Categories
Europe

ทัวร์ฟินแลนด์ บอลติก

ทัวร์ฟินแลนด์ บอลติก

เที่ยวบอลติก พักอิกลูนอนดูแสงเหนือ

จุดเด่นทริป

โปรแกรมเต็ม

DAY 1: Bangkok  

  • นัดพบกันที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ แถว S ประตู 8 ทีมงานอำนวยความสะดวกเช็คอินสายการบิน Finnair เที่ยวบินที่ AY144 ออกเดินทางเวลา 23.05 น. ใช้เวลาบินประมาณ 10.25 ชม แวะเปลี่ยนเครื่องที่ เฮลซิงกิ

DAY 2 :  Helsinki – Ivalo – Kakslauttanen Arctic Resort 

  • เดินทางถึงสนามบินเฮลซิงกิ จากนั้นรอเวลาเปลี่ยนเครื่องเพื่อเดินทางต่อไปยังเมือง Ivalo โดยสายการบิน Finnair เที่ยวบินที่ AY601 (เวลา 07.00)

  • ถึงสนามบินอิวาโล จากนั้นนำท่านสู่ หมู่บ้านอิกลูแคคสลอตทาเนน (IGLOO VILLAGE KAKSLAUTTANEN) ตั้งอยู่เหนือเส้นเขตขั้วโลกเหนือเขตแลปแลนด์ (LAPLAND) ของประเทศฟินแลนด์ โดยสถานที่แห่งนี้อยู่ท่ามกลางความหนาวเหน็บของอากาศที่ปกคลุมไปทั่วบริเวณ และยังมีวิวทิวทัศน์ให้ชื่นชมความสวยงามของป่าเขา ท่ามกลางหิมะขาวโพลนที่ท่านจะต้องประทับใจไม่มีวันลืม

  • นำท่านสัมผัสกิจกรรมอันดับหนึ่งของการท่องเที่ยวแบบตะลุยหิมะ ด้วยการขับขี่ สโนว์โมบิล (SNOWMOBILE) พาหนะที่คล่องตัวที่สุดในการเดินทางบนหิมะหรือน้ำแข็ง โดยท่านจะได้รับคำแนะนำในการขับขี่ที่ถูกต้อง สนุกสนาน และปลอดภัย จากเจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญและชำนาญเส้นทางในการเดินทางท่องเที่ยวแบบสโนว์โมบิลซาฟารี โดยทางบริษัท ฯ จะมีการจัดเตรียมเครื่องกันหนาวให้ท่านอย่างครบถ้วนตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า

  • พักที่ Kakslauttanen Arctic Resort

DAY 3 : Ivalo – Rovaniemi – Santa Claus Village

  • นำท่านมุ่งหน้าสู่ เมืองโรวาเนียมิ (Rovaniemi) ให้ท่านได้เพลิดเพลินกับทัศนียภาพทุ่งหิมะแห่งแลปแลนด์ และหากโชคดีท่านอาจได้พบเห็นฝูงกวางเรนเดียร์ที่ออกหากินในเวลากลางวัน ตลอดเส้นทางท่านจะได้เห็นภูมิประเทศอันแปลกตา หิมะ สลับกับทิวสน
  • ชม หมู่บ้านซานตาคลอส (Santa Claus Village) ตั้งอยู่บนเส้นอาร์คติกเซอร์เคิล ภายในหมู่บ้านมีที่ทำการไปรษณีย์ สำหรับท่านที่ต้องการส่งของขวัญไปยังคนที่ท่านรัก และยังมีร้านขายของที่ระลึก ให้ท่านได้เลือกซื้อของฝาก หรือถ่ายรูปกับคุณลุงซานต้าที่ใจดีเป็นที่ระลึกในการมาเยือน อิสระให้ท่านเดินเล่นเที่ยวชมในหมู่บ้าซานตาคลอส
  • นำท่านแวะชม ที่ทำการไปรษณีย์ซานตาคลอส (Santa Claus Main post office) ท่านสามารถเลือกซื้อไปรษณียบัตรหลากหลายสีสันเพื่อเขียนอวยพรครอบครัวและมิตรสหาย พร้อมทั้งฝากซานต้าคลอสส่งกลับมายังประเทศไทยได้ ณ ที่ทำการไปรษณีย์นี้
  • พักที่ Rovaniemi

Day 4 : Rovaniemi – Kemi – Sampo Icebreaker

  • เดินทางไปยังเมือง Kemi ประมาณ 1.30 ชมนำท่านเดินชมเมือง Kemi เมืองท่องเที่ยวที่ตั้งอยู่ริมอ่าวน้ำลึกบอธเนีย (Gulf of Bothnia) บริเวณทางตอนเหนือของทะเลบอลติค (Baltic Sea) มีประชากรอาศัยอยู่เพียง 22,000 คน แต่เป็นเมืองท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงที่มีความสำคัญของแลปแลนด์
  • ถ่ายรูปกับโบสถ์ Kemi Church ซึ่งเป็นโบสถ์ ศาสนาคริสต์ นิกายโปรเตสแตนท์ ที่ถูกสร้างและออกแบบตาม สถาปัตยกรรมแบบโกธิคโดยสถาปนิกชื่อ ดังชาวฟินแลนด์นาม Josef Stenback
  • นำท่าน ล่องเรือตัดน้ำแข็งซัมโป (Sampo Ice Breaker) ล่องบนน้ำทะเลซึ่งเย็นยะเยือกจนกลายเป็นน้ำแข็ง สัมผัสประสบการณ์ครั้งหนึ่งในชีวิตที่น่าตื่นตาตื่นใจกับการลอยตัวในทะเลน้ำแข็ง ด้วยชุดความร้อนพิเศษ (Warm Impermeable Survival Suits) ซึ่งปกป้องร่างกายท่านจากความเย็นอันหนาวยะเยือกที่ระดับต่ำกว่าลบยี่สิบองศาเซลเซียส
  • พักที่ Kemi

Day 5 : Kemi – Snow Castle – Helsinki – Talinn

  • นำท่านชม Snow Castle อันเป็นผลงานประติมากรรมระดับโลก โดยครั้งนี้เป็นครั้งที่ 19 ในทุก ๆ ปีของฤดูหนาว จะมีการรังสรรค์ผลงานอันยิ่งใหญ่ ทีมงานผู้ชำนาญการจะเริ่มการแกะสลัก และนำเอาน้ำแข็งก้อนมหึมามาตกแต่งเป็นรูปแบบต่าง ๆ รวมถึงการจำลองแบบให้เป็นเมืองน้ำแข็งที่งดงามที่สุดแห่งหนึ่งของโลกโดยฝีมือมนุษย์
  • นำท่านไปยังสถานีรถไฟ เพื่อนั่งรถไฟด่วนไปยังเมืองเฮลซิงกิ
    รอบ เวลา 16.39-23.35
  • พักที่ Helsinki

Day 6 : Helsinki – Rock Chruch – Aleksanterinkatu

  • นำท่านชม โบสถ์แห่งความรักเทมเปลิโอคิโอ หรือที่รู้จักกันในชื่อ โบสถ์หิน (ROCK CHURCH) เริ่มสร้างขึ้นเมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 1968 ใช้เวลาในการก่อสร้าง 1 ปีเต็ม ถือเป็นโบสถ์ที่แปลกตามาก แต่เดิมเป็นภูหินแกรนิตใหญ่ที่ตั้งอยู่กลางเมือง สร้างขึ้นจากการระเบิดชั้นหินธรรมชาติ ออกแบบโดย Timo และ Tuomo Suomalainen สถาปนิกพี่น้องชาวฟินแลนด์ และเปิดอย่างเป็นทางการในปี 1969 ปัจจุบันโบสถ์แห่งนี้เป็นที่นิยมในการท่องเที่ยวมาก ผู้คนเชื่อว่าใครที่มาจุดเทียนอธิษฐานเกี่ยวกับความรัก จะสมหวังทุกประการ

  • ช้อปปิ้งยังถนน Aleksanterinkatu  เป็นถนนสายที่สำคัญของเมืองและบรรดาขาช้อปทั้งหลาย เป็นถนนที่มีความยาวที่สุดของเมือง อยู่ใกล้กับทำเนียบประธานาธิบดี และสถานที่ที่มีชื่อเสียงอีกหลายแห่ง ทั้งสองฝั่งถนนนั้นเต็มไปด้วยร้านค้าขายของแบรนด์ดังต่างๆ และร้านอาหารอีกมากมายที่ดึงดูดผู้คนเป็นจำนวนมาก นับเป็นถนนคนเดินที่มีชีวิตชีวา คึกคักไปกับแสงสี เหมาะแก่การพบปะ รวมตัว สังสรรค์ โดยจะเป็นที่นิยมอย่างยิ่งในช่วงฤดูร้อน และทุกๆ ปีในเดือนพฤศจิกายน ช่วงวันคริสต์มาส นักท่องเที่ยวจะแห่มาชมการตกแต่งไฟคริสมาสต์ที่สวยงามตระการตา แต่ละร้านมีการประดับประดาด้วยแสงไฟอีกด้วย
  • เดินทางสู่ท่าเรือ FERRY เพื่อนั่งเรือไปยังเมือง Tallinn (ใช้เวลา 2 ชั่วโมง)
  • พักที่ Talinn

Day 7 : Tallinn – Parnu  

  • Tallinn เมืองหลวงของประเทศเอสโตเนีย เป็นเมืองหลวงที่เกิดใหม่หลังการล่มสลายของสหภาพโซเวียต อดีตเคยตกอยู่ภายใต้การปกครองของหลายประเทศ ไม่ว่าจะเป็น เดนมาร์ก สวีเดน และสหภาพโซเวียต  เมืองที่ร่ำรวยไปด้วยสถานที่ท่องเที่ยวที่สวยงามที่ตั้งอยู่บริเวณยุโรปเหนือ ทาลลินน์ได้รับการประกาศให้เป็นมรดกโลกเฉกเช่นเดียวกันกับริก้า และวิลนีอุสเมืองหลวงของของกลุ่มประเทศบอลติก
  • นำท่านชม เมืองเก่าของทาลลินน์ (TALLINN OLD TOWN SQUARE) ที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นเมืองแห่งยุคกลางที่สวยที่สุดในยุโรปเหนือ
  • เดินชม ย่านทุมเปีย TOOMPEA (เมืองบน) ซึ่งเป็นที่ตั้งของปราสาททุมเปีย ปัจจุบันได้ใช้เป็นอาคารรัฐสภาและหน่วยงานราชการ
  • จากนั้นนำท่านชม โบสถ์อเล็กซานเดอร์เนฟสกี้ (ALEXANDER NEVSKY CATHEDRAL) โบสถ์รัสเซียนออร์โธดอกซ์ที่ใหญ่ที่สุดในเอสโทเนีย บันทึกภาพตัวเมืองเก่าแบบพาโนรามาจากจุดชมวิว
  • เดินลัดเลาะแนวกำแพงเมืองสู่จตุรัสกลางเมืองอันเป็นที่ตั้งของศาลากลางรายล้อมด้วยอาคารที่ต่างยุคสมัยกันตั้งแต่ศตวรรษที่ 15-17 ให้ท่านอิสระช้อปปิ้งบน ถนนวีรู (VIRU STREET) ได้ตามอัธยาศัย
  • นำท่านเดินทางสู่ เมืองพาร์นู (Parnu) เมืองตากอากาศริมฝั่งทะเลบอลติกที่เป็นที่นิยมอันดับหนึ่งของประเทศ ระหว่างทางท่านจะได้สัมผัสบรรยากาศกับอาคารบ้านเรือนที่ก่อสร้างในแบบเอสโทเนียนดั้งเดิมซึ่งไม่เหมือนที่ใดในยุโรป (ประมาณ 2 ชม.)
  • พักที่ Parnu

DAY 8 : Parnu – Riga Old Town Square

  • เดินเล่นย้านตัวเมืองที่มีถนนช้อปปิ้งสายสั้นๆแต่เป็นเสน่ห์เอกลักษณ์เฉพาะตัวเพราะสร้างด้วยศิลปะในยุคอาร์ตนูโว
  • นำท่านเดินทางไปยัง เมือง Riga เมืองหลวงของประเทศลัตเวีย(ประมาณ 3 ชม.)
  • ชมย่าน OLD TOWN SQUARE บันทึกภาพ อาคาร HOUSE OF BLACK HEAD อนุสาวรีย์โรแลนด์ โบสถ์เซนต์ปีเตอร์ จัตุรัสโดมสแควร์ที่ตั้งของมหาวิหารที่ใหญ่ที่สุดในกลุ่มประเทศบอลติก ก่อนพาท่านสุ่ตลาดกลางที่ขายสินค้าการเกษตร เช่น ผัก ผลไม้ประจำฤดูกาลราคาถูก โดยที่อาคารแห่งนี้ดัดแปลงมาจากสถานีจอดเรือเหาะ (ZEPPELIN) ที่เคยเปิดให้บริการในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 นอกจากนี้ยังถือว่าอาคารสามหลังนี้ยังเป็นสัญญาลักษณ์ของกรุงริก้าอีกด้วย
  • พักที่ Riga

DAY 9 : Riga – Rundale – Trakai Castle

  • ชม เมืองริก้า (Riga) เมืองหลวงแห่งศิลปะอาร์ตนูโวที่เฟื่องฟูที่สุดในเขตบอลติก ผ่านชมย่านถนนอัลเบิร์ตและเอลิซาเบธที่ยังคงความงดงามของสถาปัตยกรรมในยุคนั้นได้อย่างสมบูรณ์ที่สุด
  • ชม พระราชวังรุนดาเล (RUNDALE PALACE) ที่สร้างในสมัยจักรพรรดินีแอนอิวาโนวาแห่งรัสเซีย เพื่อมอบให้กับชู้รักคนโปรด เคาน์ทไบรอนแห่งเคอร์แลนด์ ตัวพระราชวังออกแบบโดยบาโธเลมิว ราสเตลลี สถาปนิกชื่อดังชาวอิตาเลียน ที่รับใช้ราชสำนักรัสเซียในการออกแบบพระราชวังเฮอร์มิเทจที่นครเซนต์ ปีเตอร์สเบิร์ก ทำให้พระราชวังแห่งนี้มีความงดงามไม่แพ้ที่ใดในยุโรป นอกจากนี้พระราชวังรุนดาเลยังได้รับยกย่องให้เป็นสุดยอดของการออกแบบสถาปัตยกรรมทีเป็น การประยุกต์ของสองวัฒนธรรมระหว่างเยอรมันและรัสเซียได้อย่างลงตัวที่สุดในทวีปยุโรป
  • นำท่านออกเดินทางสู่ เมืองทราไก (TRAKAI) เมืองเล็กๆที่มีความสำคัญทางด้านประวัติศาสตร์ และอดีตเมืองหลวงเก่าของลิทัวเนีย ก่อนที่จะมีการสร้างกรุงวิลนีอุส ตัวเมืองถูกล้อมรอบด้วยทะเลสาบ
  • ชม ปราสาททราไก เป็นปราสาทที่ตั้งอยู่ภายในทะเลสาบ Galve เมืองTrakai ประเทศลิทัวเนีย ถูกสร้างขึ้นในศตวรรษที่ 14 โดย Kestutis ลักษณะสถาปัตยกรรมเป็นรูปแบบโกธิค ปัจจุบันเป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมของประเทศลิทัวเนีย ด้วยทัศนียภาพที่สวยงามทำให้ปราสาทแห่งนี้เป็นสถานที่ในการจัดเทศกาลต่างๆ มากมาย
  • พักที่ Vilnius

DAY 10 : Vilnius Old Town – St. Anne’s Church – Bangkok

  • นำท่านชม เมืองเก่าวิลนีอุส เจ้าของสมญานาม “กรุงโรมแห่งบอลติก” เพราะเป็นศุนย์กลางของศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาธอลิก เมื่อครั้งยังเป็นส่วนหนึ่งของโปแลนด์
  • แวะเก็บภาพที่ โบสถ์เซนต์แอนน์ ที่ได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในโบสถ์ที่สวยที่สุดในวิลนีอุส เป็นโบสถ์แบบโรมันคาทอลิกที่ตั้งอยู่ในเมืองเขตเก่า แต่เดิมในช่วงศตวรรษที่ 14 เคยเป็นโบสถ์ไม้ และในปี ค.ศ 1495-1500 มีพระฟรานซิสกันได้สร้างโบสถ์ที่ทำจากหินขึ้นมาในปี ค.ศ 1874 โบสถ์เซนแอนน์ได้รับการขึ้นเป็นมรดกโลกจากองค์การยูเนสโกด้วย จากนั้นเดนิทางไปยังสนามบิน
  • เดินทางกลับสู่กรุงเทพ โดยสายการบิน FINNAIR เที่ยวบินที่ AY1108 แวะเปลี่ยนเครื่องที่เฮลซิงกิ ถึงเวลา 15.30 น.
  • ออกเดินทางกลับสู่กรุงเทพฯ โดยสายการบิน  FINNAIR เที่ยวบินที่ AY141

DAY 11 : Bangkok  

  • เดินทางถึงกรุงเทพมหานครโดยสวัสดิภาพ

***รายการอาจมีการเปลี่ยนแปลงตามความเหมาะสม***

วันที่จัด

* อธิบายรูปแบบทริป
  • เหมือนเพื่อนพาเที่ยว
  • กลุ่มขนาดเล็กขนาด 4-6 ท่าน
  • ทีมงานคนไทยขับรถพาเที่ยว
  • ปรับเปลี่ยนโปรแกรมได้ (เฉพาะกรุ๊ปเหมา)
  • เหมาะสำหรับผู้ชอบความคล่องตัวและยืดหยุ่นในการเดินทาง
  • สามารถช่วยเหลือตนเองได้ เช่นการยกกระเป๋าหรือสั่งอาหารเอง
  • รวม วีซ่า กิจกรรม การเดินทางทุกชนิดตามโปรแกรม
  • เข้าพัก โรงแรมระดับ 3-4 ดาว ขึ้นกับพื้นที่ 
  • รวม ประกันการเดินทาง
  • สินน้ำใจแล้วแต่จะให้ ไม่บังคับ

** สิ่งที่ไม่รวมในค่าทริปคือตั๋วเครื่องบิน และ อาหารกลางวัน/เย็น

  • Classic Trip เหมาะสำหรับผู้ใหญ่หรือครอบครัวหรือกลุ่มเพื่อนที่ต้องการความสะดวกสบาย ไม่ลุยมากนัก 
  • ใช้รถ Bus ท้องถิ่น คันใหญ่ สะอาด นั่งสบาย (คนขับเป็นคนท้องถิ่น)
  • รวม ค่าตั๋วเครื่องบิน
  • รวม ดำเนินการเรื่องวีซ่า
  • รวม ค่ากิจกรรมและการเดินทางทุกชนิด
  • เข้าพัก โรงแรมระดับ 3-4 ดาว ขึ้นกับพื้นที่
  • รวม อาหารครบทุกมื้อ
  • รวม ประกันการเดินทาง
  • รวม ทิปไกด์

ไปไหนมาดอทคอม • 089-4789334 • 02-045-3445 • Line : @painaima.com • painaima@gmail.com • ติดต่อเรา

ไปไหนมาดอทคอม • ติดต่อเรา

Categories
Europe

ทัวร์กรีนแลนด์ ฟาโรห์

ทัวร์กรีนแลนด์-ฟาโรห์

Highlight

Day 1 : Bangkok  

  • นัดพบกันที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ  

Day 2: Bangkok – Copenhagen – Faroe Island –Kirkjubour Magnus Catherdal – Torshavn 

  • ถึงสนามบิน โคเปนฮาเกน จากนั้นต่อเครื่องภายในประเทศ ไปยัง สนามบิน Sorvagur แห่งแฟโร โดยสายการบิน Scandinavian Airlines  
  • ชมหมู่เกาะแฟโร (Faroe Island) เป็นประเทศในกลุ่มเกาะจำนวน 18 เกาะ ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของ มหาสมุทรแอตแลนติกระหว่างสกอตแลนด์ นอร์เวย์และไอซ์แลนด์หมู่เกาะแฟโรเป็นเขตการปกครองตนเองของ เดนมาร์ก ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2491 โดยมีสถานภาพเหมือนกับกรีนแลนด์มีอำนาจในการปกครองตนเองทุกด้าน 
  • ชม Trøllkonufingur (Witches Finger) เสาหินรูปร่างประหลาดและโดดเด่นที่ขึ้นตรงชายฝั่ง Vágar คนแฟโรได้ตั้งชื่อนี้เป็นเพราะมีลักษณะที่คล้ายนิ้วของแม่มดและมีตำนานว่าแม่มดได้สร้างเสาหินนี้ขึ้นมายังชายฝั่งอีกด้วย 
  • ชมมืองเคิร์กจูบูเออร์ (Kirkjubour) หมู่บ้านเล็กๆทางตอนใต้ของเกาะแฟโร เป็นหมู่บ้านที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ และมีบ้านไม้ที่อายุเก่าแก่ที่สุดซึ่งสร้างต้้งแต่ศตวรรษที่ 11
  • ชม โบสถ์หินโบราณแมกนาส (Magnus Catherdal) ชมความงดงามของโบสถ์หินโบราณที่ยังคงอนุรักษ์ไว้จนถึงปัจจุบัน พร้อมทั้งดื่มด่ำกับ ทัศนียภาพของบ้านไม้โบราณที่นิยมปลูกหญ้าบนหลังคาเลียบชายฝั่งมหาสมุทร 
  • คืนนี้พักที่ ทอร์ชวาน  

Day 3 : Sørvágsvatn – Kvivik Village  

  • ชมความงามของ Sørvágsvatn ทะเลสาบขนาดใหญ่ที่สุดของหมู่เกาะฟาโร ซึ่งตั้งอยู่บนเกาะ Vágar ที่อยู่ติดกับชายฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติก ตั้งอยู่ที่ความสูง 30 เมตรเหนือระดับน้ำทะเลที่ปลายสุดของทะเลสาบจะมีน้ำตก Bøsdalafossur อีกหนึ่งสถานที่ที่สวยงามของเกาะ 
  • Trælanípan (Slave Cliff) ท่านจะเห็นทะเลสาบที่อยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเล เมื่อถ่ายรูปออกมาจะเห็นเป็นภาพหลอกตา เหมือนกับภูเขาเป็นแอ่งและมีน้ำอยู่ข้างในและลอยอยู่บนมหาสมุทร ซึ่งจริงๆ แล้วทะเลสาบที่เห็นอยู่นี้ สูงกว่าระดับน้ำทะเลเพียงแค่ 30 เมตรเท่านั้น 
  • ล่องเรือสู่ Mykines ถิ่นฐานของนกพัฟฟินที่น่ารัก ใช้ในการวางไข่ นอกจากจะที่อยู่ของนกแถบโซนอาร์คติกไม่ว่าจะเป็นนกพัพฟิน (puffins) ที่อาศัยอยู่ตามชะง่อนผา และ นกอาร์คติดเทิร์น และอีกนานาชนิด เก็บภาพความสวยงามของผาหิน และ นกนานาพันธุ์ (11.20-16.20) 
  • หมู่บ้านไคว์วิค (Kvivik Village) ซึ่งเป็นหนึ่งในหมู่บ้านที่เก่าแก่ที่สุดบนหมู่เกาะแฟโรและยังคงมีหลักฐานทางโบราณคดีที่แสดงให้เห็นว่าชาวไวกิ้ง ได้มีการตั้งถิ่นฐานที่หมู่บ้านแห่งนี้เมื่อประมาณศตวรรษที่ 18 เห็นได้จากบ้านเรือนของชาวไวกิ้งโบราณที่ยังคงหลงเหลืออยู่  
  • พักที่ Torshavn 

Day 4 : Mykines 

  • พานั่งเรือไปยังจุดชมวิว Drangarnir ท่านจะเห็นหินที่ขึ้นขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่กลางทะเล ความอัศจรรย์คือหินนั้นมีรูขนาดใหญ่ที่เป็นจุดเด่นและเอกลักษณ์ของเกาะแฟโรอีกด้วย 
  • ชมน้ำตกมูลาฟอส เซอร์ (Mulafossur Waterfall) ซึ่งเป็นน้ำตกที่เปรียบเสมือนซิกเนเจอร์ของหมู่เกาะแฟโร ให้ท่านได้ชื่นชมกับธรรมชาติและความสวยงามของน้ำตกซึ่งมีฉากหลังเป็นภูเขาสวยงาม 
  • เดินทางสู่เมืองทอร์สเฮาน์ (Torshavn) ซึ่งเป็นเมืองหลวงและเมืองที่ใหญ่ที่สุดของหมู่เกาะแฟโร ดินแดนของประเทศเดนมาร์ก ตั้งอยู่ทางตอนใต้และเป็นส่วนหนึ่งของชายฝั่งทิศตะวันตกของเมืองสเตรอเมอนา นำท่านถ่ายรูปกับบ้านหลังคาหญ้า (Tiganes) ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของเมือง 
  • พักที่ Torshavn 

Day 5 : Torshavn – Copenhagen 

  • เดินทางกลับ โคเปนฮาเกน โดยสายการบินในประเทศ 
  • ชมมือง Copenhagen พอหอมปากหอมคอ พาท่านไปถ่ายรูปกับเงือกน้อย little mermaid สัญลักษณ์ของเมืองโคเปนเฮเกน  
  • Amalianborg Castle พระราชวังที่สร้างขึ้นสำหรับประทับช่วงฤดูหนาว ประกอบด้วยอาคารสี่หลังใหญ่ ล้อมรอบพื้นที่ทรงแปดเหลี่ยม ตรงกลางด้านในนั้นประดิษฐานอนุสาวรีย์พระบรมรูปทรงม้าของผู้ก่อตั้ง Amalienborg ของกษัตริย์เฟรเดอริที่ 5 
  • ชมท่าเรือ Nyhavn ที่ถือเป็นแหล่งท่องเที่ยวหลากสีสัน เพราะรายล้อมไปด้วยร้านค้า ร้านอาหาร ผับ บาร์ ตั้งเรียงรายอยู่สองข้างทาง ผสานไปด้วยบ้านเรือนสไตล์แดนิชหลากสีสันที่สร้างขึ้นได้อย่างสวยงาม 

Day 6 : Copenhagen – Kangerlussuaq – Ice Cap Point 660  Russell Glacier 

  • เดินทางสู่ เมือง Kangerlussuaq โดยสายการบิน Air Geenland  
  • เดินทางสู่ Ice Cap Point 660 ชั้นน้ำแข็งที่ปกคลุมพื้นโลก (แถบขั้วโลกเหนือและใต้) อีกหนึ่งประสบการณ์อันน่าจดจำที่จะได้อยู่บนแผ่นน้ำแข็งที่ปกคลุมทั้งประเทศคิดเป็น 10% ของโลก ที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 2 รองจากแอนตาร์กติกา 
  • สัมผัสกับธารน้ำแข็งรัสเซล (Russell Glacier) หน้าผาน้ำแข็งที่มีขนาดใหญ่มีความสูงกว่า 60 เมตรเด่นตระหง่านอยู่ตรงหน้า จินตนาการรูปลักษณ์คล้ายดั่งสัตว์ในเขตขั้วโลกเหนือ อาทิ หมีขาว แมวน้ำ หรือธารน้ำตก อันเป็นประติมากรรมที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ เราจะค่อยๆเดินขึ้นไปบนธารน้ำแข็งซึ่งทรงพลังที่สุดในธรรมชาติ ความใหญ่โตมหึมาล้อมรอบ 360 องศาที่จะทำให้ตื่นเต้นตลอดเวลาในการเดินอยู่บนธารน้ำแข็งที่ยังคงเหลืออยู่ในกรีนแลนด์ และแอนตาร์กติกาเท่านั้น  

Day 7 : Kangerlussuaq – Ilulissat  

  • ออกเดินทางไปยังเมือง  Ilulissat โดยสายการบิน Air Geenland  
  • ชม โบสถ์ Zion Church ซึ่งสร้างมาตั้งแต่ปลายศตวรรษที่ 18 ถือเป็นสิ่งก่อสร้างที่ใหญ่ที่สุดในกรีนแลนด์ยุคนั้น 
  • นำท่านเข้าชม พิพิธภัณฑ์เมืองอิลูลิสแซต (Iluissat Museum) ซึ่งจัดแสดงเรื่องราวของแหล่งก่อนประวัติศาสตร์ Sermermiut อันเป็นถิ่นฐานของมนุษย์ยุคหิน และเรื่องราวของชนพื้นเมืองคือ อินูอิต (Enuitหรือเอสกิโม (Eskimo) วิถีชีวิต วัฒนธรรม และเส้นทางการค้าของพวกเขากับชาวยุโรป รวมถึงเรื่องราวของนักสำรวจขั้วโลกเหนือที่น่าสนใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Knud Rasmussen นักสำรวจขั้วโลกเหนือผู้ยิ่งใหญ่ 
  • Ilulissat Icefjord ความยาวราว 70 กิโลเมตร หรือที่เรียกกันในภาษาท้องถิ่นว่า Kangia จะเต็มไปด้วยก้อนน้ำแข็งและภูเขาน้ำแข็ง (Iceberg) อันมีที่มาจากธารน้ำแข็งเซอร์เมก คูยาลเลก (Sermeq Kujalleqทางด้านทิศตะวันออก ไหลลงสู่ท้องทะเลและมาออกทะเลเปิดบริเวณอ่าวดิสโก (Disko Bay) มีแผ่นน้ำแข็งลอยน้ำขนาดใหญ่โตมากมายกระจัดกระจายอยู่ตามผืนน้ำ รวมพื้นที่ทั้งหมดของแหล่งมรดกโลกแห่งนี้ราว 4,000 ตารางกิโลเมตร 

Day 8: Whale Watching – Zion Church  

  • พาชมปลาวาฬ พบว่าดินแดนขั้วโลกเหนือแห่งนี้มีปลาวาฬกว่า 15 ชนิด ที่สามารถพบเห็นได้ โดยเฉพาะ วาฬหลังค่อม วาฬฟิน และวาฬมิงก์ นำท่านออกสำรวจปลาวาฬอย่างใกล้ชิด  
  • ่องเรือชม Iceberg ที่ Disko Bay ช่วงพระอาทิตย์เที่ยงคืน จะเห็นภูเขาน้ำแข็งขนาดใหญ่ มีแผ่นน้ำแข็งลอยน้ำขนาดใหญ่โตมากมายกระจัดกระจายอยู่ตามผืนน้ำ รวมพื้นที่ทั้งหมดของแหล่งมรดกโลกแห่งนี้ราว 4,000 ตารางกิโลเมตร 

Day 9 :  Eqip Sermia  

  • ั่งเรือไปทางตอนเหนือของอิลลูลิแซท เมืองปากอ่าวธารน้ำแข็ง อิควิป เซอร์เมีย (Eqip Sermia) หรือรู้จักกันในชื่อ “Eqi” กล่าวได้ว่าเป็นธารน้ำแข็งเก่าแก่อายุหลายหมื่นปี ที่ใหญ่ที่สุดในโลกเพียงแห่งเดียวที่มนุษย์สามารถเข้าไปชมได้อย่างใกล้ชิดที่สุด จัดเป็นมรดกโลกเมื่อปี 2004 เป็นมรดกทางธรรมชาติของโลกที่น่าตื่นตาตื่นใจซึ่งก้อนน้ำแข็งจำนวนมหาศาลไหลลงทะเลทาง Ilulissat Icefjord (อิลลูลิแซท ไอซ์ฟยอร์ด) ถือได้ว่าเป็นที่สุดของธารน้ำแข็งทางฝั่งตะวันตกของกรีนแลนด์  

Day 10 : Ilulissat – Kangerlussuaq – Copenhagen  

  • เดินทางกลับ Copenhagen โดยสายการบิน Air Geenland 

Day 11 : Copenhagen – Bangkok 

  • อิสระยามเช้า เตรียมตัวกลับไทย

Day 12 : Bangkok 

  • เช้า เดินทางถึงกรุงเทพฯ โดยสวัสดิภาพและความประทับใจ 

เร็วๆนี้

ไปไหนมาดอทคอม • 089-4789334 • 02-045-3445 • Line : @painaima.com • painaima@gmail.com • ติดต่อเรา

ไปไหนมาดอทคอม • ติดต่อเรา

Categories
Europe Northernlight

ทัวร์ไอซ์แลนด์

ทัวร์ไอซ์แลนด์

Highlight

จุดเด่นทริป Iceland Grand

  • เที่ยวรอบเกาะ 
  • ล่าแสงเหนือ ทุกคืนที่ท้องฟ้าเปิด (ก.ย. – เม.ย.)
  • ชม Golden Circle : Geysir , Gullfoss, Thingvellir
  • ไอซ์แลนด์ ซิกเนเจอร์ Skogafoss และ Seljalandfoss
  • ลัดเลาะทะเลใต้ เมือง VIK, หาดดำ, ชง่อนผาน้องพัพฟิน
  • Iceburg Lagoon : Fjallsárlón Jökulsárlón
  • อลังการน้ำตกที่แรงสุดในยุโรป Dettifoss
  • เขต Thermal Area, บ่อโคลนเดือด
  • ล่องเรือชมปลาวาฬ
  • เมืองน่ารักๆ Akureyri
  • ภูเขาหมวก Kirkjufell
  • โบสถ์ Reykjavik 
  • แช่น้ำร้อนที่บลูลากูน

129,000

รายละเอียดเพิ่มเติม

DAY 1: Bangkok  

  • ัดพบกันที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ  

DAY 2 :  Reykjavik – Thingvellir National Park  Golden Circle  

  •  ต่อเครื่องไปยัง Iceland 
  • พาชม ุทยานแห่งชาติซิงเควลลิร์ (Thingvellir National Park) อุทยานแห่งชาติแห่งแรก ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโก้ มีความสำคัญคือ เป็นรอยเชื่อมระหว่างทวีปยูเรเซีย และทวีปอเมริกาเหนือ และยังมีฐานะเป็นสภาแห่งแรกของไอซ์แลนด์  
  • ชม น้ำตกกูลฟอสส หรือ ไนแองการ่าแห่งไอซ์แลนด์ ถือเป็นน้ำตกที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งของประเทศไอซ์แลนด์ และเป็นสถานที่ท่องเที่ยว 1 ใน 3 ที่ไอซ์แลนด์จัดให้อยู่ในเส้นทาง “วงกลมทองคำ” ที่ผู้มาเยือนต้องมาเที่ยวชม  สำหรับ ชื่อน้ำตกแห่ง Gullfoss มาจากคำว่า Gull ที่แปลว่าทองคำและ Foss ที่แปลว่าน้ำตก เมื่อรวมกันหมายถึงน้ำตกทองคำ  
  • ชม น้ำพุร้อนหรือเกย์เซอร์ ซึ่งเป็นน้ำพุร้อนที่พวยพุ่งขึ้นสูงกว่า 180 ฟุต ทุกๆ 7-10 นาที  สาเหตุการเกิดน้ำพุร้อนดังกล่าวเนื่องมาจากน้ำในโพรงหินใต้ดิน ได้รับความร้อนจากพลังงานที่อยู่ใต้หินเปลือกโลก เมื่อถึงจุดเดือด จึงขับเคลื่อนน้ำในโพรงขึ้นมา ให้กลายเป็นน้ำพุร้อน  
  • ชมปล่องภูเขาไฟ Kerid Crater ปล่องภูเขาไฟสีเลือดที่มีทะเลสาบสีเขียวมรกตปรากฏอยู่บริเวณปากปล่อง  ซึ่งแม้ว่าจะมีอายุกว่า 3 พันปีแล้วก็ตาม แต่ยังมีสภาพที่สมบูรณ์อยู่  
  • คืนนี้เราจะพักกันที่ เมือง Selfoss  

DAY 3 : Seljalansfoss – Skoga – Dyrholaey – Vik – Klaustur  

  • ชม น้ำตกเซลยาลันส์ฟอสส์ (Seljalansfoss) มีความสูง 60 เมตร และถือเป็นอีกหนึ่ง Highlihgt ของน้ำตกแห่งนี้ที่ผู้มาเยือนสามารถเดินเข้าไปด้านหลังได้  
  • ชม น้ำตกสโกก้าฟอสส์ (Skogarfossอันมีมวลน้ำขนาดใหญ่ตกมาจากหน้าผาสูง 62 m ความสวยงามตระการตาของน้ำตกที่เห็นอยู่นั้นเกิดจากองค์ประกอบรอบๆ ของตัวน้ำตกและโตรกผาที่สอดประสานกัน  
  • ชม แหลม Dyrholaey (เดิมเรียกว่าเคปพอร์ตแลนด์โดยชาวอังกฤษตั้งอยู่บนชายฝั่งทางใต้ของไอซ์แลนด์ จุดเด่นของที่นี่คือ หาดลาวาสีดำสนิท ที่ทอดตัวยาวหลายสิบกิโลเมตร โดดเด่นที่บริเวณริมผาจะเห็นประติมากรรมอันถูกสร้างสรรค์จากธรรมชาติ เป็นลักษณะแหลมหินที่มีรูขนาดใหญ่ยื่นลงไปในทะเล เมื่อมองกลับไปด้านหลังจะพบกับธารน้ำแข็ง Mýrdalsjökull glacier  
  • Reynisfjara Beach หาดทรายสีดำที่ดังที่สุดในเส้นทางIceland ภาคใต้ มี landmark ที่สำคัญคือหน้าผาหิน บะซอลท์ที่ใครๆก็ต้องแวะเวียนมาถ่ายรูป  
  • ชม Trolls in Reynisdrangar ที่มีตำนานอันลึกลับกล่าวขานว่า พวกปีศาจพยายามแอบลากเรือออกจากฝั่งของเมือง Vik แต่ถูกจับได้ โดยเทพเจ้าแห่งแสงแดดในยามรุ่งสาง เหล่าปีศาจร้ายจึงถูกสาปให้กลายเป็นหินรูปทรงแปลกประหลาดน่าเกลียดน่ากลัวตั้งอยู่กลางท้องทะเล  
  • เดินทางต่อสู่เส้นทางเลียบชายหาด แวะชม LavaField ซึ่งเป็นทุ่งหญ้ามอสที่ปกคลุมอยู่บนหินลาวา เมื่อถ่ายภาพออกมา จะกลายเป็นภาพที่แปลกตาแต่สวยงาม  
  • คืนนี้เราจะพักกันที่ เมือง Klaustur  

Day 4 : Skaftafell –  Svartifoss –  SvinafellsJokull – Vatnajokull  Jokulsarlon – Hofn  

  • ชม อุทยานแห่งชาติ Skaftafell อันมีภูมิประเทศคล้ายคลึงกับเทือกเขา Alp  มีลักษณะเป็นเขตธารน้ำแข็งที่ก่อต่อขึ้นมาหลายพันปีจากอิทธิพลการระเบิดของภูเขาไฟใต้ธารน้ำแข็งที่ทำให้เกิด Glacier Floods  
  • ชม ธารน้ำแข็ง SvinafellsJokull อันมีลักษณะเป็นกราเซียที่เกิดจากธารน้ำแข็ง Vatnajokul ผู้มาเยือนสามารถถ่ายภาพกับวิวกลาเซียและก้อนน้ำแข็งขนาดใหญ่ที่ลอยอยู่ในทะเลสาบเบื้องล่างอันแสนพิเศษนี้  
  • ธารน้ำแข็งเรียกว่า Vatnajokull มีขนาด 8,300 ตร.กมเท่ากับธารน้ำแข็งทั้งหมดในทวีปยุโรปรวมกัน และขนาดความหนามากที่สุดประมาณ 1,000 เมตร ซึ่งถือว่ามีขนาดใหญ่เป็นอันดับสองของทวีปยุโรป  
  • ชม โจกุลซาลอน (Jokulsarlon) ซึ่งถือเป็นทะเลสาบธารน้ำแข็งที่ใหญ่ที่สุดในไอซ์แลนด์ ธารน้ำแข็งแห่งนี้ เกิดขึ้นครั้งแรกในช่วงปี 1934-1935 ต่อมาจึงเกิดการละลายเรื่อยๆ จนเพิ่มพื้นที่มากขึ้นในทุกๆ ปี  
  • ชม AMPHIBIAN BOAT TOUR  ล่องเรือชมความงามของภูเขาน้ำแข็งขนาดใหญ่ท่ามกลางทิวทัศน์อันสวยงามแปลกตา ตื่นตากับธารน้ำแข็ง 1000 ปี หากโชคดีอาจจะเจอแมวน้ำรอต้อนรับ 
  • คืนนี้เราจะพักกันที่ Hofn  

Day 5 : Hofn – Dettifoss – Hverarondor Hverir – Goda foss Akureyri  

  • เตรียมตัวเดินทางสู่ใจกลางประเทศไอซ์แลนด์ วันนี้เราจะลัดเลาะไปตามแนว East Fjord มีหน้าผาสูงชันและเลียบไปตามทะเล  แวะถ่ายรูปทัศนียภาพอันแปลกตา ที่น่ามองอีกจุดหนึ่งของ Iceland  
  • เดินทางข้าม Pass Modradalsfjallgurdar อันมีหิมะปกคลุมในช่วงฤดูหนาวตลอดเส้นทาง เราจะเห็นทัศนียภาพเป็นหุบเขาสีขาวสวยงามตระการตา พร้อมมุ่งหน้าสู่เมืองหลวงทางตะวันออกที่ชื่อเมือง Egilstadir  
  • ชม น้ำตก Dettifoss อันเป็นสถานที่ถ่ายภาพยนต์เรื่อง Prometeus น้ำตกแห่งนี้เป็นน้ำตกที่ใหญ่และทรงพลังที่สุดในทวีปยุโรป ตั้งอยู่ในอุทยานแห่งชาติ Vatnajökull  
  • ชม สถานีพลังงาน Krafla เป็นสถานีพลังงานความร้อนใต้พิภพใหญ่ที่สุดของประเทศ ขนาด 60 เมกะวัตต์ตั้งอยู่ใกล้ภูเขาไฟ Krafla ในไอซ์แลนด์  
  • Hverarondor Hverir อันเป็นทางออกของพลังงานความร้อนจากใต้พิภพ เกิดเป็นบ่อโคลนเดือดและควันกำมะถันพวยพุ่งออกมาจากหลุม เดินทางผ่านชมทะเลสาบสีเทอควอยต์ที่มีโรงไฟฟ้าพลังความร้อนพ่นควันฉุยตั้งอยู่เคียงข้าง  
  • คืนนี้เราจะพักกันที่ เมือง Myvatn  

Day 6 : Myvatn – Godafoss – Akureyri  

  • ชม Hverfjall ซึ่งเป็นภูเขาไฟรูปทรงโคลนและมีขนาดความกว้างของปล่องประมาณ 1 กิโลเมตร สามารถเดินเท้าขึ้นไปที่ปากปล่องเพื่อ ชมวิวของ Lake Myvatn และความอลังการของปล่องภูเขาไฟได้ ซึ่งปากปล่องสูงถึง 463 เมตร   
  • ชม น้ำตก Godafoss ที่ได้รับฉายาว่า น้ำตกแห่งพระเจ้า “Waterfall of the Gods”  
  • (เมษายน– กันยายนพาล่องเรือ ชมปลาวาฬ จะมีโอกาสเห็นวาฬมิงค์  
  • ชม เมืองอาคูเรย์ริ (Akureyriเมืองที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ 2 ของประเทศไอซ์เเลนด์ และยังเป็นศูนย์กลางการทำประมง โบสถ์อาคูเรย์รี่ (Akureyrakirkjaสัญลักษณ์ของเมือง สถาปนิกผู้ก่อสร้างโบสถ์นี้คือ Gudjon Samuelsson เป็นคนเดียวกับผู้ออกแบบ Hallgrimskirkja โบสถ์ลูเธอรันนี้ออกแบบเสร็จในปี 1940 ภายในโบสถ์ประกอบด้วยท่อออร์แกน 3200 อันที่นำมาจากประเทศเยอรมันในปี 1961 มีภาพของพระเยซูและเรือทำมือที่แขวนจากเพดาน ตามความเชื่อของชาวนอร์ดิกโบราณ  
  • อิสระแก่ทุกท่านเพื่อช้อปปิ้งเลือกซื้อสินค้าบนถนนคนเดินเกเรอโตรกาตา (Gerartogata 
  • คืนนี้เราจะพักกันที่ เมือง Akureyri  

Day 7 : Akureyri – Snæfellsjökull – Kirkjufell –  Grundafjord  

  • เดินทางสู่ Snæfellsjökull เขตภูเขาไฟอายุ 700000 ปีที่มีกลาเซียปกคลุมอยู่ทั่วบริเวณ  และภูเขาไฟแห่งนี้ ยังเป็นฉากในนวนิยายเรื่อง Journey to the Center of the Earth  
  • เข้าสู่เขตเมือง Grundafjordur เมืองเล็กๆริมทะเล อยู่ทางตอนเหนือของคาบสมุทร Snæfellsnes Peninsula ทางทิศตะวันตกของไอซ์แลนด์ อาคารแต่ละหลังถูกสร้างขึ้นมาอย่างเรียบง่าย มีฉากหลังเป็นภูเขาที่ปกคลุมไปด้วยหิมะ  
  • ชม Kirkjufell ภูเขาทรงหมวก และน้ำตก Kirkjufellsfoss อันเป็นสถานที่สำคัญเลื่องชื่อ ที่หากมาเยือน Iceland แล้ว ต้องห้ามพลาดถ่ายรูปกับสถานที่แห่งนี้  
  • คืนนี้เราจะพักกันที่ เมือง Grundafjord  

DAY 8 : Grundafjord – BlueLagoon – Keflavik  

  •  หลังอาหารเช้าชม ถ้ำลาวา 1 หมื่นล้านปี อันเกิดจากลาวาที่ไหลลงมาสู่ชายฝั่งทะเล และแข็งตัวไม่พร้อมกัน ทำให้เกิดเป็นโพรงถ้ำขนาดใหญ่อยู่ใต้ดิน  
  • เดินทางเข้าสู่เมืองหลวงเรยาวิค ชม ฮัลล์กรีมสคิร์คยา (Hallgrimskirkja) โบสถ์ใจกลางเมืองที่มีความสูง 73 เมตร เป็นโบสถ์ที่ใหญ่ที่สุดในไอซ์แลนด์และเป็นสิ่งก่อสร้างที่สูงที่สุดเป็นอันดับ 6 ของไอซ์แลนด์ โดยโบสถ์แห่งนี้ถูกตั้งชื่อขึ้นตามชื่อของ ฮัลล์กรีมูร์ เพทูร์สซอน (1614 – 1674) กวีและนักบวชชาวไอซ์แลนด์  เพราะคำว่า “ฮัลล์กรีมสคิร์คยา” ตามศัพท์แปลว่า “โบสถ์ของฮัลล์กรีมูร์”  
  • ชม Harpa อันเป็น Concert Hall และ Conference Center มีที่ตั้งอยู่ริมอ่าว โดยอาคารแห่งนี้ถูกตกแต่งไปด้วยกระจก 6 เหลี่ยม เมื่อยามสะท้อนแสงอาทิตย์จะทำให้เกิดเป็นประกาย หลากสีสันแตกต่างกันออกไปตามมุมมองที่เรายืนชมอยู่ นับเป็นอีกหนึ่งสถาปัตยกรรมสมัยใหม่ที่หาดูได้ยากในโลก  
  • ถ่ายรูปกับ Sun Voyager (Solar) สร้างขึ้นเมื่อปี 1990 ชนะเลิศจากการประกวดประติมากรรมเพื่อเฉลิมฉลองกรุงเรคยาวิกครบ 200 ปี Sun Voyeger แทนความหมายของเรือแห่งความฝันที่ออกเดินทางไปตามทิศทางแห่งดวงอาทิตย์ ไปสู่ดินแดนที่ยังไม่ถูกค้นพบ  
  • มุ่งหน้าสู่ เมือง Keflavik แวะผ่อนคลายกันที่ บลูลากูน (BlueLagoon) หรือทะเลสาบสีฟ้า ซึ่งเป็นน้ำพุร้อนที่มีชื่อเสียงที่สุดของไอซ์แลนด์ สามารถลงไปแหวกว่าย นอนแช่ในบ่อน้ำพุร้อนที่มีอุณหภูมิความร้อนของน้ำเฉลี่ยอยู่ที่ 40 องศาเซลเซียสได้อย่างสบายๆ ทำให้เกิดความรู้สึกผ่อนคลาย อีกทั้งตัวน้ำพุร้อนอันบริสุทธิ์ยังเต็มไปด้วยแร่ธาตุมากมาย ที่เชื่อกันว่าสามารถช่วยรักษาโรคได้อีกด้วย (กรุณาเตรียมชุดว่ายน้ำไปด้วยครับ 
  • คืนนี้เราจะพักกันที่ เมือง Keflavik  

DAY 9 : Keflavik – Copenhagen  

  • ออกเดินทางจาก Icelane สู่โคเปนเฮเกน (พาเที่ยวโคเปน ด้วยรถไฟ)  
  • พาท่านไปถ่ายรูปกับเงือกน้อย little mermaid ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของเมืองโคเปนฮาเก้น ที่กำลังนั่งรอเจ้าชายตามเทพนิยายอันเลื่องชื่อ ของนักเล่านิทานระดับโลกฮันส์คริสเตียน-แอนเดอร์สัน 
  • Amalianborg Castle พระราชวังที่สร้างขึ้นสำหรับประทับช่วงฤดูหนาว ประกอบด้วยอาคารสี่หลังใหญ่ ล้อมรอบพื้นที่ทรงแปดเหลี่ยม ตรงกลางด้านในนั้นประดิษฐานอนุสาวรีย์พระบรมรูปทรงม้าของผู้ก่อตั้ง Amalienborg ของกษัตริย์เฟรเดอริที่ 5  
  • พักที่ Copenhagen  

DAY 10 : Copenhagen – Bangkok  

  • เช้า อิสระตามอัธยาศัย ช่วงบ่ายเตรียมกลับไทย 

DAY 11 : Bangkok  

  • เดินทางถึงกรุงเทพมหานครโดยสวัสดิภาพ

ค่าใช้จ่ายทริป 
129000 บาท พักห้องคู่

*พักเดี่ยวเพิ่ม 30000 บาท
**ไม่มีราคาเด็ก

ค่าใช้จ่ายรวม

  • ค่าวีซ่า
  • การเดินทางทั้งหมดในไอซ์แลนด์
  • ค่ากิจกรรมทั้งหมดตามโปรแกรม
  • โรงแรมระดับ 3-4 ดาว ขึ้นกับสภาพเมือง พร้อมอาหารเช้า
  • ตั๋วเครื่องบินโคเปนเฮเก้น – เรยาวิค

ค่าใช้จ่ายไม่รวม

  • อาหารกลางวันและเย็น
  • ตั๋วเครื่องบินระหว่างประเทศ กรุงเทพ-โคเปนเฮเก้น (สามารถจองและออกตั๋วผ่านทีมงานได้เลย)
  • ไอซ์แลนด์เป็นประเทศที่สภาพภูมิอากาศแปรปรวน โดยเฉพาะลมและฝน ซึ่งเกิดขึ้นได้ทุกเวลา ให้ทุกท่านเตรียมร่างกายและอุปกรณ์เพื่อรับกับสภาพอากาศให้พร้อม
  • แสงเหนือในช่วงฤดูหนาว ขึ้นอยู่กับสภาพเมฆที่ปกคลุมท้องฟ้า โดยสตาฟจะศึกษาพยากรณ์อากาศในแต่ละวันเพื่อหาจุดที่ดีที่สุดในระยะที่เราเดินทางถึงจากที่พักในค่ำคืนนั้น (พาทุกท่านออกล่าแสงเหนือทุกคืน ที่ฟ้าเปิด)
  • โรงแรมที่พักในบางเมืองที่ห่างไกลอาจจะไม่สะดวกหรือใหญ่โตเหมือนในเขตเมืองใหญ่
  • หากมีพายุหิมะ จะต้องรอจนถนนเคลียร์เรียบร้อยก่อน ซึ่งอาจจะได้ให้โปรแกรมขาดไปได้ (ประเมินตามหน้างาน)
  • ทัวร์ของเราเป็นลักษณะเหมาจ่าย การไม่ใช้ Service ใด Service หนึ่งไม่สามารถขอ Refund ได้ระหว่างการเดินทาง 
  • วีซ่า ทีมงานจะเตรียมเอกสารโดยสมบูรณ์ที่สุดหากแต่การพิจารณาขึ้นกับดุลยพินิจของสถานทูตเท่านั้น 
  • ประกันการเดินทางครอบคลุมถึงกรณีเจ็บป่วย กระเป๋าล่าช้า และต้องเดินทางฉุกเฉิน * ทั้งนี้การชดใช้ค่าเสียหายที่เกิดขึ้น ขึ้นกับดุลยพินิจของบริษัทประกัน โดยทางทีมงานมีหน้าที่อำนวยความสะดวกในการเตรียมเอกสารเพื่อเคลมประกัน ไม่สามารถก้าวล่วงการพิจารณาของประกันได้

 


– การยกเลิกทริปล่วงหน้า 90 วัน จะได้รับมัดจําคืนเต็มจํานวน ยกเว้นค่าใช้จ่ายที่ได้จ่ายไปตามจริงแล้ว เช่น ค่าเครื่องบิน ค่าจองโรงแรม
– กรณียกเลิกทริปล่วงหน้า 60 วัน จะหักมัดจํา 50%
– กรณียกเลิกทริปล่วงหน้า 45 วัน จะไม่สามารถคืนมัดจําได้
– กรณียกเลิกทริปล่วงหน้า 30 วัน ไม่สามารถคืนค่าทริปทั้งหมด
– กรณียกเลิกทริปเนื่องด้วยภัยธรรมชาติ ที่ทําให้ไม่สามารถเดินทางไปได้ ผู้จัดยินดีคืนเงินค่าทริปทั้งหมด หลังหัก ค่าใช้จ่าย เช่น ค่าตั๋วเครื่องบิน ค่าจอง รร เป็นต้น

ไปไหนมาดอทคอม • 089-4789334 • 02-045-3445 • Line : @painaima.com • painaima@gmail.com • ติดต่อเรา

ไปไหนมาดอทคอม • ติดต่อเรา

Categories
Europe

ทัวร์โดโลไมท์

ทัวร์โดโลไมท์

Highlight

Dolmite Grand

Dolmite + Cinque

Dolmite + Tuscany

Day : Bangkok – Milan 

  • นัดพบกันที่ สนามบินสุวรรณภูมิ  

Day : Milan – Bergarmo – Stelvio National park – Stelvio – Sulden 

  • ถึงเมืองมิลาน เดินทางสู่เมือง เบอร์กาโม (BERGAMO) เมืองในยุคกลางอีกครั้ง สถาปัตยกรรมที่ผสานระหว่างศิลปะยุคกลางและยุคเรเนสซองส์ไว้ด้วยกัน  
  •  ชมย่านเมืองเก่า Citta Alta” ซึ่งพื้นที่ส่วนใหญ่ของเมืองนั้นล้อมรอบด้วยกำแพงเมืองแบบเวนิส ที่สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 17  
  • ชมย่านจัตุรัสเก่า เปียสซ่า เว็คเคียร์ (Piazza Vecchia ,Old square) ซึ่งเป็นย่านใจกลางเมืองเก่าที่แวดล้อมไปด้วยเหล่าอาคารที่แสดงออกถึงการผสมผสานระหว่างสถาปัตยกรรมของยุคกลางและเรเนสซองส์ 
  • นำท่านเข้าชม มหาวิหารซานต้า มาเรีย มายอเร” (Santa Maria Maggiore) อีกหนึ่งมหาวิหารที่มีความโดดเด่นทางด้านสถาปัตยกรรม  สิ่งที่โดดเด่นของมหาวิหารก็คงจะเป็นรูปปั้นสิงโตคู่ ที่สร้างขึ้นเพื่อรองรับซุ้มประตูโค้งด้านหน้ามหาวิหาร 
  • ชื่นชมความมหัศจรรย์ของอุทยานแห่งชาติ Stelvio National park ก่อตั้งขึ้นในปี 2478 อุทยานนี้จะติดกับอุทยานแห่งชาติสวิสด้วย และเป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่านานาชนิดที่หายาก
  • ออกเดินทางสู่เมือง Stelvio โดยใช้เส้นทาง Stelvio Pass ลักษณะถนนจะคดโค้ง วกไปวนมาแวะถ่ายรูปบนจุดสูงสุดของ Pass ที่ความสูงประมาณ 2757 เมตร
  • จากนั้นนำท่านสู่ เมือง Sulden เป็นชุมชนเก่าแก่ขนาดกลางใจกลางเทือกเขาแอลป์ ล้อมรอบด้วยยอดเขาหิมะสูงชัน ทิวทัศน์ของเมืองก็งดงามน่าประทับใจ นับเป็นปลายแดนที่ชาวยุโรปนิยมขึ้นมาพักผ่อน 
  • คืนนี้เราจะพักกันที่เมือง Sulden 

Day : Sulden – Brixen – Val di Funnes – Santa Magdalena  Ortisei 

  • เดินทางไปเมืองบรีเซ่น (Brixen) เมืองที่เก่าแก่ที่สุดในแคว้น Tyrol มีเทือกเขา Dolomite เป็นฉากหลัง ความเป็นอยู่ของผู้คนที่นี่จึงอิงแอบกับธรรมชาติ  
  • ชมความมหัศจรรย์ของ Culture Landscape ซึ่งเป็นการผสมผสานกันได้อย่างลงตัวของธรรมชาติ โดยฉากหลังเป็นภูเขาอันยิ่งใหญ่ตระการตา เบื้องหน้าของเราเป็นหมู่บ้านสงบๆ Val di Funes พร้อมถ่ายรูป ณ จุดถ่ายรูปมุมพิเศษที่เราสรรหามาให้คุณ 
  • ไปยังจุดชมวิว Santa Magdalena อันเป็นเอกลักษณ์ ในยามอาทิตย์อัสดง แสงแดดทองละเลียดริมหน้าผา ฉากเบื้องหน้าเป็นโบสถ์และหมู่บ้านอันแสนสงบ 
  • เดินทางไปยังเมือง Ortisei 
  • นำท่านสู่  Val Gardena ซึ่งถือเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวที่อยู่ท่ามกลางหุบเขา โดยมีที่ตั้งอยู่ที่ความสูง 1236 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล ท่านสามารถเดินเล่นชมเมืองได้เล็กน้อย  
  • คืนนี้เราจะพักกันที่เมือง Ortisei 

Day : Ortisei – Secade – Alp de Suisi 

  • นำท่านขึ้นกระเช้าสู่ Secada ซึ่งเป็นจุดชมวิวที่ท่านจะได้เห็นกลุ่มภูเขา Sella group และ  Sussolungo เที่ยวถ่ายรูปกันจนอิ่ม  
  • พาท่านไปขึ้นกระเช้าอีกฝั่ง ชมวิว Alpe di Siusi เป็นอีกหนึ่งจุดชมวิวที่สามารถเห็นความยิ่งใหญ่อลังการของกลุ่มเขาใน Dolomite ได้  (option ไม่รวมค่ากระเช้าในทริป 
  • Urlaub Seis am Schlern หมู่บ้านเล็กๆแสนสวย ที่อยู่เชิงภูเขา Seiser Alm ในปัจจุบันที่เป็นจุดเริ่มต้นสำหรับการสำรวจทุ่งหญ้าขนาดใหญ่ที่สุดในยุโรปและกิจกรรม Adventure ต่างๆ  มีเทรลเดินศึกษาธรรมชาติและรีสอร์ทสวยๆแบบลักชัวรี่ 
  • คืนนี้เราจะพักกันที่เมือง Ortisei 

Day : Ortisei – Sella pass – Pass gardena – Pass Falzarego – Cortina  

  • ขับรถผ่าน Sella pass มีวิวทิวทัศน์ที่สวยงามไม่แพ้กัน เป็นหนึ่งในเส้นทางของภูเขาโดโลไมท์  
  • ผ่านเส้นทาง Passo Gardena (ปาสโซ่ การ์เดน่าหรือ Gardena Pass เป็นอีกหนึ่งเส้นทางคดเคี้ยวผ่านภูเขาในเส้นทางสาย Great Dolomite Road อีกหนึ่งสายที่งดงามอลังการ ด้วยทิวทัศน์ทุ่งหญ้าและภูเขาสูงใหญ่แห่งเทือกเขาโดโลไมท์   
  • เดินทางผ่าน Pass Falzarego ท่านจะได้เห็นวิวภูเขาใหญ่โตจนต้องแวะถ่ายรูปเลยทีเดียว 
  • จากนั้นจึงเดินทางกันต่อ มุ่งสู่เมือง Cortina d’ Ampezzo เป็นเมืองสกีรีสอร์ทที่อยู่ในตอนกลางของหุบเขาอัมเปซโซ ในทิวเขา Dolomites  อีกทั้งยังเป็นสถานที่ไว้ใช้จัดโอลิมปิกในฤดูหนาวอีกด้วย  
  • คืนนี้เราจะพักกันที่เมือง  Cortina  

Day : Cotina – Tri Cime – Misurina – Braies – Cortina 

  • ชม Tri Cime di Lavaredo ยอดภูเขาหินปูนสามลูกที่เรียงติดกัน ว่ากันว่าเป็นยอดเขาที่ดังและสวยที่สุดของ Dolomites ฝั่งตะวันออก 
  • ทะเลสาบ Misurina ณ เมืองเบลลูโน่ ซึ่งเป็นทะเลสาบที่มีความยาวถึง 2.6 กิโลเมตร ลึกกว่า เมตร แวดล้อมด้วยทัศนียภาพอันสวยงามและอากาศอันบริสุทธิ์
  • ชมความงามของ ทะเลสาบบรายเอียซ (Braies) เขตอุทยานแห่งชาติ FANES SENNES BRAIES ตามตำนานกล่าวว่าที่นี่เป็นที่อยู่อาศัยของยักษ์ ที่คอยคุ้มครองดูแลเหมืองทองคำใต้พิภพอีกด้วย  
  • คืนนี้เราจะพักกันที่เมือง  Cortina  

Day :  Cortina – Pass giau – Pordoi Karesee – Bolzano 

  • Giau Pass จุดชมวิวที่อยู่บน Mountain Pass สูงกว่า 2236 เมตร เห็นวิวรอบด้าน 360 องศา ภาพที่ถ่ายบ่อยมากเป็นมุมทางด้านทิศเหนือ เห็นทุ่งหญ้ากับภูเขารูปทรงสามเหลี่ยม
  • เราจะข้ามผ่าน Pordoi pass อยู่ระหว่าง กลุ่ม ella-Marmolada  ที่ยิ่งใหญ่ โดยมีระดับความสูงถึง 2239 เมตร 
  • ชม Lake of Karezza เป็นอีกหนึ่งจุดที่เป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยวและช่างภาพ เป็นภาพทะเลสาบและทิวต้นสนฉากหลังเป็นภูเขาหิมะอันสวยงาม
  • เดินทางต่อไปยังเมือง Bolzano เมืองชนบทที่เงียบสงบ ล้อมรอบด้วยแม่น้ำเป็นเมืองหลวงของภูมิภาคไทโรลใต้  
  • คืนนี้เราจะพักกันที่เมือง Bolzano 

Day : Bolzana – Duomo – Milan 

  • เดินเล่นชมเมือง วิวทิวเขาแปลกตารอบๆเมือง  ชมวิหาร Duomo โบสถ์ Chiesa dei Domenican และอนุสาวรีย์ที่จัตุรัสกลางเมือง Piazza delle Erbe แถบถนนคนเดิน Piazza Walther และย่านอาณาเขตโบลซาโน และสามารถช้อปปิ้งจุใจไปกับแฟชั่นต่างประเทศและสินค้าที่ระลึกท้องถิ่น 
  • เดินทางไปยังเมืองมิลาน ชมโบสถ์ Duomo แบบกอธิคที่ขึ้นชื่อว่ามีความสวยงามตระการตามากที่สุดในอิตาลี สร้างในปี ค..1386 มีรูปปั้นหินอ่อนจากทุกยุคทุกสมัย ด้านบนสุดมีรูปปั้นทองของ พระแม่มาดอนน่า 
  • คืนนี้เราจะพักกันที่เมือง Milan 

Day : Milan Airport 

  • เดินทางไปยังสนามบิน เดินทางกลับกรุงเทพฯ  

Day 10 : Bangkok 

  • ถึงกรุงเทพฯ โดยสวัสดิภาพ 

***รายการอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ตามความเหมาะสม*** 

Day 1 : Bangkok – Milan

  • พบกันที่สนามบินสุวรรณภูมิ เดินทางสู่เมืองมิลาน

Day 2 : Milan – Sirmione – Lake Garda – Bolzano – Canazei

  • ไปยังเมือง Sirmione เมืองอันเก่าแก่ที่มีอายุกว่า 2000 ปี มีลักษณะภูมิประเทศเป็นแหลมที่ยื่นออกไป ในทะเลสาบการ์ด้าซึ่งมีความยาวกว่า 55 กิโลเมตร เมืองนี้จึงถูกขนาบข้างด้วยทะเลสาบ ชมร่องรอยประวัติศาสตร์ ซากปรักหักพังของตึก และอาคารต่างๆ ตั้งแต่สมัยยุคโรมัน
  • เดินทางสู่เมือง Bolzano เป็นเมืองหลวงของภูมิภาค South Tyrol ประชากรส่วนใหญ่พูดภาษาเยอรมัน รองลงมาเป็น ภาษาอิตาลี เราสามารถรับประทานไส้กรอกเยอรมันแสนอร่อยและจิบกาแฟอิตาเลียนได้ที่เมืองนี้ แวะชมวิหาร Chiesa dei Domenican ย่านใจกลางเมือง และอนุสาวรีย์ที่จัตุรัสกลางเมือง Pizza delle Erbe พร้อมเดินเล่นแถบถนนคนเดิน Pizza Walther
  • เดินทางสู่ เมือง Canazei จุดเริ่มต้นสำหรับ ไปยัง Sella, Marmolada และ Sassolungo กลุ่ม Pordoi เราจะข้ามผ่าน pordoi pass อยู่ระหว่าง กลุ่ม ella-Marmolada  ที่ยิ่งใหญ่ โดยมีระดับความสูงถึง 2239 เมตร
  • คืนนี้เราจะพักกันที่เมือง Ortisei

Day 3 : Val Gardena – Val di Funes – Santa Magdalena – Lake Braies – Lake Misurina – Cortina d’ Ampezzo

  • เส้นทาง Passo Gardena (ปาสโซ่ การ์เดน่า) หรือ Gardena Pass เป็นอีกหนึ่งเส้นทางคดเคี้ยวผ่านภูเขาในเส้นทางสาย Great Dolomite Road อีกหนึ่งสายที่งดงามอลังการ ด้วยทิวทัศน์ทุ่งหญ้าและภูเขาสูงใหญ่แห่งเทือกเขาโดโลไมท์ ตั้งแต่ช่วงฤดูใบไม้ผลิไปจนถึงปลายฤดูร้อนเส้นทางเส้นนี้จัดได้ว่าเป็นเส้นทางยอดนิยมของนักปั่นจักรยาน นักขี่มอเตอร์ไซค์ Big Bike และนักเดินเขาเป็นอย่างมาก
  • ชมวิว Santa Magdalena อันเป็นเอกลักษณ์ของ Dolomite แสงแดดทองละเลียดริมหน้าผา ฉากเบื้องหน้าเป็นโบสถ์และหมู่บ้านอันแสนสงบ ปล่อยกายปล่อยใจไปกับช่วงเวลาแสนพิเศษนี้
  • ชมความมหัศจรรย์ของ Culture Landscape ซึ่งเป็นการผสมผสานกันได้อย่างลงตัวของธรรมชาติ โดยฉากหลังเป็นภูเขาอันยิ่งใหญ่ตระการตา เบื้องหน้าของเราเป็นหมู่บ้านสงบๆ Val di Funes พร้อมถ่ายรูป ณ จุดถ่ายรูปมุมพิเศษที่เราสรรหามาให้คุณ
  • ชมความงามของ ทะเลสาบบรายเอียซ (Braies) เขตอุทยานแห่งชาติ FANES SENNES BRAIES ตามตำนานกล่าวว่าที่นี่เป็นที่อยู่อาศัยของยักษ์ ที่คอยคุ้มครองดูแลเหมืองทองคำใต้พิภพอีกด้วย
  • เยี่ยมชม ทะเลสาบ Misurina ณ เมืองเบลลูโน่ ซึ่งเป็นทะเลสาบที่มีความยาวถึง 6 กิโลเมตร ลึกกว่า 5 เมตร แวดล้อมด้วยทัศนียภาพอันสวยงามและอากาศอันบริสุทธิ์ให้ทุกท่านได้สัมผัส สูดลมหายใจลึกๆ พร้อมชมความงามของทะเลสาบอันกว้างใหญ่ไพศาล กระแสน้ำที่ใสสะอาด เป็นเงาสะท้อนเห็นวิวภูเขาลดหลั่นไปมาอย่างน่าอัศจรรย์  มีฉากหน้าเป็นโรงแรมสีเหลืองตัดกับท้องฟ้าสีครามสวยงามจับใจ
  • มุ่งสู่เมือง Cortina d’ Ampezzo เป็นเมืองสกีรีสอร์ทที่อยู่ในตอนกลางของหุบเขาอัมเปซโซ ในทิวเขา Dolomites อีกทั้งยังเป็นสถานที่ไว้ใช้จัดโอลิมปิกในฤดูหนาวอีกด้วย
  • คืนนี้เราจะพักกันที่เมือง ortisie

Day 4 : Great Dolomite Road – Passo Pordoi – Passo Falzarego – Verona

  • นำชมเส้นทาง Great Dolomite Road บนเส้นทางสายมหัศจรรย์แห่งนี้ คุณจะทึ่งในความยิ่งใหญ่ตระการตาของขุนเขาอีกครั้ง ค่อยๆ ซึมซับบรรยากาศที่หาไม่ได้ที่ไหนอีกแล้วในโลกนี้
  • ชมสองจุดสำคัญคือ Passo Pordoi และ Passo Falzarego แวะถ่ายรูปกับถนนงูเลื้อย ซึ่งเป็น 1 ใน 7 pass ของการแข่งขัน จักรยานในอิตาลีอันยิ่งใหญ่เที่ยบเท่า Tour de France
  • เมือง Verona เมืองแห่งตำนานรักของโรมิโอจูเรียต ใหญ่เป็นอันดับ 2 รองจากเวนิส แต่มีความโรแมนติคที่ไม่แพ้กันเลย ทั้งทางด้านศิลปะ วัฒนธรรม โรงละคร งานจัดแสดงต่างๆ และที่โด่งดังเป็นที่รู้จักกันดีเลยนั่นคือ เรื่องราวความรักระหว่างหนุ่มสาว โรมีโอจูเลียต ที่ถูกนำมาเรียงร้อยเรื่องราว
  • คืนนี้เราจะพักกันที่เมือง Verona

Day 5 : Tuscany – San Gimignano

  • เยี่ยมชม San Gimignano เมืองเล็กๆ ที่มีทิวทัศน์งดงามที่สุดในแคว้นทัสคานี ตั้งอยู่บนเนินเขาที่ล้อมรอบด้วยกำแพงเมืองโบราณ เป็นเมืองแห่งสุดยอดสถาปัตยกรรมยุคกลาง เป็นเมืองเดียวในอิตาลีที่สามารถอนุรักษ์สิ่งก่อสร้างและสถาปัตยกรรมยุคกลางไว้ได้อย่างครบถ้วน จนได้รับการประกาศเป็นเมืองมรดกโลกโดย UNESCO
  • คืนนี้เราจะพักกันที่เมือง Montalcino

Day 6 : Sant’ Antimo – Siena – Duomo – Pienza-San Quirico d’Orcia – Bagno Vignoni – Montalcino

  • โบสถ์ซานต์ อานติโม (Sant’ Antimo) ได้เวลาพาทุกท่านเข้าสู่ เมืองเซียน่า (SIENA) แคว้นทัสคานี ที่มีชื่อเสียงอย่างยิ่งในสมัยช่วงยุคกลางของประเทศอิตาลี เซียน่า ซึ่งเป็นเมืองคู่แข่งสำคัญของฟลอเรนซ์ในอดีต แต่ตอนหลังถูกยึดรวมเข้าเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรฟลอเรนซ์ เป็นเมือง UNESCO อีกเมืองหนึ่งของแคว้นทัสคานี่
  • ชมวิหารดูโอโม ซึ่งเป็นโบสถ์เก่าแก่ในสถาปัตยกรรมแบบโกธิกที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศ มีความงดงามทั้งภายนอกโบสถ์และภายในโบสถ์ที่ออกแบบได้อย่างวิจิตร เพราะถูกตกแต่งด้วยหินอ่อนภายใต้ศิลปะแบบเซียน่า
  • ชม จัตุรัสกลางเมือง ที่มีศาลาว่าการกลางสไตล์โกธิคตั้งตระหง่านอยู่จนเป็นสัญลักษณ์ของเมืองนี้
  • เมือง Pienza และ San Quirico d’Orcia เนินหญ้าที่สวยงามตลอดข้างทาง ถือได้ว่าเป็นทิวทัศน์ในแบบฉบับแคว้นทัสคานีแท้ๆ
  • แวะชมเมือง Bagno Vignoni เมืองแห่งน้ำพุร้อนและสปาโบราณที่มีมาตั้งแต่สมัยยุคกลาง ที่นี่เป็นจุดแวะพักสำหรับผู้แสวงบุญก่อนที่จะเดินทางไปยังกรุงโรม
  • Montalcino เมืองน่ารักๆ ที่มีชื่อเสียงอย่างมากในเรื่องไวน์
  • คืนนี้เราจะพักกันที่เมือง Montalcino

Day 7 :  Pisa – Cinque Terre

  • ชม หอเอนปิซ่า 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลก “หอเอนเมืองปิซ่า” หอระฆังของศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิคสร้างด้วยหินอ่อนสีขาว สูง 8 ชั้น อดีตเป็นที่ตั้งของศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก
  • เดินทางสู่เมือง La spezia จากนั้นพาท่านนั่งรถไฟท้องถิ่น เลียบชายฝั่งของหมู่บ้าน Cinque Terre ที่มีความหมายว่า 5 แผ่นดิน เป็นหมู่บ้านเล็กๆ มีหลักฐานการตั้งถิ่นฐานย้อนกลับไปถึงศรตวรรษที่ 11 โดยมี VERNAZZA และ MANAROLA เป็นสองหมู่บ้านแรกก่อนหมู่บ้านอื่นๆจะเติบโตตามมา หมู่บ้านเหล่านี้ได้เสื่อมโทรมลงในศตวรรษที่ 16 เมื่อมีการสร้างทางรถไฟเชื่อมต่อจาก La spezia ผ่านหมู่บ้านเหล่านี้ คนในหมู่บ้านนี้จึงได้อพยพย้ายถิ่นฐานออกไปจากที่นี่ จนกระทั้งการท่องเที่ยวกลับมาสร้างความคึกคักอีกครั้งในช่วงปี 1970 เมืองมรดกโลกแห่งนี้ประกอบด้วยหมู่บ้านทั้งหมด 5 แห่ง Monterosso al Mare , Vernazza , Corniglia , Manarola และ Riomaggiore
  • MANAROLA เป็นเมืองที่เก่าแก่ที่สุดของเมืองใน Cinque Terre เริ่มต้นตั้งแต่ปี 1338 ภาษาถิ่นคือ Manaroles ซึ่งแตกต่างจากภาษาถิ่นในพื้นที่ใกล้เคียง ชื่อ “Manarola” มีรากจากภาษาลาติน แปลว่า “ล้อใหญ่” ซึ่งหมายถึงล้อกังหันในเมืองอุตสาหกรรมหลักของมานาโรลาเป็นอุตสาหกรรมดั้งเดิมคือการประมงและทำไวน์ ไวน์ท้องถิ่นในชื่อ Sciacchetrà มีชื่อเสียงเป็นพิเศษ
  • VERNAZZA มีการกล่าวถึงย้อนไปถึงปี 1080 อ้างถึงฐานทัพเรือของชาวท้องถิ่นที่เป็นจุดยุทธศาสตร์ในการป้องกันโจรสลัด ปัจจุบันที่นี่กลายเป้นแหล่งท่่องเที่ยวสำคัญรวมถึงอุตสาหกรรมการผลิตไวน์ที่มีชื่อเสียง
  • คืนนี้เราจะพักกันที่เมือง La spezia

Day 8 : Portofino – Divo Martino – Serravalle Outlet

  • เดินทางสู่ เมืองปอร์โตฟิโน่ (PORTOFINO) หมู่บ้านประมงเล็กๆ ในอิตาลีที่น่าเที่ยวชมอีกแห่งหนึ่ง โดยหมู่บ้านแห่งนี้ ยังถือเป็นรีสอร์ทเมืองสวรรค์สำหรับนักท่องเที่ยวในเมืองเจนัวอีกด้วย
  • อ่าวเรือยอร์ช (YATCH) ที่จอดเรียงรายอย่างเป็นระเบียบ ความสวยงามของที่นี่นั้นถึงกับทำให้บริษัทในเครือวอลท์ดิสนีย์ (WALT DISNEY) ต้องขอจำลองไปไว้ที่สวนสนุกดิสนีย์ซี (DISNEYSEA) ในประเทศญี่ปุ่นเลยทีเดียว เยี่ยมชม โบสถ์เซนต์มาร์ติน (DIVO MARTINO) สร้างตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 11
  • Serravalle Outlet แวะช้อปปิ้งสินค้าแบรนเนมราคาถูก จากนั้นเดินทางเข้าสู่ Milan เมืองสำคัญของประเทศอิตาลี มีชื่อเสียงในด้านแฟชั่นและศิลปะ โดยถูกจัดให้เป็นเมืองแฟชั่นในระดับเดียวกับ นิวยอร์ค ปารีส ลอนดอน และ โรม
  • คืนนี้เราจะพักกันที่เมือง Milan

Day 9 : Duomo – Milan Airport

  • ชมดูโอโม จากนั้นมุ่งหน้าสู่สนามบิน เป็นมหาวิหารประจำเมืองสร้างในสถาปัตยกรรมแบบโกธิก เป็นมหาวิหารที่ใหญ่เป็นอับดับสองรองจากมหาวิหารเซนต์ปีเตอร์ในกรุงวาติกัน
  • เตรียมตัวเดินทางไปยังสนามบิน เดินทางกลับกรุงเทพฯ โดยสายการบินไทย เที่ยวบินที่ TG941 เวลา 05 น.

Day 10 : Bangkok

  • เดินทางถึงประเทศไทยโดยสวัสดิภาพ

89,000

ไปไหนมาดอทคอม • 089-4789334 • 02-045-3445 • Line : @painaima.com • painaima@gmail.com • ติดต่อเรา

ไปไหนมาดอทคอม • ติดต่อเรา

Categories
Europe Northernlight

ทัวร์โลโฟเทน นอร์เวย์

ทัวร์โลโฟเทน

Highlight

  • เที่ยวครบทุกจุดไฮไลท์
    • Reine / Hamnoy / Henningsvear / Nusfjord /  Fredvang / หาด Uttakleiv / Ramburg / หมู่บ้าน A / และจุดชมวิวใหม่ๆ
  • แวะถ่ายรูปทุกจุดที่อยากจอด
  • ออกล่าแสงเหนือ ทุกคืนที่ท้องฟ้าเปิด (ก.ย. – เม.ย.)
  • พัก โรบูเออ บ้านสไตล์โลโฟเทน
  • แวะเซนจ้า มุมมองใหม่แห่ง Nord Norway
  • ชมหมู่บ้านชาวซามี
  • ดูกวางเรนเดียร์

Day 1 : Bangkok

  • พบกันที่สนามบินสุวรรณภูมิ

Day 2 : Oslo – Leknes – Haukland Beach – Uttakleiv Beach  Hamnoy

  • ถึง Oslo จากนั้นนำท่านต่อเครื่อง ไปยังเมือง Leknes โดยสายการบินในประเทศ
  • ชมหาด Haukland Beach เป็นอีกหาดยอดนิยม เป็นทั้งจุดถ่ายแสงเหนือ จุดถ่าย Seascape และเป็นจุดเริ่มต้นในการเดินเขา
  • ชมหาด Uttakleiv Beach ซึ่งเป็นหาดที่มีชื่อเสียงที่สุดใน Lofoten เป็นหาดที่มีโขดหินน้อยใหญ่เรียงรายเป็นรูปร่างต่างๆ
  • ชม Hamnoy ซึ่งมีอาชีพหลักๆ คือ การเลี้ยงปลาแซลมอนและปลาคอดในฟาร์ม เดิมจะเชื่อมกับหมู่บ้าน Reine โดยเรือข้ามฟาก แต่ปัจจุบันมีสะพานเป็นทางเชื่อม บนเส้นทาง E10
  • เข้าที่พัก หมู่บ้าน Hamnoy

Day 3 : Reine – Sakrisøy – Å village – Fishing village

  • หมู่บ้าน Reine หมู่บ้านชาวประมงที่เก่าแก่ที่สุดของประเทศนอร์เวย์
  • ชม Sakrisøy หมู่บ้านชาวประมงเล็กๆ ที่มีบ้านสีสันแตกต่างจากหมู่บ้านอื่น
  • ชมเมือง Å เมืองที่อยู่ปลายสุดของถนนสาย E10 ซึ่งเป็นหมู่บ้านชาวประมงนอร์เวย์
  • เข้าชม Norwegian Fisherman Village สัมผัสวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของชาวประมงที่อาศัยอยู่บนหมู่เกาะลอฟโฟเทน ที่มีประวัติความเป็นมายาวนานกว่า 250 ปี
  • พักกันที่บ้านชาวประมงริมน้ำในหมู่บ้าน Reine

Day 4 : Fredvang – Eggum – Nusfjord

  • เดินทางสู่หมู่บ้าน Fredvang ชมสะพาน Fredvang ที่มีลักษณะเฉพาะตัวของนอร์เวย์ และชมหาด Sandbotnen
  • จากนั้นนำท่านเดินทางสู่ EGGUM ป้อมปราการขนาดใหญ่และซากปรักหักพังตั้งแต่สมัยสงครามโลก
  • หมู่บ้านนุสฟยอร์ด (Nusfjord) เป็นหมู่บ้านชาวประมงเก่าแก่ที่มีชื่อเดียวกับฟยอร์ดอันงดงาม
  • คีนนี้เราจะพักกันที่เมือง Svolvaer

Day 5 : Svolvaer – Henningsvaer – Kabelvag – Narvik

  • ชม Henningsvaer เป็นเมืองท่าและหมู่บ้านชาวประมงที่ปัจจุบันชาวบ้านยังคงประมงกันอย่างคึกคัก
  • ชมเมือง Kabelvag ซึ่งเป็นหมู่บ้านชาวประมงเก่าแก่อีกที่หนึ่ง พาท่านเดินเล่นรอบเมือง
  • คืนนี้เราจะพักกันที่เมือง Narvik

Day 6 : Narvik – Senja – Gryllefjord Fishing Village

  • เดินทางสู่ Senja (ประมาณ 3 ชม) ซึ่งเป็นเกาะที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับสองของประเทศนอร์เวย์
  • ชมจุดชมวิวเมดฟยอร์ดโบทน์ (Medfjordbotn) ของเส้นทางธรรมชาติอันรายล้อมไปด้วยขุนเขากับฟยอร์ด
  • จากนั้นนำเดินทางต่อไป ตุงเกอเนสเซท (Tungeneset) อีกหนึ่งจุดชมวิวที่เป็นทางเดินเรียบชายทะเลพร้อมวิว ของเทือกเขาโอคชอร์นัน (Okshornan)
  • เดินทางสู่ เบิร์กโบทน์ (Bergsbotn) จุดชมวิวที่เป็นสะพานไม้ยาว 44 เมตร รายล้อมด้วยขุนเขาและสามารถชมวิวของเบิร์กฟยอร์ด (Bergsfjord) ที่อยู่เบื้องล่างแบบพาโนรามา
  • แวะชม หมู่บ้านชาวประมงกริลล์ฟยอร์ด (Gryllefjord Fishing Village) ซึ่งมีประชากรอยู่ราวๆ 400 คน
  • เดินทางต่อสู่ อ่าวแฮมน์ไอเซนญา (Hamn I Senja) ซึ่งตั้งอยู่บริเวณชายฝั่งตะวันตกของเกาะเซนญาความงามของธรรมชาติและแสงเหนือ
  • คืนนี้พักที่ Senja*หากอากาศเปิดพาออกล่าแสงเหนือ

Day 7 : Senja – Arctic Cathedral – Storsteinen mountain

  • ไปยัง เมืองทรอมโซ (TROMSO) เมืองท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงของนอร์เวย์ อีกทั้งยังเป็นเมืองใหญ่ที่สุด ในเขตอาร์คติกเซอร์เคิลอีกด้วย
  • ชมมหาวิหารทรอมโซ (Tromso Cathedral) มหาวิหารไม้ที่ตั้งอยู่ในย่านใจกลางเมือง ที่ได้รับการยอมรับว่ามีความเก่าแก่ที่สุด
  • นั่งเคเบิ้ลคาร์สู่ ยอดเขาสโตรสไตเนิน เป็นยอดเขาสูง
  • ชม มหาวิหารอาร์คติก (ARCTIC CATHEDRAL) มหาวิหารที่สร้างขึ้นในรูปแบบสถาปัตยกรรมสมัยใหม่ สร้างขึ้นในปี 1965 มีภาพประดับกระจกใหญ่ที่สุดในยุโรป
  • จากนั้นอิสระให้ท่านเดินเล่นชมเมือง ทรอมโซตามอัธยาศัย
  • คืนนี้เราจะพักกันที่เมือง Tromso

Day 8 : Sami village – Reindeer Farm

  • ไปยัง หมู่บ้านชาวซามิ (SAMI VILLAGE) ชาวพื้นเมืองที่อาศัยอยู่บริเวณ เมืองทรอม
  • เดินทางสู่ ฟาร์มกวางเรนเดียร์ (REINDEER FARM) ยานพาหนะของซานตาครอส โดยท่านสามารถสัมผัส ให้อาหาร และถ่ายรูปกับกวางเรนเดียร์ได้อย่างใกล้ชิด
  • คืนนี้เราจะพักกันที่เมือง Tromso

Day 9 : Day 9 Tromso – Oslo

  • นำท่านเดินทางไปยังสนามบิน เพื่อเดินทางกลับออสโล โดยสายการบิน ในประเทศ
  • เดินทางกลับกรุงเทพมหานคร

Day 10 : Day 10 Arrive Bangkok

  • เดินทางถึงกรุงเทพฯ โดยสวัสดิภาพและความประทับใจ

99,000

ไปไหนมาดอทคอม • 089-4789334 • 02-045-3445 • Line : @painaima.com • painaima@gmail.com • ติดต่อเรา

ไปไหนมาดอทคอม • ติดต่อเรา

Categories
Europe

ทัวร์ออสเตรีย เชค

ทัวร์ออสเตรีย

Highlight

Day 1 : Bangkok – Munich

  • นัดพบที่สนามบินสุวรรณภูมิ

Day 2 : Munich – Salzburg – Salzach -Staatsbrucke – Alter Market – Residenzplatz – Hohensalzburg Fortress

  • เดินทางถึงกรุงมิวนิค จากนั้น รับสัมภาระแล้วเดินทางสู่ Salzburg
  • แวะชม สวนมิราเบล อันเป็นวังฤดูร้อนตั้งอยู่ริมแม่น้ำซาล
  • เดินเลียบ แม่น้ำ Salzach
  • สะพาน Staatsbrucke ที่มีกุญแจคู่รักคล้องอยู่เต็มราวสะพาน
  • พาทุกท่านช้อปปิ้งเบาๆเพลินๆ ที่ ตลาดเก่า Alter
  • จากนั้นนั่งรถรางสู่ ป้อมปราการโบราณ Hohensalzburg Fortress ที่ถูกสร้างขึ้นมากว่า 1000
  • คืนนี้เข้าที่พักที่ Salzburg

Day 3 : Hallstatt – Hallstatt Salt Mine

  • เดินทางสู่เมือง Hallstatt แวะถ่ายรูปกับทะเลสาบ Mond see
  • นำทุกท่านสู่จุดชมวิวมุมสูงด้วย Cable Car
  • ชม Hallstatt Salt Mine ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกจาก UNESCO
  • อิสระเดินชมหมู่บ้าน มีมุมถ่ายรูปต่างๆมากมายให้ได้ครีเอทและเก็บเป็นที่ระลึก
  • นำทุกท่านเข้าสู่ที่พัก Hallstatt

Day 4 : Hallstatt – Krumlov

  • แวะถ่ายรูปกับเขตเมืองเล็กๆ ที่ชื่อว่า Traunkirchen และทะเลสาบ Traunsee
  • เดินทางถึง เชสกี้ ครุมลอฟ ซึ่งถือเป็นเมืองมรดกโลกอันเก่าแก่ จนกระทั่ง ในปี 1992 UNESCO จึงยกให้เป็นเมืองมรดกโลก
  • ชมวิวเมืองจาก หอคอยชมเมือง บนหอคอยที่สูงที่สุดอันดับสองของประเทศ ซึ่งถือเป็นจุดชมวิวที่จะได้ภาพเมืองตุ๊กตาหลังคาสีส้ม ที่เคยได้เห็นตาม Postcard
  • ชม ปราสาทครุมลอฟ ที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับสองรองจากปราสาทปราก ซึ่งได้ชื่อว่าเป็น ไข่มุกเม็ดงามแห่งโบฮีเมียให้ทุกท่านได้ชมความงามกันอย่างเต็มตา
  • เดินชมเมืองเก่า เมืองที่น่ารักที่สุดแห่งหนึ่งในโลก
  • เดินทางสู่มิวนิค
  • คืนนี้พักที่เมือง ครุมลอฟ

Day 5 : Krumlov – Prague  – St. Vitus – Lesser Town

  • เก็บตกสำหรับเมืองแห่งนี้กันอีกสักหน่อยก่อนเดินทางต่อสู่ Prague
  • ปราสาทแห่งปราก (Prague Castle)
  • มหาวิหาร Vitus สถาปัตยกรรมแบบโกธิค
  • พระราชวังหลวง (Royal Palace) ที่เป็นหนึ่งในส่วนที่เก่าแก่ที่สุดของปราสาทใช้เป็นที่ประทับของเจ้าชายโบฮีเมียนทั้งหลาย
  • ย่านช่างทองโบราณ (Golden Lane) ถนนเล็กๆ ที่ในอดีตเป็นที่อยู่ของนักเขียนและศิลปินระดับเทพของชาวเช็ก
  • พาชม จุดชมวิว 3 สะพาน มุม Unseen ที่มองเห็นสะพานข้ามแม่น้ำวัลตาวา
  • คีนนี้พักผ่อนกันที่ปราก

Day 6 : Charles Bridge – Old Town – Town Hall Clock Telc – Melk

  • พาไป สะพานชาร์ลส์ อันสวยงามและมีชื่อเสียง
  • เดินเล่นย่าน Lesser Town ที่มีบรรยากาศของเมืองเก่าคลาสสิกและนิยมใช้เป็นฉากถ่ายทำภาพยนตร์
  • ชม เมืองเก่า “โอลด์ทาวน์” ตามรอยเส้นทางพระราชดำเนินของเจ้าผู้ครองกรุงปรากในอดีตซึ่งมีจตุรัสเมืองเก่าอยู่ใจกลางเมือง
  • ชม หอนาฬิกาดาราศาสตร์ อันเก่าแก่ที่มีอายุหลายร้อยปี
  • ชม Church of St.Nicholas และ Church of Our Ladybefore Tyn และชมตึกแถวอาคารโบราณ สีหวานสไตล์ร็อคโคโค
  • จากนั้นไปชมวิวสูงของโอลด์ทาว์นบนหอคอย
  • เดินทางสู่ เมือง Telc เมืองมรดกโลกอีกแห่งของประเทศเช็ก
  • เดินทางต่อสู่ เมือง Melk
  • คืนนี้จะพักที่เมือง Melk

Day 7 : Melk – Vienna

  • ชม วิหารสตีฟท์เมลค์ (Stift Melk) ที่ตั้งอยู่บนชะง่อนผาริมแม่น้ำดานูป
  • ไป กรินซิ่ง Grinzing หมู่บ้านประวัติศาสตร์ ที่ตั้งอยู่ท่ามกลางไร่องุ่นในหุบเขาติดกับป่า
  • เดินทางกลับโดยรถรางในเส้นทาง Old ring road ผ่าน พระราชวัง Hofburg รัฐสภาและศาลาว่าการกลางเมือง
  • คืนนี้พักผ่อนกันที่เวียนนา

Day 8 : Vienna

  • เยี่ยมชม พระราชวังเชินบรุน ซึ่งเป็นพระราชวังฤดูร้อนของราชวงศ์ฮับส์บูร์ก
  • จากนั้นพาทุกท่านเยี่ยมชม โบสถ์ Karlskircheซึ่งเป็นโบสถ์สุดสวยสไตล์ไบเซนไทน์และบารอก
  • พระราชวัง พิพิธภัณฑ์เวียนนา โรงโอเปร่า โรงแรมซ่าเค่อร์ Sacher Hotel (เจ้าของเค้กช็อคโกแล็ต Sachertorte ชื่อดังที่เป็นหนึ่งในตำนานของเวียนนาที่ใครมาเวียนนาต้องลิ้มลอง)
  • เดินเล่นในสวนสตัดปาร์ค แวะทักทายโยฮันน์ สเตราสส์ คีตกวีเอกชาวออสเตรียผู้ประพันธ์เพลงวอลท์อันโด่งดัง
  • เดินชมความหรูหราของร้านค้าสองฟาก ถนน Karntnerstrasse
  • ชม Stephan Cathedral วิหารโรมันคาทอลิกตั้งอยู่ใจกลางกรุงเวียนนา
  • เดินเข้า ย่านGraben อิสระชอปปิ้งตามอัทธยาศัย
  • คืนนี้พักผ่อนกันที่เวียนนา

Day 9 : Hundertwasserhaus  – Vienna Airport

  • ชมกลุ่มบ้านสีสันสดใส ที่ Hundertwasserhaus ออกแบบโดยสถาปนิกผู้รังเกียจเส้นตรง Hundertwasser’s Strange Architecture
  • ออกเดินทางสู่สนามบิน เตรียมตัวเดินทางกลับประเทศไทย

Day 10 : Bangkok

  • ถึงกรุงเทพมหานคร โดยสวัสดิภาพ

89,000

ไปไหนมาดอทคอม • 089-4789334 • 02-045-3445 • Line : @painaima.com • painaima@gmail.com • ติดต่อเรา

ไปไหนมาดอทคอม • ติดต่อเรา

Categories
Europe

ทัวร์เยอรมัน ฝรั่งเศส ออสเตรีย

ทัวร์เยอรมัน ฝรั่งเศส ออสเตรีย

Highlight

Day 1 : Bangkok – Munich

  • นัดพบที่สนามบินสุวรรณภูมิ ทีมงานอำนวนความสะดวก เช็คอินสายการบินไทย เที่ยวบิน TG924 เส้นทางกรุงเทพ-มิวนิค เที่ยวเวลา 00.50 (ของวันถัดไป)

Day 2 : Munich – Rothenburg ob der Tauber – Market Square – Town Hall Tower

  • เดินทางถึง มิวนิค ผ่านการตรวจคนเข้าเมือง รับสัมภาระแล้วออกเดินทางสู่ เมือง Rothenburg (3 ชั่วโมง) ที่ตั้งอยู่บนเส้นทางสายโรแมนติก มีย่านเมืองเก่าอยู่ภายในกำแพงเมืองโบราณ ที่กำแพงที่ล้อมรอบเมืองเก่าจะเชื่อมต่อถึงกันหมดทุกด้าน โรเธนเบิร์ก เมืองโบราณจากยุคกลางแห่งแคว้นบาวาเรีย ยังคงรูปแบบที่สวยงามและสมบูรณ์ถึงปัจจุบัน กำแพงที่ล้อมรอบเมืองในสภาพสมบูรณ์ อาคารสถาปัตยกรรมแบบโกธิค และเรอเนสซองส์ เรียงรายเต็มเมือง บ้านเรือนที่สร้างในแบบเยอรมันดั้งเดิมเอาไว้ตั้งแต่โบราณ
  • ถ่ายรูปกับ Plonlein เพลินไลน์ จุดที่นักท่องเที่ยวมาถ่ายรูปมากที่สุดจุดหนึ่งในเยอรมัน และกลายเป็นสัญลักษณ์ของเมือง Rothenburg ob der Tauber
  • พาทุกท่านเดินเล่นที่ Markplatz ที่ถือว่าเป็นศูนย์กลางของเมืองแห่งนี้ เป็นที่ตั้งของศาลาว่าการเมืองจำนวน 2 หลังติดกัน ที่ตอนนี้ได้กลายเป็นพิพิธภัณธ์ประวัติศาสตร์ รอบๆ ตลาด ท่านจะได้พบกับ Town Hall Tower ที่นี่ถือว่าเป็นจุดชมวิวและถ่ายภาพที่ดีที่สุดเลยทีเดียว Town Hall แห่งนี้มีการก่อสร้างโดยใช้ศิลปะแบบผสมผสาน คือ สไตล์เรอเนสซองและโกธิคนั่นเอง นอกจากนั้นแล้วยังมีร้านค้าและร้านกาแฟให้ทุกท่านได้ช้อปปิ้งของพื้นเมือง
  • คืนนี้พักที่ Rothenburg ob der Tauber

Day 3 : Heidelberg – Church of the Holy Spirit [Text Wrapping Break]Heidelberg Castle  – Colmar

  • เดินทางไปยัง เมือง Heidelberg ซึ่งเป็นเมืองที่มีอาคารเก่าแก่ สร้างขึ้นมาตั้งแต่สมัยเรอเนสซองหรือยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาการ นอกจากนี้ยังเป็นที่ตั้งของมหาวิทยาลัยไฮเดลเบิร์ก ซึ่งถือว่าเป็นมหาวิทยาลัยที่เก่าแก่เป็นอันดับ 2 ในยุโรปเลยทีเดียว ไฮไลท์ประจำเมืองนี้คือตลาดในเขตเมืองเก่า โดยรอบๆ ตลาดแห่งนี้จะมีโบสถ์ Church of the Holy Spirit ซึ่งเป็นโบสถ์ที่นักท่องเที่ยวต้องไปเยือนกันทุกราย ตัวโบสถ์นั้นถูกล้อมรอบด้วยน้ำพุและร้านคาเฟ่ นอกจากโบสถ์แห่งนี้แล้วอีกสิ่งหนึ่งที่พลาดไม่ได้เลยคือ ปราสาทไฮเดลเบิร์ก ปราสาทสไตล์โกธิคผสมเรอเนสซองที่มีความเก่าแก่มากเพราะสร้างมาตั้งแต่เมื่อปี 1,300 นั่นเอง
  • เดินทางเข้าสู่ เมือง Colmar เมืองหลวงของจังหวัดโอ-แร็งในแคว้นอาลซัสในประเทศฝรั่งเศส เมืองกอลมาร์ตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของฝรั่งเศส เมืองกอลมาร์ตั้งอยู่บน “เส้นทางไวน์ของอาลซัส” และได้ชื่อว่าเป็น “capitale des vins d’Alsace” (เมืองหลวงแห่งไวน์แห่งอาลซัส)
  • คืนนี้พักที่ Colmar

Day 4 : Riquewihr – Colmar

  • ชม เมืองเล็กๆที่มีชื่อว่า Riquewihr เป็นเมืองที่องค์การยูเนสโกยกย่องให้เป็นมรดกโลก และเป็นเมืองที่มีชื่อเสียงโด่งดังในการผลิตไวน์อีกด้วย ลักษณะของบ้านเรือนจะมีความคล้ายคลึงกับเมือง Colmar แต่ได้รับการยกย่องว่ามีความสวยงามไม่แพ้กัน
  • เดินชม เมือง Colmar ซึ่งได้รับการขนานนามว่า ลิตเติ้ลเวนิช เนื่องจากเป็นเมืองที่มีคลองเล็กๆ คั่นกลางเอาไว้ บ้านเรือนภายในเมืองนี้ถูกปลูกสร้างในแบบอนุรักษ์ที่เรียกกันว่า Timber Frame ซึ่งมีการสร้างบ้านเรือนแบบนี้มาตั้งแต่สมัยเรอเนสซองแล้ว นับว่าเป็นสถานที่ที่มีความเก่าแก่ที่สุดในเมือง Colmar ด้วย
  • คืนนี้พักที่ Colmar

Day 5 : Freiburg – Freiburg Muenster – Konviktstrasse – Stein am Rhein – Fresco – Fussen

  • เดินทางข้ามพรมแดนสู่เขตประเทศสวิตเซอแลนด์ แวะชมน้ำตก Rhine Fall เป็นน้ำตกขนาดใหญ่ที่สุดของทวีปยุโรป ตั้งอยู่บนแม่น้ำไรน์บริเวณทางเหนือของนครซือริช บริเวณพรมแดนระหว่างรัฐชัฟเฮาเซินกับรัฐซือริชในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ น้ำตกแห่งนี้มีความกว้าง 150 เมตรและสูง 23 เมตร
  • ชมเมือง Stein am Rhein เป็นเมืองเล็กๆ ที่ได้รับการอนุรักษ์ให้อยู่ในสภาพเดิมทั้งรูปแบบของบ้านและตัวโครงสร้าง บ้านเรือนเก่าแก่ภายในเมืองแห่งนี้จะมีภาพวาดสีน้ำปูนเปียก หรือ เฟรสโก้ (Fresco) ที่เจ้าของบ้านแต่ละหลังจ้างช่างฝีมือมาวาดเรื่องราวเกี่ยวกับตระกูลของตนเอง
  • เดินทางสู่เมือง Fussen หรือเมืองสีลูกกวาด เป็นเมืองเก่าแก่ที่มีมาตั้งแต่ยุคของจักรวรรดิโรมัน ที่ได้ชื่อว่าเมืองสีลูกกวาดนั้นก็เนื่องมาจากบ้านเรือนในเมืองนี้จะมีหลากหลายสีสันเหมือนกับลูกกวาดที่มีสีสันสดใสนั่นเอง
  • คืนนี้พักที่ Fussen

Day 6 : Neuschwanstein Castle – Zugspitze – Innsbruck

  • ชม ปราสาทนอยชวานชไตน์ เป็นปราสาทที่สร้างขึ้นใน Zug คริสต์ศตวรรษที่ 19 ก่อสร้างโดยกษัตริย์แห่งบาวาเรีย ปราสาทแห่งนี้งดงามมากจนบริษัทวอลต์ ดิสนีย์ นำรูปแบบไปสร้างเป็นโลโก้ประจำบริษัท และปราสาทแห่งนี้ยังได้ปรากฎอยู่ในการ์ตูนเรื่องซินเดอเรลล่าอีกด้วย
  • จากนั้นนำชม ยอดเขา Zugspitze ยอดเขาที่สูงที่สุดในประเทศเยอรมัน ซึ่งถือว่า เป็นจุดแบ่งเขตแดนระหว่างเยอรมันกับออสเตรียอีกด้วย โดยการขึ้นเคเบิ้ลคาร์ เพื่อชมวิวยอดเขากว่า 400 ยอด ของทั้ง 4 ประเทศ ได้แก่ เยอรมัน สวิสต์เซอร์แลนด์ ออสเตรีย และอิตาลี
  • เดินทางสู่ เมือง Innsbruck ซึ่งในสมัยก่อนกษัตริย์องค์สำคัญๆ มักมาพักผ่อนหย่อนใจที่เมืองแห่งนี้ เช่น พระนางมาเรีย เทเรเซีย และ นโปเลียน โบนาปาร์ต เนื่องจากเมืองนี้เป็นเมืองที่อากาศดีมาก
  • คืนนี้พักที่ Innsbruck

Day 7 : Innsbruck – The Golden Roof-St. Anna’s Column – Lienz

  • ชม เมือง Innsbruck ประเทศออสเตรีย ในสมัยก่อนกษัตริย์องค์สำคัญๆ มักมาพักผ่อนหย่อนใจที่เมืองแห่งนี้ เช่น พระนางมาเรีย เทเรเซีย และ นโปเลียน โบนาปาร์ต เนื่องจากเมืองนี้เป็นเมืองที่อากาศดีมาก
  • The Golden Roof (Goldenes Dachl) ซึ่งถือว่าเป็นสัญลักษณ์ของเมืองนี้ สร้างขึ้นในสมัยพระเจ้าแมกซิมิเลียนที่ 1 บริเวณเฉลียงที่ยื่นออกมามีไว้สำหรับให้บรรดากษัตริย์ชมความงดงามของเทือกเขาแอลป์และ Anna’s Column เป็นอนุสาวรีย์ที่ตั้งอยู่ใจกลางเมือง ถือว่าเป็นสัญลักษณ์ของเมืองอีกแห่งหนึ่งด้วย สร้างขึ้นเมื่อปี 1703 เพื่อเฉลิมฉลองชัยชนะที่มีเหนือกองทัพของพวกบาวาเรียน ด้านบนสุดจะมีรูปปั้น Virgin Mary ยืนอยู่บนพระจันทร์เสี้ยวประดับอยู่
  • เดินทางสู่เมือง Lienz เป็นเมืองที่ถูกโอบล้อมด้วยภูเขา ปากทางสู่ Grossglockner
  • คืนนี้พักที่ Lienz

Day 8 : Grossglockner – Berchtesgaden – Königssee St.Bartholomä

  • เดินทางสู่ Grossglockner ซึ่งเป็นยอดเขาที่สูงที่สุดในออสเตรีย โดยมีความสูงถึง 3798 เมตร เราจะเดินทางในเส้นทางที่เรียกกันว่า Grossglockner High Alpine Road ในระหว่างทางจะมีจุดชมวิวให้ทุกท่านออกมาเก็บภาพความสวยงามของยอดเขาแห่งนี้เป็นระยะๆ นับเป็นเส้นทางที่โรแมนติกที่สุดเส้นหนึ่งในออสเตรีย
  • จากนั้นเดินทางเข้าสู่ เมือง Berchtesgaden เมืองเล็กๆ ชายขอบทางตะวันออกเฉียงใต้ในแคว้นบาวาเรียของเยอรมัน ด้วยที่ตั้งที่อยู่ในหุบเขา ทำให้เมืองนี้มีเสน่ห์และสวยงามเป็นอย่างมาก
  • ล่องเรือ ทะเลสาบ Königssee ซึ่งได้รับการขนานนามว่าเป็นทะเลสาบที่มีน้ำใสที่สุดในประเทศเยอรมัน ซึ่งตั้งอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติ Berchtesgaden
  • เรือจะไปสิ้นสุดที่ โบสถ์ St.Bartholomä หรือ โบสถ์รูปหัวหอม ซึ่งถือว่าเป็นสัญลักษณ์ของเมืองนี้ ซึ่งตั้งขึ้นตั้งแต่ราวๆ ศตวรรษที่ 12
  • ชมเมือง Ramsau เมืองเล็กๆบรรยากาศสงบๆ แวะถ่ายรูปโบสถ์กลางหมู่บ้านรับแสงแรกแห่งวัน มีฉากหน้าเป็นลำธารใสไหลผ่าน
  • คืนนี้พักที่ Berchtesgadener

Day 9 : Ramsau – Munich

  • อำลาความเงียบสงบแห่งธรรมชาติ เดินทางกลับสู่เมืองมิวนิค มุ่งหน้าสู่ สนามบินมิวนิค เช็คอินสายการบินไทย เที่ยวบิน TG 925 ออกเดินทาง เวลา 14.25 น. บินตรงสู่กรุงเทพมหานคร

Day 10 : Bangkok

  • เดินทางกลับถึงกรุงเทพโดยสวัสดิภาพ

***รายการอาจมีการปรับเปลี่ยนได้ตามความเหมาะสม***

89,000

ไปไหนมาดอทคอม • 089-4789334 • 02-045-3445 • Line : @painaima.com • painaima@gmail.com • ติดต่อเรา

ไปไหนมาดอทคอม • ติดต่อเรา

Categories
Europe

ทัวร์กรีซ คอร์ฟู ซาคินทอส ซานโตรินี มิโคนอส

ทัวร์กรีซ

Highlight

DAY 1 : Bangkok  

  • พบกันที่ สนามบินสุวรรณ เดินทางสู่เอเธนส์

DAY 2 : Bangkok – Athens – Corfu

  • เดินทางไปยังเมืองคอร์ฟู โดยสายการบินโดยสายการบินในประเทศเมืองคอร์ฟู รู้จักกันดีในนาม เกาะมรกต เนื่องด้วยความเขียวชะอุ่มและสวยงาม
  • ชม Paleokastritsa สู่จุดชมวิวบนยอดเขาที่สามารถมองเห็นตัวเมืองเก่าและทะเลไอโอเนี่ย อันเป็นที่มาของเทพนิยายกรีกของการพบกันระหว่าง Odysseus และ Nausica ระหว่างทางชมวิถีชีวิตของชาวท้องถิ่นโดยเฉพาะการปลูกต้นมะกอกและต้น Cyprus
  • ชมโบสถ์ Monastery of the Virgin โบสถ์เล็กๆบนยอดผาสไตล์กรีก Byzantine ที่มีระฆังสองอันแขวนอยู่บนยอด
  • ชม Achilleion Palace ที่สวยงามซึ่งตั้งอยู่ในหมู่บ้าน Gastouri คฤหาสน์ที่สร้างขึ้นในปี 1891 โดยจักรพรรดิแห่งออสเตรียที่รู้จักกันในชื่อ Sisi และต่อมาได้ตกเป็นของไกเซอร์ Wilhelm II แห่งเยอรมนี
  • ชมเมืองเก่าคอร์ฟู เป็นมรดกโลก ในปี ค.ศ.2007
  • ชมป้อม Palaio Frourio ซึ่งมีความเก่าแก่ แม้ว่าบางส่วนจะถูกกัดเซาะจากน้ําและลมทะเล ไปบ้างแล้วก็ตาม ตัวป้อมได้รับการบูรณะมาเป็นอย่างดีปัจจุบันถูกใช้เป็นสถานที่สําหรับกิจกรรมหลายอย่าง เช่น งานคอนเสิร์ตและอื่นๆ นําท่านชมอาคารบ้านเรือนแบบนีโอคลาสสิค ส่วนหนึ่งสร้างขึ้นจากยุคเวนิส อีกส่วนเป็น การก่อสร้างยุคหลัง
  • คืนนี้เราจะพักที่ Corfu

DAY 3 : Corfu – Ferry to Igoumenitsa – Meteora

  • เดินทางไปยังท่าเรือ เพื่อเดินทางไปยังเมือง Igoumenitsa โดยเรือเฟอร์รี่ จากนั้นนำท่านเดินทางต่อไปยัง Meteora
  • เยี่ยมชม Meteora หนึ่งในสถานที่พิเศษสุดและไม่เหมือนใคร ป่าหิน Meteora เป็นหนึ่งในปรากฏการณ์ทางธรณีวิทยาที่น่าประทับใจ ชม Meteora Klöster วัดหรือสำนักสงฆ์ ตั้งอยู่บนยอดเขาหิน โดยยูเนสโกให้เป็นมรดกโลกทั้งทางศาสนาและความสำคัญของธรรมชาติ

         คืนนี้เราจะพักที่เมือง Meteora

 

DAY 4 :  Meteora – Lefkada Sight seeing

  • ออกเดินทางไปยังเมือง Lefkada เมืองเก่าที่รายล้อมด้วยถนนในย่านช้อปปิ้ง และสถานที่เที่ยวมากมาย
  • ชมเมืองและเดินเล่นรอบๆ ชื่นชมสถาปัตยกรรมแบบเวนิสโบราณ ชมโบสถ์ Pantokratoras , ชมพิพิธภัณฑ์ และเยี่ยมชม Monastery of Panagia Faneromeny
  • เดินชมหมู่บ้าน Karya มีชื่อเสียงในด้านงานปักลูกไม้คุณภาพ ซึ่งเลียนแบบลูกไม้ลายดั้งเดิม
  • ชมหมู่บ้าน Eglouvi เป็นหนึ่งในหมู่บ้านบนภูเขาที่สวยที่สุดของ Lefkada ทุกวันนี้มีผู้อาศัยอยู่ 180 คนซึ่งส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับการเกษตร หมู่บ้านที่อุดมสมบูรณ์ขนาดเล็กแห่งนี้เป็นที่รู้จักกันดีในการผลิตถั่วเลนทิลและสถาปัตยกรรมดั้งเดิม
  • คืนนี้เราจะพักที่เมือง Lefkada

DAY 5 : Lefkada – Kyllini – Ferry to Zakynthos

  • ออกเดินทางไปยังเมือง Kyllini จากนั้นไปยังท่าเรือเฟอรี่ เพื่อเดินทางต่อไปยังเกาะ Zakynthos
  • ชมหาด Navagio หาดชื่อดังที่สุดของเกาะซาคินทอส ล้อมรอบด้วยหน้าผาสีขาวสูงชันหาดทรายขาวดุจไข่มุกห้อมล้อมด้วยน้ำทะเลสีฟ้าแจ่ม
  • คืนนี้เราจะพักที่เมือง Zakynthos

DAY 6 : Zakynthos

  • นำเที่ยวเกาะ Zakynthos โดยการล่องเรือ เยี่ยมชมถ้ำ Blue Cave และ ชมซากเรือเก่าที่เกยขึ้นมาอยู่บนฝั่ง เป็นที่รู้จักในอีกชื่อหนึ่งคือ หาดเรือแตก เรือนี้ขึ้นมาเกยฝั่งตั้งแต่ปีค.ศ.1981 เกิดเป็นสิ่งที่น่าสนใจบนเกาะที่เข้ากันได้ดีอย่างน่าประหลาด ทำให้ผู้คนมากมายให้ความสนใจกับซากเรือโบราณ ถ่ายรูปกับต้นมะกอก 2000 ปี
  • ไปยังเกาะเต่า Turtles Island ที่เต็มไปด้วยเต่าทะเลขนาดใหญ่ที่เป็นมิตร สามารถลงเล่นน้ำได้
  • ชมพระอาทิตย์ตกที่บริเวณ Keri  ชมพระอาทิตย์ตกแบบพาโนรามา
  • คืนนี้เราจะพักที่เมือง Zakynthos

DAY 7 : Zakynthos – Kyllin –  Athens – Santorini – Oia

  • เดินทางไปยังสนามบินภายในประเทศ เพื่อไปยัง Santorini โดยสายการบินภายในประเทศ
  • เดินทางถึงเกาะซานโตรินี ชมหมู่บ้านเอีย (Oia) หมู่บ้านที่ตั้งอยู่ทางตอนบนสุดของซานโตรินี่ ชาวบ้านในเมืองนี้มักสร้างบ้านทรงกลมสีขาว หลังคาเป็นรูปโดมทาด้วยสีน้ำเงินเข้ม และบ้านที่มีโครงไม้เหมือนกังหันลมติดอยู่ที่ตัวบ้าน ซึ่งสิ่งก่อสร้างเหล่านี้ถือเป็นเอกลักษณ์และเสน่ห์ของเมืองนี้
  • จุดชมพระอาทิตย์ตก ฉากหน้าเป็นเมืองเอียอันคุ้นตา แต่งแต้มด้วยสีชมพูพาสเทลหวานจับใจ รอคอยตะวันตกลงสู่ทะเลอีเจี้ยน ดังภาพวาดอันยิ่งใหญ่ที่ได้มาเห็นด้วยตาตนเอง
  • คืนนี้เราจะพักที่เมือง Santorini

DAY 8 : Santorini – Fira – Ferry to Mykonos

  • ตื่นแต่เช้ารับลมทะเลงามกันอีกวัน ตลอดวันแวะจุดถ่ายภาพสวยๆที่เราจะพาไปชมแบบ Exclusive Santorini ที่ดังไปทั่วโลก
  • เดินทางไป หมู่บ้านฟีร่า เมืองหลวงและเมืองใหญ่ที่สุดบนเกาะ Santorini ตั้งอยู่ริมหน้าผาสูงจากทะเล 250 เมตร มองเห็นวิวพาโนราม่าของทะเลเมดิเตอเรเนียนได้อย่างสุดลูกหูลูกตา อิสระให้ท่านเดินเล่นดื่มด่ำบรรยากาศอาทิตย์อัสดงลาลับขอบฟ้าสีคราม
  • นำท่านไปยังท่าเรือเพื่อไปยังเกาะ Mykonos โดยเรือ Speed Ferry SEAJETS สู่เกาะมิโคนอส เกาะที่อยู่ในกลุ่มเกาะ Cyclades ในตอนกลางของกลุ่มหมู่เกาะกรีซ
  • เดินเล่นชมเมือง Mykonos ลัดเลาะซอกซอยเล็กๆ ถ่ายรูปกับบ้านเรือนขาวตัดฟ้า และร้านเก๋ๆ ริมทาง
  • คืนนี้เราจะพักที่ Mykonos

DAY 9 : Mykonos – Athens

  • เดินทางถึงเกาะมิโคนอส ชมเมืองเก่ามิโคนอส เอกลักษณ์อาคารบ้านเรือนทาสีขาวสะอาด ตัดกับประตูหน้าต่างที่ทาสีฟ้าสด และโบสถ์ที่ทาสีหลังคาโดมโค้งด้วยสีแดงจัด ในช่วงแสงอาทิตย์สีอ่อนๆ กำลังพาดผ่านประตูสีฟ้าและผนังบ้านสีขาว
  • เยี่ยมชม Little Venice คล้ายกับที่เมืองเวนิซ อิตาลี เดินเที่ยวคอร่า (Chora) ซึ่งเป็นศูนย์กลางของเกาะ ประกอบไปด้วยร้านค้าและบ้านเรือนมากมายซึ่งเชื่อมกันด้วยทางเดินแคบๆ บางช่วงให้เฉพาะคนเดินเท่านั้น
  • สะดุดตากับ กังหันลม 5 หลัง Mykonos Famous Windmill ที่กลายเป็นสัญลักษณ์ของเกาะนี้อันโดดเด่นให้คนทั่วทุกมุมโลกได้จดจำ
  • เย็นเหินฟ้ากลับสู่เอเธนส์ โดยสายการบินภายในประเทศ
  • คืนนี้เราจะพักที่ Athens

DAY 10 : Athens – Bangkok

  • เที่ยวชม อะโครโพลิส (Acropolis) ป้อมปราการหรือเมืองบนเทือกเขาสูงมีสิ่งก่อสร้างที่มีชื่อเสียงตั้งอยู่
  • เยี่ยมชมมหาวิหารพาเธนอน (Parthenon) เป็นวิหารที่ได้รับการกล่าวขวัญถึงในด้านความงดงาม
  • ชม ย่าน Plaka เป็นย่านตลาดเก่าแก่ที่สุดของกรุงเอเธนส์ ได้รับการปิดการจราจรของรถยนต์ มีเพียงรถจักรยานยนต์หรือการส่งมอบสินค้าของรถบรรทุกเท่านั้น
  • ชมจัตุรัสซินตักมา (Sintagmar Square) เป็นที่ตั้งของอาคารที่ทำการรัฐบาลและอาคารรัฐสภาซึ่งสร้างด้วยหินอ่อนสีขาวรูปเกือกม้า สร้างโดยจักรพรรดิเฮรอด อัตติคุส บริเวณนี้ทุกๆ ชั่วโมงจะมีการเปลี่ยนการ์ดทหารกรีก
  • จากนั้นแวะเดินเลือกซื้อของฝากตามอัธยาศัย
  • ออกเดินทางสู่กรุงเทพฯ

DAY 11 : กรุงเทพฯ

  • เดินทางถึงกรุงเทพมหานคร ประเทศไทย โดยสวัสดิภาพพร้อมความประทับใจ

****รายการอาจมีการปรับเปลี่ยนได้ตามความเหมาะสม***

เร็วๆนี้