrasse Dufferin ศาลาน่ารักๆ ที่ตั้งอยู่ใน Lower Town ของควิเบก ถูกสร้างขึ้นในปี 1879 มีระเบียงทางเดินยาวที่มองเห็นแม่น้ำเซนต์ลอว์เรนซ์ เเละทิวทิศน์ที่สวยงาม
  • Basilique Cathedrale-Notre-Dame-de-Quebe มหาวิหารที่เก่าแก่ที่สุด ถูกสร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1647
  • Terrasse Dufferin เป็นศาลาน่ารักๆ ที่ตั้งอยู่ใน Lower Town ของควิเบก ถูกสร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1879 มีระเบียงทางเดินยาว
  • Old Quebec ย่านที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์ และยังถือเป็นพื้นที่มรดกโลกที่น่าชมอย่างมาก
  • พักที่ Quebec

Day 10 : Quebec – Notre  Dame Basilica – Old Montreal –  St. Joseph’s  Vieux Montreal – Ottawa

  • เดินทางสู่เมือง มอนทรีออล
  • Notre-Dame Basilica มหาวิหารแบบกอธิค ในย่านประวัติศาสตร์ของมอนทรีออล สถาปัตยกรรมที่เป็นหนึ่งในที่น่าทึ่งที่สุดในโลก
  • Old Montreal พบกับรูปแบบอาคารที่ย้อนไปในศตวรรษที่ 17 สถาปัตยกรรมและถนนที่ปูด้วยหิน พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ และ Riverfront ท่าเรือเก่า
  • Joseph’s Oratory of Mount Royal สถานที่ที่มีชื่อเสียงระดับโลกสำหรับการเดินทางไปแสวง
  • Vieux-Montreal เหมาะมากสำหรับคนที่ชอบดื่มด่ำกับไลฟ์สไตล์ชิลล์ๆ
  • คืนนี้พักที่เมือง Montral

Day 11 : Montral – Ottawa – By Ward Market Ottawa River Cruise – Parliament Hill

  • เดินทางสู่เมือง Ottawa เมืองหลวงปัจจุบันของแคนาดา
  • เดินตลาด By Ward Market ตลาดจับจ่ายอันดับหนึ่งของนักท่องเที่ยว
  • Ottawa River ชมความงามของสองฝั่งน้ำด้วยการเปิดประสบการณ์ให้ได้ล่องเรือ Ottawa River Cruise (Parliament Buildings • Supreme Court • Museum of Civilization • National Art Gallery • Rideau Falls • Residence of the Prime Minister)
  • อาคาร Parliament Hill เป็นอาคารรัฐสภาที่ถูกสร้างขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ และเป็นสถานที่ท่องเที่ยวหลัก ที่ผู้เข้าชมมากที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศ
  • พักที่ Montreal

Day 12 :  Kingston – Niagara on the lake

  • เดินทางสู่เมืองคิงส์ตัน (Kingston) ซึ่งเป็นเมืองเล็กเมืองหนึ่งของแคนาดา
  • เดินทางสู่เมือง ไนแองการ่าออนเดอะเลค
  • คืนนี้พักกันที่เมือง Niagara on the lake

Day 13 :  Niagara – Toronto

  • ชมน้ำตกไนแองการ่า ชมความงดงามของน้ำตก ซึ่งถือเป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลก
  • ล่องเรือ Hornblower เพื่อชมความงามของน้ำตก ดื่มด่ำกับธรรมชาติที่สวยงาม
  • เดินทางกลับสู่เมือง โตรอนโต
  • ค่ำคืนนี้พักที่เมืองโตรอนโต

 Day 14 : CN Tower – Toronto Premium Outlet – St.Lawrence Market

  • ขึ้นชมหอคอย CN Tower ซึ่งนับเป็น landmark ของเมืองโตรอนโต
  • Graffiti Alley เกาะที่มีภาพวาดกษิติน่าสนใจอยู่มากมาย
  • Toronto’s First Post Office ตั้งขึ้นมาเกือบ 200 ปี ยังนับว่าเป็นอาคารที่เก่าแก่ที่สุดที่ยังคงใช้งานอยู่จนถึงปัจจุบันปัจจุบัน
  • Lawrence Market ตลาดอาหารเก่าแก่ที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ในย่าน old
  • เดินทางสู่สนามบินโตรอนโต

Day 15 : Toronto – Bangkok

  • ออกเดินทางสู่กรุงเทพฯ

Day 16 : Bangkok

  • ถึงกรุงเทพ โดยสวัสดิภาพ

***รายการอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ตามความเหมาะสม***

149,000