Categories
Europe

ทัวร์กรีนแลนด์ ฟาโรห์

ทัวร์กรีนแลนด์-ฟาโรห์

Highlight

Day 1 : Bangkok  

  • นัดพบกันที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ  

Day 2: Bangkok – Copenhagen – Faroe Island –Kirkjubour Magnus Catherdal – Torshavn 

  • ถึงสนามบิน โคเปนฮาเกน จากนั้นต่อเครื่องภายในประเทศ ไปยัง สนามบิน Sorvagur แห่งแฟโร โดยสายการบิน Scandinavian Airlines  
  • ชมหมู่เกาะแฟโร (Faroe Island) เป็นประเทศในกลุ่มเกาะจำนวน 18 เกาะ ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของ มหาสมุทรแอตแลนติกระหว่างสกอตแลนด์ นอร์เวย์และไอซ์แลนด์หมู่เกาะแฟโรเป็นเขตการปกครองตนเองของ เดนมาร์ก ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2491 โดยมีสถานภาพเหมือนกับกรีนแลนด์มีอำนาจในการปกครองตนเองทุกด้าน 
  • ชม Trøllkonufingur (Witches Finger) เสาหินรูปร่างประหลาดและโดดเด่นที่ขึ้นตรงชายฝั่ง Vágar คนแฟโรได้ตั้งชื่อนี้เป็นเพราะมีลักษณะที่คล้ายนิ้วของแม่มดและมีตำนานว่าแม่มดได้สร้างเสาหินนี้ขึ้นมายังชายฝั่งอีกด้วย 
  • ชมมืองเคิร์กจูบูเออร์ (Kirkjubour) หมู่บ้านเล็กๆทางตอนใต้ของเกาะแฟโร เป็นหมู่บ้านที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ และมีบ้านไม้ที่อายุเก่าแก่ที่สุดซึ่งสร้างต้้งแต่ศตวรรษที่ 11
  • ชม โบสถ์หินโบราณแมกนาส (Magnus Catherdal) ชมความงดงามของโบสถ์หินโบราณที่ยังคงอนุรักษ์ไว้จนถึงปัจจุบัน พร้อมทั้งดื่มด่ำกับ ทัศนียภาพของบ้านไม้โบราณที่นิยมปลูกหญ้าบนหลังคาเลียบชายฝั่งมหาสมุทร 
  • คืนนี้พักที่ ทอร์ชวาน  

Day 3 : Sørvágsvatn – Kvivik Village  

  • ชมความงามของ Sørvágsvatn ทะเลสาบขนาดใหญ่ที่สุดของหมู่เกาะฟาโร ซึ่งตั้งอยู่บนเกาะ Vágar ที่อยู่ติดกับชายฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติก ตั้งอยู่ที่ความสูง 30 เมตรเหนือระดับน้ำทะเลที่ปลายสุดของทะเลสาบจะมีน้ำตก Bøsdalafossur อีกหนึ่งสถานที่ที่สวยงามของเกาะ 
  • Trælanípan (Slave Cliff) ท่านจะเห็นทะเลสาบที่อยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเล เมื่อถ่ายรูปออกมาจะเห็นเป็นภาพหลอกตา เหมือนกับภูเขาเป็นแอ่งและมีน้ำอยู่ข้างในและลอยอยู่บนมหาสมุทร ซึ่งจริงๆ แล้วทะเลสาบที่เห็นอยู่นี้ สูงกว่าระดับน้ำทะเลเพียงแค่ 30 เมตรเท่านั้น 
  • ล่องเรือสู่ Mykines ถิ่นฐานของนกพัฟฟินที่น่ารัก ใช้ในการวางไข่ นอกจากจะที่อยู่ของนกแถบโซนอาร์คติกไม่ว่าจะเป็นนกพัพฟิน (puffins) ที่อาศัยอยู่ตามชะง่อนผา และ นกอาร์คติดเทิร์น และอีกนานาชนิด เก็บภาพความสวยงามของผาหิน และ นกนานาพันธุ์ (11.20-16.20) 
  • หมู่บ้านไคว์วิค (Kvivik Village) ซึ่งเป็นหนึ่งในหมู่บ้านที่เก่าแก่ที่สุดบนหมู่เกาะแฟโรและยังคงมีหลักฐานทางโบราณคดีที่แสดงให้เห็นว่าชาวไวกิ้ง ได้มีการตั้งถิ่นฐานที่หมู่บ้านแห่งนี้เมื่อประมาณศตวรรษที่ 18 เห็นได้จากบ้านเรือนของชาวไวกิ้งโบราณที่ยังคงหลงเหลืออยู่  
  • พักที่ Torshavn 

Day 4 : Mykines 

  • พานั่งเรือไปยังจุดชมวิว Drangarnir ท่านจะเห็นหินที่ขึ้นขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่กลางทะเล ความอัศจรรย์คือหินนั้นมีรูขนาดใหญ่ที่เป็นจุดเด่นและเอกลักษณ์ของเกาะแฟโรอีกด้วย 
  • ชมน้ำตกมูลาฟอส เซอร์ (Mulafossur Waterfall) ซึ่งเป็นน้ำตกที่เปรียบเสมือนซิกเนเจอร์ของหมู่เกาะแฟโร ให้ท่านได้ชื่นชมกับธรรมชาติและความสวยงามของน้ำตกซึ่งมีฉากหลังเป็นภูเขาสวยงาม 
  • เดินทางสู่เมืองทอร์สเฮาน์ (Torshavn) ซึ่งเป็นเมืองหลวงและเมืองที่ใหญ่ที่สุดของหมู่เกาะแฟโร ดินแดนของประเทศเดนมาร์ก ตั้งอยู่ทางตอนใต้และเป็นส่วนหนึ่งของชายฝั่งทิศตะวันตกของเมืองสเตรอเมอนา นำท่านถ่ายรูปกับบ้านหลังคาหญ้า (Tiganes) ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของเมือง 
  • พักที่ Torshavn 

Day 5 : Torshavn – Copenhagen 

  • เดินทางกลับ โคเปนฮาเกน โดยสายการบินในประเทศ 
  • ชมมือง Copenhagen พอหอมปากหอมคอ พาท่านไปถ่ายรูปกับเงือกน้อย little mermaid สัญลักษณ์ของเมืองโคเปนเฮเกน  
  • Amalianborg Castle พระราชวังที่สร้างขึ้นสำหรับประทับช่วงฤดูหนาว ประกอบด้วยอาคารสี่หลังใหญ่ ล้อมรอบพื้นที่ทรงแปดเหลี่ยม ตรงกลางด้านในนั้นประดิษฐานอนุสาวรีย์พระบรมรูปทรงม้าของผู้ก่อตั้ง Amalienborg ของกษัตริย์เฟรเดอริที่ 5 
  • ชมท่าเรือ Nyhavn ที่ถือเป็นแหล่งท่องเที่ยวหลากสีสัน เพราะรายล้อมไปด้วยร้านค้า ร้านอาหาร ผับ บาร์ ตั้งเรียงรายอยู่สองข้างทาง ผสานไปด้วยบ้านเรือนสไตล์แดนิชหลากสีสันที่สร้างขึ้นได้อย่างสวยงาม 

Day 6 : Copenhagen – Kangerlussuaq – Ice Cap Point 660  Russell Glacier 

  • เดินทางสู่ เมือง Kangerlussuaq โดยสายการบิน Air Geenland  
  • เดินทางสู่ Ice Cap Point 660 ชั้นน้ำแข็งที่ปกคลุมพื้นโลก (แถบขั้วโลกเหนือและใต้) อีกหนึ่งประสบการณ์อันน่าจดจำที่จะได้อยู่บนแผ่นน้ำแข็งที่ปกคลุมทั้งประเทศคิดเป็น 10% ของโลก ที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 2 รองจากแอนตาร์กติกา 
  • สัมผัสกับธารน้ำแข็งรัสเซล (Russell Glacier) หน้าผาน้ำแข็งที่มีขนาดใหญ่มีความสูงกว่า 60 เมตรเด่นตระหง่านอยู่ตรงหน้า จินตนาการรูปลักษณ์คล้ายดั่งสัตว์ในเขตขั้วโลกเหนือ อาทิ หมีขาว แมวน้ำ หรือธารน้ำตก อันเป็นประติมากรรมที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ เราจะค่อยๆเดินขึ้นไปบนธารน้ำแข็งซึ่งทรงพลังที่สุดในธรรมชาติ ความใหญ่โตมหึมาล้อมรอบ 360 องศาที่จะทำให้ตื่นเต้นตลอดเวลาในการเดินอยู่บนธารน้ำแข็งที่ยังคงเหลืออยู่ในกรีนแลนด์ และแอนตาร์กติกาเท่านั้น  

Day 7 : Kangerlussuaq – Ilulissat  

  • ออกเดินทางไปยังเมือง  Ilulissat โดยสายการบิน Air Geenland  
  • ชม โบสถ์ Zion Church ซึ่งสร้างมาตั้งแต่ปลายศตวรรษที่ 18 ถือเป็นสิ่งก่อสร้างที่ใหญ่ที่สุดในกรีนแลนด์ยุคนั้น 
  • นำท่านเข้าชม พิพิธภัณฑ์เมืองอิลูลิสแซต (Iluissat Museum) ซึ่งจัดแสดงเรื่องราวของแหล่งก่อนประวัติศาสตร์ Sermermiut อันเป็นถิ่นฐานของมนุษย์ยุคหิน และเรื่องราวของชนพื้นเมืองคือ อินูอิต (Enuitหรือเอสกิโม (Eskimo) วิถีชีวิต วัฒนธรรม และเส้นทางการค้าของพวกเขากับชาวยุโรป รวมถึงเรื่องราวของนักสำรวจขั้วโลกเหนือที่น่าสนใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Knud Rasmussen นักสำรวจขั้วโลกเหนือผู้ยิ่งใหญ่ 
  • Ilulissat Icefjord ความยาวราว 70 กิโลเมตร หรือที่เรียกกันในภาษาท้องถิ่นว่า Kangia จะเต็มไปด้วยก้อนน้ำแข็งและภูเขาน้ำแข็ง (Iceberg) อันมีที่มาจากธารน้ำแข็งเซอร์เมก คูยาลเลก (Sermeq Kujalleqทางด้านทิศตะวันออก ไหลลงสู่ท้องทะเลและมาออกทะเลเปิดบริเวณอ่าวดิสโก (Disko Bay) มีแผ่นน้ำแข็งลอยน้ำขนาดใหญ่โตมากมายกระจัดกระจายอยู่ตามผืนน้ำ รวมพื้นที่ทั้งหมดของแหล่งมรดกโลกแห่งนี้ราว 4,000 ตารางกิโลเมตร 

Day 8: Whale Watching – Zion Church  

  • พาชมปลาวาฬ พบว่าดินแดนขั้วโลกเหนือแห่งนี้มีปลาวาฬกว่า 15 ชนิด ที่สามารถพบเห็นได้ โดยเฉพาะ วาฬหลังค่อม วาฬฟิน และวาฬมิงก์ นำท่านออกสำรวจปลาวาฬอย่างใกล้ชิด  
  • ่องเรือชม Iceberg ที่ Disko Bay ช่วงพระอาทิตย์เที่ยงคืน จะเห็นภูเขาน้ำแข็งขนาดใหญ่ มีแผ่นน้ำแข็งลอยน้ำขนาดใหญ่โตมากมายกระจัดกระจายอยู่ตามผืนน้ำ รวมพื้นที่ทั้งหมดของแหล่งมรดกโลกแห่งนี้ราว 4,000 ตารางกิโลเมตร 

Day 9 :  Eqip Sermia  

  • ั่งเรือไปทางตอนเหนือของอิลลูลิแซท เมืองปากอ่าวธารน้ำแข็ง อิควิป เซอร์เมีย (Eqip Sermia) หรือรู้จักกันในชื่อ “Eqi” กล่าวได้ว่าเป็นธารน้ำแข็งเก่าแก่อายุหลายหมื่นปี ที่ใหญ่ที่สุดในโลกเพียงแห่งเดียวที่มนุษย์สามารถเข้าไปชมได้อย่างใกล้ชิดที่สุด จัดเป็นมรดกโลกเมื่อปี 2004 เป็นมรดกทางธรรมชาติของโลกที่น่าตื่นตาตื่นใจซึ่งก้อนน้ำแข็งจำนวนมหาศาลไหลลงทะเลทาง Ilulissat Icefjord (อิลลูลิแซท ไอซ์ฟยอร์ด) ถือได้ว่าเป็นที่สุดของธารน้ำแข็งทางฝั่งตะวันตกของกรีนแลนด์  

Day 10 : Ilulissat – Kangerlussuaq – Copenhagen  

  • เดินทางกลับ Copenhagen โดยสายการบิน Air Geenland 

Day 11 : Copenhagen – Bangkok 

  • อิสระยามเช้า เตรียมตัวกลับไทย

Day 12 : Bangkok 

  • เช้า เดินทางถึงกรุงเทพฯ โดยสวัสดิภาพและความประทับใจ 

เร็วๆนี้

ไปไหนมาดอทคอม • 089-4789334 • 02-045-3445 • Line : @painaima.com • painaima@gmail.com • ติดต่อเรา

ไปไหนมาดอทคอม • ติดต่อเรา

Categories
Russia

ทัวร์ไบคาล

ทัวร์ไบคาล

Highlight

ไบคาล 6 วัน

ไบคาล ทรานไซบีเรีย 7 วัน

ไบคาล ทรานไซบีเรีย มูรมันก์ 12 วัน

Day 1 : Bangkok – Irkutsk

  • ช่วงบ่าย พบกันที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ
  • ถึงท่าอากาศยานนานาชาติเมืองอีร์คุตสค์ ประเทศรัสเซีย ผ่านการตรวจคนเข้าเมือง จากนั้นนำท่านเข้าสู่ที่พัก ภายในตัวเมืองอีรคุตสค์
  • คืนนี้เราจะพักกันที่ โรงแรม Angara 4* หรือเทียบเท่า

Day 2 : Listvynska – Dogsledge – Snowmobile – Chersky Peak  (B/L/D)

  • เดินทางสู่หมู่บ้านลิสต์เวียนก้า ห่างจาก Irkutsk ราว 70 กิโลเมตร เมืองเล็กๆ ริมทะเลสาบไบคาลที่มีสิ่งน่าสนใจและกิจกรรมหลายอย่างรอเราอยู่
  • สุนัขลากเลื่อน กิจกรรมที่ทุกท่านใฝ่ฝันจะได้ร่วมสักครั้ง เราจะพาท่านนั่งบน Sledge ที่ลากด้วยสุนัขประมาณ 6-8 ตัว ไปตามทางที่โรยด้วยเกล็ดหิมะ *(โปรแกรมอาจมีการเปลี่ยนแปลงขึ้นอยู่กับสภาพหิมะที่ปกคลุมว่ามีมากเพียงพอหรือไม่)
  • ร่วมทดลองขับ SNOWMOBILE พาหนะที่ใช้เดินทางของคนในพื้นที่อันหนาวเหน็บ ในช่วงเวลาหน้าหนาวที่หิมะหนานุ่มปกคลุมอยู่ทั้งเมือง จัดให้นั่งคันละ 2 ท่าน
  • นั่ง Ski lift สู่ เนินหินเชียร์สกี เพื่อชมทิวทัศน์ของทะเลสาบไบคาล จากชายฝั่งด้านทิศตะวันตกของทะเลสาบ มุมอันสวยงามของธรรมชาติ
  • คืนนี้เราจะพักกันที่ โรงแรม Angara หรือเทียบเท่า

Day 3 : Olkhon – Khorgoy – Ogoy – Buddhist Stupa – Khuzhir (B/L/D)

  • เดินทางสู่ เกาะโอลคอน ซึ่งเป็นเกาะที่มีขนาดใหญ่ที่สุดบนทะเลสาบไบคาล เมื่อถึงปลายแผ่นดินใหญ่ เราจะเปลี่ยนเป็นรถตู้ท้องถิ่นสไตล์รัสเซียแท้ๆ ที่จะสามารถวิ่งไปบนผืนน้ำแข็งได้
  • แวะพักยืดเส้นยืดสาย ชมวิว ณ จุดชมวิวก่อนข้ามสู่เกาะ Olkhon ที่นี่มีอนุสาวรีย์ของชายพเนจรตั้งอยู่ ริมอ่าว Kurkutsky Bay อนุสาวรีย์นี้เป็นตัวแทนของชายพเนจรในบทเพลงพื้นบ้านผู้ที่หนีการถูกลงโทษ พยายามข้ามทะเลสาบไบคาลกลับสู่เมืองอีรคุตสค์ ด้วยเรือสภาพผุพัง จากจุดนี้เราสามารถมองวิวทิวทัศน์ของทะเลสาบไบคาลได้อย่างชัดเจน
  • เปลี่ยนยานพาหนะสำหรับเดินทางเป็นรถตู้ท้องถิ่นสไตล์รัสเซียที่จะพาเราตะลุยไปบนแผ่นผืนน้ำแข็งอันกว้างใหญ่ ด้วยฝีมือคนขับขั้นเทพ ส่วนสัมภาระของเราจะเดินทางไปรอล่วงหน้าที่ โรงแรม เราจะได้เห็น รถตู้ UAZ เรียกอีกอย่างว่า “Buchanka” เริ่มผลิตตั้งแต่ปี 1941 ในสมัยสงครามโลก จนถึงทุกวันนี้ก็ยังผลิตอยู่ และมีสโลแกนว่า “ทำไมต้องคิดค้นสิ่งใหม่เมื่อสิ่งเก่ายังทำงานได้ดีอยู่”
  • จะแวะถ่ายรูปจุดสวยๆ หลายจุด เช่น ถ้ำ น้ำตกน้ำแข็งที่เกิดจากน้ำแข็ง (ในแต่ละปีมีรูปร่างต่างกันไป) ตามสภาวะของอากาศ ความหนาวเย็น และสายลม
  • ชม แหลมคอร์กอย ทางตอนใต้ของเกาะ ซึ่งเป็นบริเวณที่มีการพบ “ซากกำแพงหินโบราณ” ที่สันนิษฐานว่าอาจเคยใช้เป็นแนวป้องกันข้าศึกในอดีต
  • เดินทางสู่ เกาะโอกอย ซึ่งอยู่ทางตอนใต้ของเกาะโอลคอน ตั้งอยู่ในเขตทะเลน้อย สถูปพุทธแบบทิเบต สูง 8 เมตร ประดิษฐานบนเกาะเมื่อปี 2005 เพื่อสักการะบูชาบนเกาะ
  • Cape Dragon Island Ogoy อยู่ที่ปลายแหลมของเกาะ เป็นจุด Check in สำคัญของทริปไบคาลจุดหนึ่ง
  • คืนนี้เราจะพักกันที่ Olkhlon ลักษณะเป็น โรงแรมขนาดเล็ก มีน้ำอุ่น ภายในห้องอุ่น ไม่หนาว

Day 4 : Burkan – Shaman Rock – Three Rock – Khoboy Cape (B/L/D)

  • เดินชมแหลมบูรคาน หนึ่งในแลนด์มาร์คสำคัญของทะเลสาบไบคาล ที่เป็นที่ตั้งของ “โขดหินชามาน” สถานที่ประกอบพิธีกรรมของหมอผีสื่อวิญญาณตามความเชื่อของชาวไบคาล ก่อนการเผยแพร่ศาสนาพุทธจากทิเบตมายังบริเวณนี้ พร้อมกันกับที่ให้เวลาท่านได้ถ่ายภาพทิวทัศน์ไว้เป็นที่ระลึกตามอัธยาศัย
  • ชมหินสามพี่น้อง หรือ THREE BROTHER ROCK ตำนานท้องถิ่นกล่าวว่ามีพี่น้องสามตนซึ่งเป็นนกอินทรี พวกเขาจะบินเหนือเกาะและเพลิดเพลินกับท้องฟ้า ครั้งหนึ่งพวกเขาผิดคำสาบานที่ให้ไว้กับพ่อ เขาได้กินเนื้อสัตว์ที่ตายแล้ว เขาจึงถูกสาบให้กลายเป็นหิน
  • แหลมโคบอย ทางตอนเหนือสุดของเกาะโอลคอน พร้อมสัมผัสความงามของผืนน้ำแข็งสีฟ้าแวววาวที่โด่งดังในช่วงฤดูหนาว แนวถ้ำน้อยใหญ่ ถ่ายรูปกับน้ำแข็งรูปทรงแปลกตาสีฟ้า สีส้มตามการสะท้อนของแสงแดดและท้องฟ้า 
  • ถ่ายรูปฟองอากาศแข็งตัว • ลายน้ำแข็ง • ก้อนน้ำแข็งรูปทรงแปลกตา • น้ำตกน้ำแข็ง • ถ้ำน้ำแข็ง • รถตู้ UAZ
  • คืนนี้เราจะพักกันที่ Olkhlon

Day 5 : Olkhon – City tour Irkutsk (B/L/D)

  • อำลาเกาะโอลคอน เดินทางกลับสู่ตัวเมืองอีรคุตสค์ตามเส้นทางเดิม
  • นำท่านเที่ยวชมภายในตัวเมืองอีรคุตสค์ อาทิเช่น
  • โบสถ์คาซาน
  • ถนนคาร์ล มาร์กซ์ ที่รายล้อมด้วยอาคารสถาปัตยกรรมสมัยปลายศตวรรษที่ 19 โบราณสถานสำคัญภายในสำนักชีสนา
  • อนุสาวรีย์ยาคอฟ โปคาบอฟ ผู้ก่อตั้งเมืองอีรคุตสค์
  • ประตูชัยมอสโก อนุสรณ์แห่งการครองราชย์ครบ 10 ปีของจักรพรรดิอเล็กซานเดอร์ที่ 1
  • เปลวไฟนิรันดร์ ที่สร้างเพื่อรำลึกถึงทหารเกณฑ์จากดินแดนไซบีเรียผู้เข้าร่วมรบในสงครามโลกครั้งที่สองเมนสกี ซึ่งเป็นอาคารที่เคยถูกใช้งานหลากหลายรูปแบบตลอดสมัยจักรวรรดิรัสเซียและโซเวียต
  • อนุสาวรีย์นายพลคอลชัค หนึ่งในผู้นำการเคลื่อนไหวของกลุ่มรัสเซียขาวในสงครามกลางเมืองหลังการปฏิวัติรัสเซีย
  • อนุสาวรีย์จักรพรรดิอเล็กซานเดอร์ที่ 3 ผู้ดำริให้สร้างทางรถไฟประวัติศาสตร์สายทรานส์ไซบีเรีย
  • คืนนี้เราจะพักกันที่ โรงแรม Angara หรือเทียบเท่า

Day 6 : Irkutsk – Bangkok (B)

  • เดินทางสู่สนามบิน เพื่อเดินทางกลับกรุงเทพฯ

Day 1 : Bangkok

  • ช่วงบ่าย พบกันที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ
  • เดินทางถึงท่าอากาศยานนานาชาติเมืองอีรคุตสค์ ประเทศรัสเซีย
  • คืนนี้เราจะพักกันที่ โรงแรม Angara หรือเทียบเท่า

Day 2 : Irkutsk City Tour – Listvynska – Dogsledge  Snowmobile – Hovercraft – Chersky Peak (B/L/D)

  • นำท่านเที่ยวชมภายในตัวเมืองอีรคุตสค์ อาทิเช่น
  • อนุสาวรีย์ยาคอฟ โปคาบอฟ ผู้ก่อตั้งเมืองอีรคุตสค์
  • ประตูชัยมอสโก อนุสรณ์แห่งการครองราชย์ครบ 10 ปีของจักรพรรดิอเล็กซานเดอร์ที่ 1
  • เปลวไฟนิรันดร์ ที่สร้างเพื่อรำลึกถึงทหารเกณฑ์จากดินแดนไซบีเรียผู้เข้าร่วมรบในสงครามโลกครั้งที่สองเมนสกี ซึ่งเป็นอาคารที่เคยถูกใช้งานหลากหลายรูปแบบตลอดสมัยจักรวรรดิรัสเซียและโซเวียต
  • อนุสาวรีย์นายพลคอลชัค หนึ่งในผู้นำการเคลื่อนไหวของกลุ่มรัสเซียขาวในสงครามกลางเมืองหลังการปฏิวัติรัสเซีย
  • อนุสาวรีย์จักรพรรดิอเล็กซานเดอร์ที่ 3 ผู้ดำริให้สร้างทางรถไฟประวัติศาสตร์สายทรานส์ไซบีเรีย
  • เขตประวัติศาสตร์ ย่าน 130 ที่เต็มไปด้วยอาคารไม้ตามแบบสมัยต้นศตวรรษที่ 18
  • ได้เวลาสมควร เดินทางสู่หมู่บ้านลิสต์เวียนก้า ห่างจาก Irkutsk ราว 70 กิโลเมตร เมืองเล็กๆริมทะเลสาบไบคาลที่มีสิ่งน่าสนใจและกิจกรรมหลายอย่างรอเราอยู่
  • สุนัขลากเลื่อน กิจกรรมที่ทุกท่านใฝ่ฝันจะได้ร่วมสักครั้ง เราจะพาท่านนั่งบน Sledge ที่ลากด้วยสุนัขประมาณ 6-8 ตัว ไปตามทางที่โรยด้วยเกล็ดหิมะ *(โปรแกรมอาจมีการเปลี่ยนแปลงขึ้นอยู่กับสภาพหิมะที่ปกคลุมว่ามีมากเพียงพอหรือไม่)
  • ร่วมทดลองขับ SNOWMOBILE พาหนะที่ใช้เดินทางของคนในพื้นที่อันหนาวเหน็บ ในช่วงเวลาหน้าหนาวที่หิมะหนานุ่มปกคลุมอยู่ทั้งเมือง จัดให้นั่งคันละ 2 ท่าน
  • นั่ง Hovercraft เรือสะเทิ้นน้ำสะเทิ้นบก ที่จะพาคุณเคลื่อนที่ไปบนน้ำแข็งในประสบการณ์แปลกใหม่
  • นั่ง Ski lift สู่ เนินหินเชียร์สกี เพื่อชมทิวทัศน์ของทะเลสาบไบคาล จากชายฝั่งด้านทิศตะวันตกของทะเลสาบ มุมอันสวยงามของธรรมชาติ
  • คืนนี้เราจะพักกันที่ โรงแรม Angara หรือเทียบเท่า

 Day 3 : Transiberia

  • นั่งรถไฟทรานไซบีเรีย (Trans-Siberian Railway) เปิดประสบการณ์นั่งรถไฟสายตำนาน ที่นักเดินทางทุกคนต้องเคยฝันไว้ตั้งแต่เด็กๆ สู่เมือง Ulan Ude ใช้เวลาในการเดินทางประมาณ 8 ชม. พบกับทัศนียภาพอันสวยงามระหว่างการเดินทางบนเส้นทางระดับตำนานเส้นนี้ ที่มีชื่อเสียงดึงดูดนักเดินทางจากทั่วทุกมุมโลก
  • เดินทางถึงเมือง Ulan-Ude เมืองหลวงของสาธารณรัฐบูเรียเตียของประเทศรัสเซียและยังเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับสามของแคว้นไซบีเรียด้วย ส่วนตัวเมืองตั้งอยู่ริมแม่น้ำเซเลนกาโดยทางฝั่งใต้จะเป็นทะเลทรายยาวไปจนถึงมองโกเลีย เมืองที่ตั้งริมฝั่งแม่น้ำ Uda ยังมีกลิ่นอายของความเป็นเอเชียหลงเหลืออยู่มาก
  • ชมวัดไอโวลกินสกีดัตสัน วัดของพุทธศาสนานิกายมหายานที่ก่อสร้างตามสไตล์ของทิเบตมีคัมภีร์โบราณภาษาทิเบตและต้นโพธิ์ศักดิ์สิทธิ์เป็นสมบัติอันล้ำค่า Ivolginsky Datsan มีความหมายว่าศาสนสถานสำหรับการเรียนรู้ เบิกบาน และความสุขสร้างขึ้นในปี 1945 ในฐานะศูนย์รวมจิตวิญญาณแห่งพุทธศาสนา
  • คืนนี้เราจะพักกันที่ เมือง Ulan Ude

Day 4 : Datsan – Ust barguzin – Icecave

  • ชม Lenin Head รูปปั้นศรีษะของเลนินขนาดยักษ์ ผู้นำนักปฏิวัติมาร์กซิสคนแรกของโซเวียต รูปหล่อนี้ถูกสร้างขึ้นเมื่อปี 2513 มีความสูง7.7 เมตร และหนัก 42 ตัน ตั้งอยู่ ณ จตุรัสใจกลางเมือง ถนนสายหลักในเมือง ยังคงชื่อ Lenina Street ที่เป็นที่ตั้งของทั้งพิพิธภัณฑ์, โรงแรม และร้านค้าต่างๆ มากมาย
  • เดินทางสู่เมือง Ust barguzin เป็นอีกเมืองริมทะเลสบาบไปคาลที่ผู้คนยังมาเยือนน้อยจึงมีความสงบอยู่มาก
  • เมื่อถึงเมือง เปลี่ยนเป็นรถคันเล็กเพื่อเตรียมตัวไปถ่ายรูปกับมหัศจรรย์ Frozen icelake ที่น้อยคนนักจะได้มาเห็นในฝั่งนี้
  • ชม Ice Cave ความมหัศจรรย์ทางธรรมชาติของถ้ำน้ำแข็งที่ยังคงบริษุทธิ์อยู่มากๆ คุณจะต้องทึ่งกับลวดลายของเส้นน้ำแข็งชัดเจนและอลังการ กว่าที่ใดๆ ถ่ายรูปตามสบายไม่ติดหัวใคร และไม่มีใครแย่งมุม
  • คืนนี้พักที่ Ust barguzin

Day 5 :  Ice crossing – Khoboy Cape – Three Rock

  • Ice crossing เดินทางข้าม Open Sea หรือทะเลเปิด อันกว้างใหญ่ของทะเลสาบไบคาล จากฝั่งตะวันออกไปตะวันตก ชม ความสวยงามของ Blue Ice ระหว่างการเดินทาง ที่น้อยคนนักจะได้เห็น
  • แหลมโคบอย ปลายสุดแหลมของเกาะโอลคอน ที่เราจะพบเป็นจุดแรกหลังจากเดินทางข้ามทะเลเปิด แหลมนี้อยู่ทางตอนเหนือสุดของเกาะโอลคอน ถ่ายรูปกับกองน้ำแข็งสีฟ้า Blue ice แปลกตา และถ้ำน้ำแข็ง หามุมส่วนตัวของคุณเพื่อถ่ายรูปไปอวดเพื่อนๆ
  • ชมหินสามพี่น้อง หรือ THREE BROTHER ROCK ตำนานท้องถิ่นกล่าวว่ามีพี่น้องสามตนซึ่งเป็นนกอินทรี พวกเขาจะบินเหนือเกาะและเพลิดเพลินกับท้องฟ้า ครั้งหนึ่งพวกเขาผิดคำสาบานที่ให้ไว้กับพ่อ เขาได้กินเนื้อสัตว์ที่ตายแล้ว เขาจึงถูกสาบให้กลายเป็นหิน และเราจะแวะพักทานอาหารแบบ Picnic กันที่นี่
  • เสาไม้แกะสัญลักษณ์ เป็นความเชื่อของชาวชามาน ถูกหุ้มด้วยริบบิ้นสีสดใสพริ้วไหวในสายลม เสาทั้ง 13 ต้นนี้เป็นตัวแทนของเทพเจ้า 13 องค์ ของเกาะ
  • ถ่ายรูปกับ Shaman Rock หินศักสิทธิ์แห่งชาวชามาน อันเป็น จุดหมายสำคัญอีกแห่งของเกาะโอลคอน
  • คืนนี้เราจะพักกันที่ Olkhlon

Day 6 : Olkhon – Khorgoy – Ogoy – Buddhist Stupa – Irkutsk

  • พาแวะถ่ายรูปจุดสวยๆ หลายจุด เช่น ถ้ำน้ำแข็ง น้ำตกน้ำแข็งซึ่งในแต่ละปีจะมีรูปร่างต่างๆกันไปตามสภาวะของอากาศ ความหนาวเย็น และสายลม
  • เดินทางสู่ เกาะโอกอย ซึ่งอยู่ทางตอนใต้ของเกาะโอลคอน ตั้งอยู่ในเขตทะเลน้อย นมัสการ สถูปพุทธแบบทิเบต สูง 8 เมตร ประดิษฐานบนเกาะเมื่อปี 2005 เพื่อสักการะบูชา บนเกาะ ชม แหลมคอร์กอย ทางตอนใต้ของเกาะ
  • แวะถ่ายรูปกับ Cape Dragon Island Ogoy อยู่ที่ปลายแหลมของเกาะ เป็นจุด Check in สำคัญของทริปไบคาลจุดหนึ่ง
  • จากนั้นอำลาเกาะโอลคอน เดินทางกลับสู่ตัวเมืองอีรคุตสค์
  • คืนนี้เราจะพักกันที่ โรงแรม Angara หรือเทียบเท่า

Day 7 :  Irkutsk – Bangkok

  • เดินทางสู่สนามบิน เพื่อเดินทางกลับกรุงเทพฯ
  • 15.30 น. กลับถึงท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ โดยสวัสดิภาพพร้อมความประทับใจ

Day 1 : Bangkok – Irkutsk

  • ช่วงบ่าย พบกันที่สนามบินสุวรรณภูมิ
  • ถึงท่าอากาศยานนานาชาติเมืองอิรคุตสค์ ประเทศรัสเซีย
  • คืนนี้เราจะพักกันที่ โรงแรม Angara 4* หรือเทียบเท่า

Day 2 : Listvynska – Dogsledge – Snowmobile – Chersky Peak  Baikal Museum (B/L/D)

  • เดินทางสู่หมู่บ้านลิสต์เวียนก้า ห่างจาก Irkutsk ราว 70 กิโลเมตร เมืองเล็กๆ ริมทะเลสาบไบคาลที่มีสิ่งน่าสนใจและกิจกรรมหลายอย่างรอเราอยู่
  • สุนัขลากเลื่อน กิจกรรมที่ทุกท่านใฝ่ฝันจะได้ร่วมสักครั้ง เราจะพาท่านนั่งบน Sledge ที่ลากด้วยสุนัขประมาณ 6-8 ตัว ไปตามทางที่โรยด้วยเกล็ดหิมะ *(โปรแกรมอาจมีการเปลี่ยนแปลงขึ้นอยู่กับสภาพหิมะที่ปกคลุมว่ามีมากเพียงพอหรือไม่)
  • ร่วมทดลองขับ SNOWMOBILE พาหนะที่ใช้เดินทางของคนในพื้นที่อันหนาวเหน็บ ในช่วงเวลาหน้าหนาวที่หิมะหนานุ่มปกคลุมอยู่ทั้งเมือง จัดให้นั่งคันละ 2 ท่าน

นั่ง Ski lift สู่ เนินหินเชียร์สกี เพื่อชมทิวทัศน์ของทะเลสาบไบคาล จากชายฝั่งด้านทิศตะวันตกของทะเลสาบ มุมอันสวยงามของธรรมชาติ

  • ชมพิพิธภัณฑ์ไบคาลเพื่อเรียนรู้เรื่องระบบนิเวศน์ของทะเลสาบไบคาล ที่ประกอบไปด้วยพืชและสัตว์หลากหลายสายพันธุ์ที่น่าสนใจ รวมไปถึงดาวเด่นของพิพิธภัณฑ์ “แมวน้ำไบคาล” นอกจากนี้ยังมีนิทรรศการจำลองสภาพใต้น้ำของทะเลสาบไบคาลให้ชมกันอย่างใกล้ชิด
  • คืนนี้เราจะพักกันที่ โรงแรม Angara 4* หรือเทียบเท่า

Day 3 : Olkhlon – Khorgoy – Ogoy – Buddhist Stupa – Khuzhir (B/L/D)

  • เดินทางสู่ เกาะโอลคอน ซึ่งเป็นเกาะที่มีขนาดใหญ่ที่สุดบนทะเลสาบไบคาล (280 กม-4 ชม ) เมื่อถึงปลายแผ่นดินใหญ่ เราจะเปลี่ยนเป็นรถตู้ท้องถิ่นสไตล์รัสเซียแท้ๆ ที่จะสามารถวิ่งไปบนผืนน้ำแข็งได้
  • แวะพักยืดเส้นยืดสาย ชมวิว ณ จุดชมวิวก่อนข้ามสู่เกาะ Olkhlon ที่นี่มีอนุสาวรีย์ของชายพเนจรตั้งอยู่ ริมอ่าว Kurkutsky Bay อนุสาวรีย์นี้เป็นตัวแทนของชายพเนจรในบทเพลงพื้นบ้านผู้ที่หนีการถูกลงโทษ พยายามข้ามทะเลสาบไบคาลกลับสู่เมืองอิรคุตสก์ ด้วยเรือสภาพผุพัง จากจุดนี้เราสามารถมองวิวทิวทัศน์ของทะเลสาบไบคาลได้อย่างชัดเจน
  • เปลี่ยนยานพาหนะสำหรับเดินทางเป็นรถตู้ท้องถิ่นสไตล์รัสเซียที่จะพาเราตะลุยไปบนแผ่นผืนน้ำแข็งอันกว้างใหญ่ ด้วยฝีมือคนขับขั้นเทพ ส่วนสัมภาระของเราจะเดินทางไปรอล่วงหน้าที่ โรงแรม เราจะได้เห็น รถตู้ UAZ เรียกอีกอย่างว่า “Buchanka” เริ่มผลิตตั้งแต่ปี 1941 ในสมัยสงครามโลก จนถึงทุกวันนี้ก็ยังผลิตอยู่ และมีสโลแกนว่า “ทำไมต้องคิดค้นสิ่งใหม่เมื่อสิ่งเก่ายังทำงานได้ดีอยู่”
  • จะแวะถ่ายรูปจุดสวยๆ หลายจุด เช่นถ้ำ น้ำตกน้ำแข็งที่เกิดจากน้ำแข็ง (ในแต่ละปีมีรูปร่างต่างกันไป) ตามสภาวะของอากาศ ความหนาวเย็น และสายลม ชม แหลมคอร์กอย ทางตอนใต้ของเกาะ ซึ่งเป็นบริเวณที่มีการพบ “ซากกำแพงหินโบราณ” ที่สันนิษฐานว่าอาจเคยใช้เป็นแนวป้องกันข้าศึกในอดีต

เดินทางสู่ เกาะโอกอย ซึ่งอยู่ทางตอนใต้ของเกาะโอลคลอน ตั้งอยู่ในเขตทะเลน้อย สถูปพุทธแบบทิเบต สูง 8 เมตร ประดิษฐานบนเกาะเมื่อปี 2005 เพื่อศักการะบูชาบนเกาะ Cape Dragon Island Ogoy อยู่ที่ปลายแหลมของเกาะ เป็นจุด Check in สำคัญของทริปไบคาลจุดหนึ่ง

  • คืนนี้เราจะพักกันที่ Mini Hotel Guest house หรือเทียบเท่า มีน้ำอุ่น มี Heater

Day 4 : Shaman Rock – Three Rock – Khoboy Cape (B/L/D)

  • แหลมบูรคาน หนึ่งในแลนด์มาร์คสำคัญของทะเลสาบไบคาล ที่เป็นที่ตั้งของ “โขดหินชามาน” สถานที่ประกอบพิธีกรรมของหมอผีสื่อวิญญาณตามความเชื่อของชาวไบคาล ก่อนการเผยแพร่ศาสนาพุทธจากทิเบตมายังบริเวณนี้ พร้อมกันกับที่ให้เวลาท่านได้ถ่ายภาพทิวทัศน์ไว้เป็นที่ระลึกตามอัธยาศัย
  • รู้จักชาว ชามาน เกาะ Olkhon นั้นเป็นที่อยู่ของชนพื้นเมือง Buryat ซึ่งเป็นชนกลุ่มน้อยทางตอนเหนือของ Mongols เกาะนี้ได้รับการยกย่องว่าเป็นศูนย์กลางอันศักดิ์สิทธิ์ของชาแมนในซีกโลกเหนือและเชื่อกันว่าเป็น“ หนึ่งในห้าพื้นที่” ของพลังงานชามานิก
  • เสาไม้แกะสัญลักษณ์ เป็นความเชื่อของชาวชามาน ถูกหุ้มด้วยริบบิ้นสีสดใสพริ้วไหวในสายลม เสาทั้ง 13 ต้นนี้เป็นตัวแทนของเทพเจ้า 13 องค์ของเกาะ ถ่ายรูปกับน้ำแข็งรูปทรงแปลกตาสีฟ้า สีส้มตามการสะท้อนของแสงแดดและท้องฟ้า
  • ชมหินสามพี่น้อง หรือ THREE BROTHER ROCK ตำนานท้องถิ่นกล่าวว่ามีพี่น้องสามตนซึ่งเป็นนกอินทรี พวกเขาจะบินเหนือเกาะและเพลิดเพลินกับท้องฟ้า ครั้งหนึ่งพวกเขาผิดคำสาบานที่ให้ไว้กับพ่อ เขาได้กินเนื้อสัตว์ที่ตายแล้ว เขาจึงถูกสาบให้กลายเป็นหิน
  • แหลมโคบอย ทางตอนเหนือสุดของเกาะโอลคอน พร้อมสัมผัสความงามของผืนน้ำแข็งสีฟ้าแวววาวที่โด่งดังในช่วงฤดูหนาว แนวถ้ำน้อยใหญ่
  • คืนนี้เราจะพักกันที่ Mini Hotel Guest house หรือเทียบเท่า มีน้ำอุ่น มี Heater
  • ถ่ายรูปฟองอากาศแข็งตัว • ลายน้ำแข็งที่ร่อนร้าว • ก้อนน้ำแข็งรูปทรงแปลกตา • น้ำตกน้ำแข็ง • ถ้ำน้ำแข็ง • รถตู้ UAZ

Day 5 : Ice crossing – Chivyrkuy Bay – Sacred Nose Penninsula (B/L/D)

  • เดินทางข้ามแผ่นน้ำแข็ง Ice crossing ผืนน้ำแข็งขนาดใหญ่ข้ามไปยังอีกฝั่งชม Chivyrkuy Bay อ่าวที่มีชื่อเสียงที่สุดของทะเลสาบไบคาลฝั่งตะวันออก ท่ามกลางภูเขาหิมะสีขาวและน้ำแข็งสีฟ้าใสในทะเลสาบ
  • Sacred Nose Penninsula อันเป็นคาบสมุทรที่เปรียบเสมือนจมูกแห่งไบคาลก็ว่าได้ เป็นคาบสมุทรขนาดใหญ่เพียงแห่งเดียวในทะเลสาบ Baikal 53 กิโลเมตรและกว้างถึง 20 กิโลเมตร ยอดเขาที่สูงที่สุดคือ 1877 เมตร มีลำธารและแม่น้ำหลายสิบสายไหลผ่าน ชมทะเลสาบไบคาลในมุมที่คนอื่นไม่เคยเห็น
  • พักที่ Chivyrkuy Bay

Day 6 : Barguzin Bay – Ulan Ude – Ivolginsky Datsan – Lenin Head (B/L/D)

  • เดินทางสู่ Barguzin Bay ข้ามผืนแผ่นน้ำแข็ง อันกว้างใหญ่ สู่ชายฝั่งตะวันออกของทะเลสาบไบคาล ชมความสวยงามอันน่าตื่นตาซึ่งถูกขนานนามว่า “end of the world”
  • เดินทางเข้าสู่เมือง Ulan-Ude เมืองหลวงของสาธารณรัฐบูเรียเตียของประเทศรัสเซียและยังเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับสามของแคว้นไซบีเรียด้วย ส่วนตัวเมืองตั้งอยู่ริมแม่น้ำเซเลนกาโดยทางฝั่งใต้จะเป็นทะเลทรายยาวไปจนถึงมองโกเลีย เมืองที่ตั้งริมฝั่งแม่น้ำ Uda ยังมีกลิ่นอายของความเป็นเอเชียหลงเหลืออยู่มาก
  • วัดไอโวลกินสกี้ ดัตซัน วัดของพุทธศาสนานิกายมหายานที่ก่อสร้างตามสไตล์ของทิเบตมีคัมภีร์โบราณภาษาทิเบตและต้นโพธิ์ศักดิ์สิทธิ์เป็นสมบัติอันล้ำค่า สร้างขึ้นในปี 1945 ในฐานะศูนย์รวมจิตวิญญาณแห่งพุทธศาสนา
  • Lenin Head รูปปั้นศรีษะของเลนินขนาดยักษ์ ผู้นำนักปฏิวัติมาร์กซิสคนแรกของโซเวียต รูปหล่อนี้ถูกสร้างขึ้นเมื่อปี 2513 มีความสูง 7 เมตร และหนัก 42 ตัน ตั้งอยู่ ณ จัตุรัสใจกลางเมือง ถนนสายหลักในเมือง ยังคงชื่อ Lenina Street ที่เป็นที่ตั้งของทั้งพิพิธภัณฑ์, โรงแรม และร้านค้าต่างๆ มากมาย
  • เดินเล่นที่ย่าน Arbat ซึ่งเป็นย่านเมืองเก่าของ Ulan Ude ให้ท่านได้สัมผัสบรรยากาศร้านรวง และอาหารท้องถิ่นหลากเมนูที่ขึ้นชื่อ
  • คืนนี้เราจะพักกันที่ โรงแรม Hotel Buryatia หรือเทียบเท่า

Day 7 : Ulan Ude – Irkutsk (B/L/D)

  • นั่งรถไฟทรานไซบีเรีย (Trans-Siberian Railway) สู่เมือง Irkutsk ใช้เวลาในการเดินทางประมาณ 8 ชม. พบกับทัศนียภาพอันสวยงามระหว่างการเดินทางบนเส้นทางระดับตำนานเส้นนี้ ที่มีชื่อเสียงดึงดูดนักเดินทางจากทั่วทุกมุมโลก
  • คืนนี้เราจะพักกันที่ โรงแรม Angara 4* หรือเทียบเท่า

Day 8 : Irkutsk – Murmansk (B/L/D)

  • นำท่านเที่ยวชมภายในตัวเมืองอิรคุตสค์ อาทิเช่น เขตประวัติศาสตร์ ย่าน 130 ที่เต็มไปด้วยอาคารไม้ตามแบบสมัยต้นศตวรรษที่ 18
  • ถนนคาร์ล มาร์กซ์ ที่รายล้อมด้วยอาคารสถาปัตยกรรมสมัยปลายศตวรรษที่ 19 โบราณสถานสำคัญภายในสำนักชี
  • อนุสาวรีย์ยาคอฟ โปคาบอฟ ผู้ก่อตั้งเมืองอิรคุตสก์
  • ประตูชัยมอสโก อนุสรณ์แห่งการครองราชย์ครบ 10 ปีของจักรพรรดิอเล็กซานเดอร์ที่ 1
  • เปลวไฟนิรันดร์ ที่สร้างเพื่อรำลึกถึงทหารเกณฑ์จากดินแดนไซบีเรียผู้เข้าร่วมรบในสงครามโลกครั้งที่สองเมนสกี ซึ่งเป็นอาคารที่เคยถูกใช้งานหลากหลายรูปแบบตลอดสมัยจักรวรรดิรัสเซียและโซเวียต
  • อนุสาวรีย์นายพลคอลชัค หนึ่งในผู้นำการเคลื่อนไหวของกลุ่มรัสเซียขาวในสงครามกลางเมืองหลังการปฏิวัติรัสเซีย
  • อนุสาวรีย์จักรพรรดิอเล็กซานเดอร์ที่ 3 ผู้ดำริให้สร้างทางรถไฟประวัติศาสตร์สายทรานส์ไซบีเรีย
  • เดินทางสู่สนามบิน เพื่อเดินทางสู่เมืองมูรมันสค์
  • เดินทางเข้าที่พักในเมือง Murmansk ***หลังเชคอินโรงแรม ถ้าอากาศเปิดนำท่านออกล่าแสงเหนือ

Day 9 : Murmansk – Teriberka (B/L/D)

  • นำท่านเดินทางเข้าสู่เมือง เทอริเบอก้า (Teriberka) ซึ่งเป็นเมืองชนบทของประเทศรัสเซีย ตั้งอยู่ในแคว้นมูรมันสค์ แถบชายผั่งทะเลบาร์เร้นทส์ (Barents Sea) สัมผัสกับความหนาวเย็นท่ามกลางภูเขาที่ปกคลุมไปด้วยหิมะและธรรมชาติอันสวยงาม
  • เที่ยวชมบริเวณ อ่าวเทอริเบอก้า ซึ่งเต็มไปด้วยบรรยากาศอันเงียบสงบ บริเวณนี้ยังเคยใช้เป็นสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์ชื่อดังของรัสเซีย เรื่อง Leviathan จากนั้นเยี่ยมชมวิถีชีวิตของ หมู่บ้านชาวประมง ที่น่าประทับใจอีกด้วย
  • รับประทานอาหารเที่ยงแบบปิคนิค พาท่านเที่ยวชมเมืองเทอริเบอก้า จนได้เวลาอันสมควร จึงนำท่านเดินทางกลับสู่เมืองมูรมันสค์
  • นำท่านล่าแสงออโรร่าหรือแสงเหนือ ปรากฏการณ์ที่เกิดในฤดูหนาว มองเห็นได้เฉพาะพื้นที่เหนือเส้น รุ้ง 66 ในวันที่ฟ้ามืดสนิทไร้แสงและเมฆรบกวน เราจะเห็นกลุ่มหมอกสีเขียวที่เกิดจากปฏิกิริยาระหว่างสนามแม่เหล็กจากดวงอาทิตย์ กับอนุภาคที่อยู่ในชั้นบรรยากาศ โดยปรากฏการณ์ แสงออโรร่านั้นจะขึ้นอยู่กับสภาพอากาศในขณะนั้นด้วย

*** หากเส้นทางไปเทอริเบอก้า ไม่สามารถเดินทางได้ เช่นหิมะตกหนัก ถนนปิด เราจะเปลี่ยนเส้นทางไปที่  Safari Snow Village แทน ***

  • คืนนี้เราจะพักกันที่เมือง Murmansk

Day 10  : Murmansk – Sami Village  (B/L/D)

  • พาชม หมู่บ้านซามี่ (Sami Village) หมู่บ้านเล็กๆของชนเผ่าพื้นเมืองที่มีอาชีพล่าสัตว์ โดยลักษณะของหมู่บ้านได้สร้างคล้ายกับพิพิธภัณฑ์เพื่อการเรียนรู้วิถีชีวิตชนเผ่า Majestic Idols ประติมากรรมอันเป็นตัวแทนของธรรมชาติ ได้แก่ ไฟ โลก น้ำ อากาศ โดยมีความเชื่อว่าหากมาอธิษฐานขอพรกับประติมากรรมชิ้นนี้ จะทำให้เกิดความโชคดีแก่ตนเอง
  • ฟาร์มกวางเรนเดียร์ ภายในหมู่บ้านจะเห็นชนเผ่าเลี้ยงกวางเรนเดียร์ไว้สำหรับลากเลื่อน และมีสัตว์อื่นๆ อีกมากเช่น สุนัขจิ้งจอก กระต่ายป่า สัมผัสกับความน่ารักแสนรู้ของสุนัขลากเลื่อน ซึ่งตั้งอยู่ท่ามกลางหิมะอันขาวโพลน
  • นำท่านล่าแสงออโรร่าหรือแสงเหนือ ปรากฏการณ์ที่เกิดในฤดูหนาว มองเห็นได้เฉพาะพื้นที่เหนือเส้น รุ้ง 66 ในวันที่ฟ้ามืดสนิทไร้แสงและเมฆรบกวน เราจะเห็นกลุ่มหมอกสีเขียวที่เกิดจากปฏิกิริยาระหว่างสนามแม่เหล็กจากดวงอาทิตย์ กับอนุภาคที่อยู่ในชั้นบรรยากาศ
  • คืนนี้เราจะพักกันที่เมือง Murmansk 

Day 11 : Murmansk – Moscow – Bangkok (B/-/-)

  • ชมอนุสาวรีย์อโลชา (Alyosha Memorial) ที่สร้างขึ้นเพื่ออุทิศให้กับเหล่าทหารกองทัพของโซเวียตที่สามารถตรึงกองกำลังเพื่อหยุดยั้งการรุกคืบจากกองทัพเยอรมัน เป็นรูปปั้นขนาดสูงถึง 5 เมตร สูงเป็นอันดับสองของรัสเซียและมีน้ำหนักกว่า 5,000 ตัน
  • เดินทางสู่สนามบิน เพื่อเดินทางกลับกรุงเทพฯ

Day 12 : Bangkok

  • กลับถึงท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ โดยสวัสดิภาพพร้อมความประทับใจ

10-15 กพ. 66
เริ่มต้น 45,900 บาท

ไปไหนมาดอทคอม • 089-4789334 • 02-045-3445 • Line : @painaima.com • painaima@gmail.com • ติดต่อเรา

ไปไหนมาดอทคอม • ติดต่อเรา

Categories
Northernlight Russia

ทัวร์มูรมันสก์รัสเซีย นั่งรถไฟชมแสงเหนือ

ทัวร์มูรมันสก์

Highlight

Day 1 : Bangkok – Moscow – Murmansk

  • ช่วงเช้า พบกันที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ

Day 2 : Murmansk – Teriberka

  • เดินทางสู่ เมือง เทอริเบอก้า (Teriberka) เมืองชนบทของประเทศรัสเซีย ตั้งอยู่ในแคว้นมูรมันสค์ แคว้นชายฝั่งทะเลบาร์เร้นทส์ (Barents Sea) สัมผัสกับความหนาวเย็นท่ามกลางภูเขาที่ปกคลุมไปด้วยหิมะและธรรมชาติอันสวยงาม
  • อ่าวเทอริเบอก้า ซึ่งเต็มไปด้วยบรรยากาศอันเงียบสงบ บริเวณนี้ยังเคยใช้เป็นสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์ชื่อดังของรัสเซีย เรื่อง Leviathan ชมวิถีชีวิตของ หมู่บ้านชาวประมง ที่น่าประทับใจ
  • อนุสาวรีย์อโลชา (Alyosha Memorial) สร้างขึ้นเพื่ออุทิศให้กับเหล่าทหารกองทัพของโซเวียตที่สามารถตรึงกองกำลังเพื่อหยุดยั้งการรุกคืบจากกองทัพเยอรมัน เป็นรูปปั้นขนาดสูงถึง 5 เมตร สูงเป็นอันดับสองของรัสเซียและมีน้ำหนักกว่า 5,000 ตัน
  • นำท่านล่าแสงออโรร่า หรือแสงเหนือ ปรากฏการณ์ที่เกิดในฤดูหนาว มองเห็นได้เฉพาะพื้นที่เหนือเส้นรุ้ง 66 ในวันที่ฟ้ามืดสนิทไร้แสงและเมฆรบกวน เราจะเห็นกลุ่มหมอกสีเขียวที่เกิดจากปฏิกิริยาระหว่างสนามแม่เหล็กจากดวงอาทิตย์ กับอนุภาคที่อยู่ในชั้นบรรยากาศ
  • คืนนี้เราจะพักกันที่ เมืองมูรมันสค์

Day 3 : Murmansk – Sami Village

  • เดินทางสู่ หมู่บ้านซามี่ (Saami Village) หมู่บ้านเล็กๆของชนเผ่าพื้นเมืองที่มีอาชีพล่าสัตว์ โดยลักษณะของหมู่บ้านได้สร้างคล้ายกับพิพิธภัณฑ์เพื่อการเรียนรู้วิถีชีวิตชนเผ่า ภายในจะเห็นชนเผ่าเลี้ยงกวางเรนเดียร์ไว้สำหรับลากเลื่อน และมีสัตว์อื่นๆอีกมากมาย เช่น สุนัขจิ้งจอก กระต่ายป่า
  • ชม Majestic Idols ประติมากรรมอันเป็นตัวแทนของธรรมชาติ ได้แก่ ไฟ โลก น้ำ อากาศ โดยมีความเชื่อว่าหากมาอธิษฐานขอพรกับประติมากรรมชิ้นนี้ จะทำให้เกิดความโชคดีแก่ตนเอง ไม่ว่าจะเป็น เรื่องของสุขภาพที่ดี รวมถึงเรื่องความรักก็จะสมปรารถนาอีกด้วย
  • เที่ยวชมความน่ารักและให้อาหารฝูงกวางใน ฟาร์มกวางเรนเดียร์ จากนั้นท่านจะได้สัมผัสกับความน่ารักแสนรู้ของสุนัขลากเลื่อน ซึ่งตั้งอยู่ท่ามกลางหิมะอันขาวโพลน
  • Husky Farm ให้ท่านได้ชมความน่ารักของสุนัขแสนรู้ ฮัสกี้ เป็นสุนัขพันธุ์ฉลาดเฉลียวและแข็งแรงมาก โดยอาศัยอยู่ในเขตหนาว ซึ่งชาวแลปป์ได้เลี้ยงสุนัขพันธุ์นี้เพื่อใช้ในการลากเลื่อนบนน้ำแข็งหรือหิมะ ให้ท่านได้สัมผัสประสบการณ์นั่งรถเทียมสุนัขฮัสกี้ลากเลื่อน (Husky Sledding)
  • นำท่านล่าแสงออโรร่าหรือแสงเหนือ ปรากฏการณ์ที่เกิดในฤดูหนาว มองเห็นได้เฉพาะพื้นที่เหนือเส้น รุ้ง 66 ในวันที่ฟ้ามืดสนิทไร้แสงและเมฆรบกวน เราจะเห็นกลุ่มหมอกสีเขียวที่เกิดจากปฏิกิริยาระหว่างสนามแม่เหล็กจากดวงอาทิตย์ กับอนุภาคที่อยู่ในชั้นบรรยากาศ
  • คืนนี้เราจะพักกันที่ เมือง Kirovsk

Day 4 : Snowmobiles – Snow village

  • เดินทางสู่ภูเขาคิบินี (Khibiny Mountains) จุดศูนย์กลางของคาบสมุทรโคล่า สนุกสนานไปกับการนั่ง Snowmobile กลางทุ่งหิมะอันหนาวเย็นท่ามกลางป่าไม้และทะเลสาบน้ำแข็งของภูมิประเทศเขตอาร์กติกที่ไม่เหมือนใคร
  • จากนั้นนำท่านเดินทางสู่เมืองหิมะ (Snow Village) ที่สร้างขึ้นจากหิมะทั้งหมด ที่มีการสร้างประติมากรรมน้ำแข็งเป็นรูปร่างต่างๆที่สวยงาม มีทั้งอาคาร,รูปปั้น, โบสถ์น้ำแข็ง, อุโมงค์ถ้ำ, เฟอร์นิเจอร์ต่างๆ
  • เตรียมตัวไปยังสถานีรถไฟ เพื่อไปเมือง Petrozavodsk ด้วย Night Arctic train (พักห้องละ 4 ท่าน)

Day 5 : Petrozavodsk

  • ตื่นรับแสงแรกแห่งวันบนเส้นทางสาย Arctic Train ถึงเมือง Petrozavodsk เวลา 50 น. เมือง “เปโตรซาวอดสค์”  อดีตเคยเป็นแหล่งผลิตอาวุธยุทโธปกรณ์ที่สำคัญในสมัยจักรวรรดิรัสเซีย ขณะที่ในสมัยโซเวียตเคยถูกยึดครองโดยกองทัพฟินแลนด์ นอกจากนี้ยังเป็นแหล่งกำเนิดของปรากฏการณ์ลึกลับบนท้องฟ้าในช่วงปี ค.ศ. 1977
  • ชมวิวเขตปกครองพิเศษคาเรเลีย ที่ปกคลุมไปด้วยหิมะ สีขาวจากหน้าต่างรถไฟ
  • เดินทางถึง Petrozavodsk เมืองหลวงของสาธารณรัฐคาเรเลีย ตั้งอยู่ริมทะเลสาบ “โอเนกา” ทะเลสาบธารน้ำแข็งที่กว้างใหญ่เป็นอันดับสองในภูมิภาคนี้
  • คืนนี้เราจะพักกันที่ เมือง Petrozavodsk

Day 6 : Petrozavodsk – Moscow – Bangkok

  • เดินทางไปยัง Moscow โดยสายการบินภายในประเทศ
  • แวะช้อปปิ้งที่ ตลาดอิสไมโลโว ตลาดขายของฝากราคาไม่แพง สินค้าที่ขึ้นชื่อได้แก่ตุ๊กตาแม่ลูกดก งานไม้ต่างๆ
  • เตรียมตัวเดินทางสู่สนามบินเชเรมิตเตโวเพื่อเดินทางกลับกรุงเทพฯ

 Day 7 : Bangkok

  • เดินทางถึงกรุงเทพฯ โดยสวัสดิภาพและความประทับใจ

Day 1 : Bangkok – Moscow – St.Petersburg

  • ช่วงเช้า พบกันที่ท่่าอากาศยานสุวรรณภูมิ
  • เดินทางถึงเซนท์ปีเตอร์เบิร์ก เดินทางเข้าเมือง
  • คืนนี้พักที่ Best western Hotel หรือเทียบเท่า

Day 2 : St.Petersburg

  • เมือง peterburg ได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก เดิมชื่อว่าเมืองเปโตรกราดและเลนินกราด เป็นเมืองท่าที่สำคัญในประเทศรัสเซียและเคยเป็นเมืองหลวงของรัสเซียนาน 206 ปี
  • ชม จัตุรัสพระราชวัง ศูนย์กลางของเมืองเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กอีกหนึ่งมรดกโลก ที่นี่ได้บันทึกเหตุการณ์สำคัญในทางประวัติศาสตร์ของประเทศรัสเซียที่เกิดขึ้นหลายต่อหลายครั้ง รวมถึงการลุกฮือซึ่งนำไปสู่การปฏิวัติล้มระบอบซาร์
  • พระราชวังแคทเธอรีน ตั้งอยู่ในเมือง Pushkin เป็นพระราชวังฤดูร้อนที่งดงามมาก สร้างขึ้นสมัยพระเจ้าปีเตอร์มหาราช ในปี คศ. 1717 เพื่อเป็นที่พักผ่อนในฤดูร้อนกับพระมเหสี พระนางแคทเธอรีนที่ 1 สีของพระราชวังนี้สีฟ้าแทนพระเนตรของพระนางเเละสีทองแทนพระเกศา มีสวนแห่งความสุข ความทรงจำและห้องภาพต่างๆด้วยศิลปะคลาสสิกภายในเน้นตกแต่งประดับประดาผนังห้องด้วยลายปูนปั้นต่างๆ เพดานเขียนภาพแฟรสโก้
  • ห้องอำพัน ตั้งอยู่ภายในพระราชวังแคทเธอรีน เป็นห้องที่ผนังทำด้วยอำพันทั้งสิ้น 6 ตัน ทั้งห้องตกแต่งด้วยทองคำเปลวและกระจก มีความมหัศจรรย์ สวยงามเป็นอย่างมากจนทุกคนต้องตลึง
  • วิหารเซนต์ไอแซค ใช้เป็นสถานที่ในการประกอบพิธีกรรมสำคัญต่างๆ เช่นพิธีราชาภิเษกหรือใช้ทำพิธีก่อนพระราชาจะออกไปรบ โดมของวิหารประดับด้วยทองคำแท้น้ำหนักกว่า 100 กิโลกรัม ด้านนอกเป็นเสาหินอ่อนขนาดใหญ่ จึงทำให้มีความโดดเด่นเป็นสง่า มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว
  • อนุสาวรีย์ซาร์ปีเตอร์บนหลังม้า เป็นแลนด์มาร์คที่สำคัญของเมืองเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก ที่สร้างขึ้นมาเพื่ออุทิศให้กับพระเจ้าซาร์ปีเตอร์มหาราช ผู้ซึ่งวางรากฐานอันมั่นคงให้กับเมืองเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กรวมถึงจักรวรรดิรัสเซีย
  • จัตุรัสรัฐสภา อดีตเคยเป็นจตุรัสกลางเมือง เคยถูกเปลี่ยนชื่อเป็น Decemrists square ในปี 1925 เพื่อระลึกถึงการครบรอบ 100 ปีของการเกิดปฏิวัติเดือนธันวาคมในปี 1825 และถูกเปลี่ยนชื่ออีกครั้งในปี 2008 มาเป็น Senetor square จนถึงทุกวันนี้
  • สเตรลคา (Strelka) หรือ “แหลม” ในภาษาอังกฤษ เป็นจุดชมวิวมหานครที่น่าตื่นตาตื่นใจ จากจุดนี้สามารถชมเมืองเป็นฉากหลงอันยิ่งใหญ่ มีแม่น้ำเนวาอันกว้างใหญ่เป็นฉากหน้า
  • Rostral column เสาหินสีแดง 2 ต้น สร้างเมื่อ ค.ศ. 1810 เคยเป็นประภาคารสำหรับการเดินเรือ เสา 2 ต้นนี้ สูง 32 เมตร ตั้งอยู่บนเกาะวาซิลเยฟสกี้ฝั่งแม่น้ำเนวา ตรงข้ามพระราชวังฤดูหนาว (Hermitage) อีกด้านของเสาเป็นอาคารตลาดหลักทรัพย์ รูปแบบเสาเป็นรูปหัวเรือและมีแม่ย่านางเรือ ฐานสลักหินรูปเทพเจ้า Neptune และ Merkury เทพผู้ปกครองท้องทะเลและการเดินเรือ
  • ชม “ป้อมปีเตอร์และปอล” ตั้งอยู่บน เกาะวาซิลเยฟสกี้ เป็นสิ่งก่อสร้างแรกที่สร้างในเมืองเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก ตั้งอยู่ ณ ริมฝั่งแม่น้ำเนวา ป้อมปราการสร้างขึ้นเป็นรูปทรงหกเหลี่ยม เพื่อคุ้มกันเมืองจากศัตรูทางน้ำ รวมถึง อนุสรณ์แห่งชัยชนะสงครามเหนือสวีเดน
  • คืนนี้พักที่ Best western Hotel หรือเทียบเท่า

Day 3 : St.Petersburg – Murmansk

  • นำชม พิพิธภัณฑ์แห่งชาติเฮอร์มิเทจ หนึ่งในพิพิธภัณฑ์ที่เก่าแก่และใหญ่ที่สุดในโลก อาคารจัดแสดงหลักตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำเนวา อดีตเคยเป็นพระราชวังที่ประทับของจักรพรรดิและจักรพรรดินีแห่งรัสเซียในช่วงฤดูหนาว รวบรวมผลงานชิ้นเอกของศิลปินระดับโลก เครื่องใช้ของราชวงศ์ รวมถึงบรรณาการจากราชวงศ์ทั่วโลก จัดแสดงในห้องซึ่งประดับประดาอย่างงดงามกว่าพันห้อง
  • ชม “ถนนเนฟสกี” ถนนสายหลักใจกลางเมือง เซนต์ปีเตอร์สเบิร์กที่สองข้างทางเต็มไปด้วยทิวทัศน์อาคารซึ่งสร้างขึ้นตั้งแต่ศตวรรษที่ 18
  • ออกเดินทางไปยังมูรมันสค์ โดยสายการบินภายในประเทศ
  • คืนนี้เราจะพักกันที่ เมืองมูรมันสค์ หลังเชคอินพาท่านออกล่าแสงเหนือ

Day 4 : Murmansk – Teriberka

  • เดินทางสู่ เมือง เทอริเบอก้า (Teriberka) เมืองชนบทของประเทศรัสเซีย ตั้งอยู่ในแคว้นมูรมันสค์ แถบชายฝั่งทะเลบาร์เร้นทส์ (Barents Sea) สัมผัสกับความหนาวเย็นท่ามกลางภูเขาที่ปกคลุมไปด้วยหิมะและธรรมชาติอันสวยงาม
  • อ่าวเทอริเบอก้า ซึ่งเต็มไปด้วยบรรยากาศอันเงียบสงบ บริเวณนี้ยังเคยใช้เป็นสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์ชื่อดังของรัสเซีย เรื่อง Leviathan ชมวิถีชีวิตของ หมู่บ้านชาวประมง ที่น่าประทับใจ
  • อนุสาวรีย์อโลชา (Alyosha Memorial) สร้างขึ้นเพื่ออุทิศให้กับเหล่าทหารกองทัพของโซเวียตที่สามารถตรึงกองกำลังเพื่อหยุดยั้งการรุกคืบจากกองทัพเยอรมัน เป็นรูปปั้นขนาดสูงถึง 35.5 เมตร สูงเป็นอันดับสองของรัสเซียและมีน้ำหนักกว่า 5,000 ตัน
  • นำท่านล่าแสงออโรร่า หรือแสงเหนือ ปรากฏการณ์ที่เกิดในฤดูหนาว มองเห็นได้เฉพาะพื้นที่เหนือเส้น รุ้ง 66 ในวันที่ฟ้ามืดสนิทไร้แสงและเมฆรบกวน เราจะเห็นกลุ่มหมอกสีเขียวที่เกิดจากปฏิกิริยาระหว่างสนามแม่เหล็กจากดวงอาทิตย์ กับอนุภาคที่อยู่ในชั้นบรรยากาศ
  • คืนนี้เราจะพักกันที่ เมืองมูรมันสค์

Day 5 : Murmansk – Sami Village

  • เดินทางสู่ หมู่บ้านซามี่ (Sami Village) หมู่บ้านเล็กๆของชนเผ่าพื้นเมืองที่มีอาชีพล่าสัตว์ โดยลักษณะของหมู่บ้านได้สร้างคล้ายกับพิพิธภัณฑ์เพื่อการเรียนรู้วิถีชีวิตชนเผ่า ภายในจะเห็นชนเผ่าเลี้ยงกวางเรนเดียร์ไว้สำหรับลากเลื่อน และมีสัตว์อื่นๆ อีกมากมาย เช่น สุนัขจิ้งจอก กระต่ายป่า
  • ชม Majestic Idols ประติมากรรมอันเป็นตัวแทนของธรรมชาติ ได้แก่ ไฟ โลก น้ำ อากาศ โดยมีความเชื่อว่าหากมาอธิษฐานขอพรกับประติมากรรมชิ้นนี้ จะทำให้เกิดความโชคดีแก่ตนเอง ไม่ว่าจะเป็น เรื่องของสุขภาพที่ดี รวมถึงเรื่องความรักก็จะสมปรารถนาอีกด้วย
  • เที่ยวชมความน่ารักและให้อาหารฝูงกวางใน ฟาร์มกวางเรนเดียร์ จากนั้นท่านจะได้สัมผัสกับความน่ารักแสนรู้ของสุนัขลากเลื่อน ซึ่งตั้งอยู่ท่ามกลางหิมะอันขาวโพลน
  • Husky Farm ให้ท่านได้ชมความน่ารักของสุนัขแสนรู้ ฮัสกี้ เป็นสุนัขพันธุ์ฉลาดเฉลียวและแข็งแรงมาก โดยอาศัยอยู่ในเขตหนาว ซึ่งชาวแลปป์ได้เลี้ยงสุนัขพันธุ์นี้เพื่อใช้ในการลากเลื่อนบนน้ำแข็งหรือหิมะ ให้ท่านได้สัมผัสประสบการณ์นั่งรถเทียมสุนัขฮัสกี้ลากเลื่อน (Husky Sledding) ได้เวลาสมควรเดินทางต่อสู่เมือง Kirovsk
  • นำท่านล่าแสงออโรร่าหรือแสงเหนือ ปรากฏการณ์ที่เกิดในฤดูหนาว มองเห็นได้เฉพาะพื้นที่เหนือเส้น รุ้ง 66 ในวันที่ฟ้ามืดสนิทไร้แสงและเมฆรบกวน เราจะเห็นกลุ่มหมอกสีเขียวที่เกิดจากปฏิกิริยาระหว่างสนามแม่เหล็กจากดวงอาทิตย์ กับอนุภาคที่อยู่ในชั้นบรรยากาศ
  • คืนนี้เราจะพักกันที่ เมือง Kirovsk

Day 6 : Snowmobiles – Snow village

  • เดินทางสู่ภูเขาคิบินี (Khibiny Mountains) จุดศูนย์กลางของคาบสมุทรโคล่า สนุกสนานไปกับการนั่ง Snowmobile กลางทุ่งหิมะอันหนาวเย็นท่ามกลางป่าไม้และทะเลสาบน้ำแข็งของภูมิประเทศเขตอาร์กติกที่ไม่เหมือนใคร
  • จากนั้นนำท่านเดินทางสู่เมืองหิมะ (Snow Village) ที่สร้างขึ้นจากหิมะทั้งหมด ที่มีการสร้างประติมากรรมน้ำแข็งเป็นรูปร่างต่างๆที่สวยงาม มีทั้งอาคาร,รูปปั้น, โบสถ์น้ำแข็ง, อุโมงค์ถ้ำ, เฟอร์นิเจอร์ต่างๆ
  • เตรียมตัวไปยังสถานีรถไฟ เพื่อไปเมือง Petrozavodsk ด้วย Night Arctic train (พักห้องละ 4 ท่าน)

Day 7 : Petrozavodsk

  • ตื่นรับแสงแรกแห่งวันบนเส้นทางสาย Arctic Train ถึงเมือง Petrozavodsk เวลา 14.50 น. เมือง “เปโตรซาวอดสค์”  อดีตเคยเป็นแหล่งผลิตอาวุธยุทโธปกรณ์ที่สำคัญในสมัยจักรวรรดิรัสเซีย ขณะที่ในสมัยโซเวียตเคยถูกยึดครองโดยกองทัพฟินแลนด์ นอกจากนี้ยังเป็นแหล่งกำเนิดของปรากฏการณ์ลึกลับบนท้องฟ้าในช่วงปี ค.ศ. 1977 
  • ชมวิวเขตปกครองพิเศษคาเรเลีย ที่ปกคลุมไปด้วยหิมะ สีขาวจากหน้าต่างรถไฟ ช่วงบ่าย เดินทางถึง Petrozavodsk เมืองหลวงของสาธารณรัฐคาเรเลีย ตั้งอยู่ริมทะเลสาบ “โอเนกา” ทะเลสาบธารน้ำแข็งที่กว้างใหญ่เป็นอันดับสองในภูมิภาคนี้
  • พักที่ Petrozavodsk

Day 8 : Petrozavodsk – Moscow

  • เดินทางไปยังเมือง Moscow โดยสายการบินภายในประเทศ
  • นำชม จัตุรัสแดง สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 15 เพื่อปรับปรุงด้านความปลอดภัยให้กับพระราชวังเครมลิน จึงเป็นลานประวัติศาสตร์ใจกลางกรุงมอสโกที่มีความสำคัญ เป็นแลนมาร์คของรัสเซียมาอย่างยาวนาน เป็นศูนย์กลางของการค้าขายในสมัยก่อน ต่อมาได้ถูกปรับปรุงพัฒนาตามยุคสมัย และรายล้อมไปด้วยสถานที่สำคัญต่างมากมาย นอกจากนั้นจัตุรัสแดงยังถูกใช้เป็นสถานที่สำหรับการเดินสวนสนามของทหาร การประกอบพิธีสำคัญระดับประเทศ
  • ห้างสรรพสินค้า GUM ตั้งอยู่ย่านจัตุรัสแดง เป็นห้างที่เก่าแก่มากที่สุดในกรุงมอสโก สร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1895 มีความโดดเด่นขึ้นชื่อด้านสถาปัตยกรรมแบบยุคโบราณที่สวยงามโดดเด่น ลักษณะของห้างสร้างเป็นตัวอาคารสูง 3 ชั้น ภายนอกดูหรูหรา ตกแต่งได้อย่างสวยงาม ภายในโออ่าใหญ่โต มีสินค้าให้เลือกมากมาย
  • สุสานเลนิน หลังจากที่ วลาดีมีร์ เลนิน อดีตผู้นำปฏิว้ติรัสเซียได้เสียชีวิตลงแล้ว ก็ได้มีการสร้างสุสานเลนินขึ้นมาที่บริเวณจตุรัสแดง กลางกรุงมอสโก จนแล้วเสร็จ เมื่อปี ค.ศ. 1929 รูปแบบของสุสานมีความโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ เป็นทรงพีระมิด มีความสูงราว 12 เมตร โดยมีกระบวนการต่างๆที่เก็บรักษาร่างของเลนินไว้ เช่น การเก็บไว้ในอุณหภูมิที่เหมาะสม เป็นต้น สำหรับสุสานเลนินแห่งนี้ได้เปิดให้ประชาชนได้เคารพศพและเข้าชมอีกด้วย
  • วิหารเซนต์บาซิล ตั้งอยู่บริเวณจัตุรัสแดง เป็นวิหารที่สร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ.1555 เพื่อฉลองชัยชนะเหนือมองโกลที่ยกทัพมาเมืองคาซาน ด้วยรูปแบบของวิหารเซนต์บาซิล ที่มีลักษณะแปลกตาแต่สวยงามลงตัว เพราะสร้างให้มีโดมรูปทรงหัวหอม 8 โดม ล้อมรอบโดมที่ 9 ซึ่งอยู่ตรงกลาง จึงกลายเป็นสัญลักษณ์ในกรุงมอสโกที่โดดเด่นไม่เหมือนใคร จึงดึงดูดความสนใจของผู้มาเยือนได้เป็นอย่างดี
  • อนุสาวรีย์มินินและโปชาร์สกี อนุสาวรีย์แห่งนี้ตั้งอยู่ใจกลางจัตุรัสแดง เป็นอนุสาวรีย์ที่หล่อด้วยทองสำริด สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2361 หลังจากที่มินินและโปชาร์สกี้ สองผู้นำอาสาสมัครนำกองกำลังเพื่อต่อสู้กับกองทัพโปลที่เข้ามารุกรานในเขตเครมลิน จนได้รับชัยชนะในที่สุด จึงมีการสร้างอนุสาวรีย์แห่งนี้ขึ้นมา
  • คืนนี้พักที่ Best western หรือเทียบเท่า

Day 9 : Moscow – Bangkok

  • เครมลินแห่งกรุงมอสโก สถานที่ซึ่งมากไปด้วยความสำคัญของรัสเซีย เพราะเป็นคำเรียกป้อมปราการในกรุงมอสโก มีความสำคัญคือเป็นศูนย์กลางของกรุงมอสโกมาตั้งแต่สมัยศตวรรษที่ 15 มาจนถึงปัจจุบัน สถานที่แห่งนี้ จึงเป็นศูนย์รวมอำนาจรัฐของรัสเซียมาจนถึงปัจจุบัน เครมลินจึงเป็นที่ตั้งของหน่วยงานราชการหลายแห่ง และใช้เป็นที่พักอาศัยของผู้นำรัสเซีย ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรมของยูเนสโก เมื่อ ค.ศ. 1990
  • หอระฆังพระเจ้าซาร์อิวานมหาราช สร้างโดยเจ้าชายอิวาน ความสูงมากถึง 81 เมตร จึงกลายเป็นหอระฆังที่มีความสูงมากที่สุดในโลก ส่วน “ระฆังพระเจ้าซาร์” เป็นระฆังที่มีน้ำหนักกว่า 200 ตัน จึงถูกเรียกว่าเป็นระฆังที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลกเช่นกัน ตัวระฆังภายนอกได้ถูกสลักลวดลายต่างๆไว้อย่างวิจิตรสวยงาม
  • ชม ปืนใหญ่พระเจ้าซาร์ อีกหนึ่งสถาปัตยกรรมที่เก่าแก่ เป็นปืนที่ไม่เคยใช้งานมาก่อน สร้างขึ้นเมื่อ ค.ศ. 1586 ขนาดของปืนมีน้ำหนักมากถึง 40 ตัน จึงกลายเป็นปืนที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก บริเวณด้านหน้าปืน ปรากฎลูกกระสุนอยู่ 4 ลูก โดยแต่ละลูกมีน้ำหนักราว 1 ตัน
  • ชมภายใน จัตุรัสวิหาร ที่ล้อมรอบด้วยวิหาร 3 แห่ง ซึ่งเคยใช้ประกอบพิธีของสมาชิกราชวงศ์โรมานอฟ ได้แก่วิหารแม่พระรับเกียรติ ที่ใช้ประกอบพิธีราชาภิเษก วิหารแม่พระรับสาร โบสถ์ประจำราชวงศ์สำหรับงานพิธีมงคล และ วิหารอัครทูตสวรรค์ สถานที่บรรจุพระศพของสมาชิกราชวงศ์ซาร์รัสเซียยุคก่อนจักรวรรดิ
  • แวะช้อปปิ้งที่ ตลาดอิสไมโลโว ตลาดขายของฝากราคาไม่แพง สินค้าที่ขึ้นชื่อ ได้แก่ ตุ๊กตาแม่ลูกดก งานไม้ต่างๆ
  • ได้เวลาสมควรเตรียมตัวเดินทางสู่สนามบินเชเรมิตเตโว เพื่อเดินทางกลับกรุงเทพฯ

Day 10 : Bangkok

  • เดินทางถึงกรุงเทพฯ โดยสวัสดิภาพและความประทับใจ

ยังไม่มีบิน

ไปไหนมาดอทคอม • 089-4789334 • 02-045-3445 • Line : @painaima.com • painaima@gmail.com • ติดต่อเรา

ไปไหนมาดอทคอม • ติดต่อเรา

Categories
Mid Asia

ทัวร์จอร์เจีย อาร์เมเนีย อาเซอร์ไบจาน

ทัวร์จอร์เจีย อาร์เมเนีย อาเซอร์ไบจาน

สรุปทริป

โปรแกรมเต็ม

Day 1 : Bangkok 

  • ช่วงคำนัดพบที่สนามบินสุวรรณภูมิ

Day 2 : Dubai – Baku – Gobustan – Rock Painting – Mud Volcanoes

  • เดินทางถึงสนามบินบากู ประเทศอาเซอร์ไบจาน
  • นำท่านเดินทางสู่ เมืองโกบัสตาน (Gobustan) ตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของเมืองบากู เป็นบริเวณที่มีชื่อเสียงมากที่สุด เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีการแกะสลักภาพบนหินของมนุษย์ที่งดงาม
  • ให้ท่านชมความสวยงามของภูเขาหินที่มีการแกะสลักภาพที่เป็นรูปต่างๆ ณ พิพิธภัณฑ์เปิด Rock Painting Open-air Museum ซึ่งได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกในปี ค.ศ.2007 เช่น ภาพการล่าสัตว์ รูปคนเต้นรำ เรือ หมู่ดาวและสัตว์ต่างๆ
  • นำท่านเดินทางสู่ ภูเขาโคลน หรือ Mud Volcanoes หนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงของประเทศอาร์เซอร์ไบจาน และถูกบันทึกลงในกินเนส (Guinness World Record) เมื่อ 5 ก.ย. 2004 ชมความแปลกประหลาดและสวยงามของภูเขาโคลนที่มีชื่อเสียง (Mud Domes) ซึ่งเกิดขึ้นที่บริเวณนี้มีอยู่ประมาณ 700 แห่ง ภูเขาดินโคลนนี้เกิดจากดินเหลวที่อยู่ใต้ดิน ก๊าซและน้ำที่ร้อนเมื่อถูกผสมรวมกัน ก็จะมีการพุ่งขึ้นมาบนพื้นดินเป็นรูปกรวยหรือโดมที่สวยงาม
  • คืนนี้พักที่เมือง Baku

Day 3 : Baku – Icheri Shekher – Palace of Shirvansshakh -Caravansaray – Ateshgah of Baku – Absheron – YanarDag – Tbilisi 

  • นำท่านเที่ยวชม เมืองบากู (Baku) เมืองหลวงและเมืองใหญ่ที่สุดของอาเซอร์ไบจาน ตั้งอยู่ชายฝั่งทางใต้ของคาบสมุทรเล็ก ๆ ที่ยื่นออกไปในทะเลแคสเปียนชื่ออับชิรอน (Abseron) ประกอบด้วยพื้นที่ 3 ส่วน คือ ย่านเมืองเก่า (อิตแชรีแชแฮร์) ตัวเมืองปัจจุบัน และตัวเมืองที่สร้างขึ้นในสมัยโซเวียต
  • จากนั้นนำท่านเดินทางสู่ Icheri Shekher หรือ Inner Town of Baku เมืองนี้ตั้งอยู่ใจกลางกรุงเป็นเมืองที่ถูกสร้างขึ้นโดยมีกำแพงป้อมล้อมรอบและรอบกำแพงจะมีการสร้างเป็นป้อมหอคอยซึ่งมีทั้งหมด 25 แห่งและมีประตูทางเข้าออกถึง 5 แห่ง
  • นำท่านชม พระราชวังแห่งราชวงศ์เชอร์วาน (Palace of Shirvanshahs) สถานที่พำนักของกษัตริย์แห่งราชวงศ์ชีวานผู้ซึ่งครองราชย์มาอย่างยาวนาน ในช่วงศตวรรษที่ 14-17
  • แวะชม คาราวานซาราย (Caravansaray) หรือที่พักแรมของกองคาราวานในยุคค้าขายแห่งเส้นทางสายไหมที่เดินทางมาแวะพักที่เมืองนี้ ที่ถูกสร้างขึ้นมาในศตวรรษที่ 18 และศตวรรษที่ 19
  • เดินทางไปยัง Ateshgah of Baku หรือ Fire Temple of Baku วัดศาสนาฮินดูที่รูปทรงคล้ายปราสาท ตามหลักฐานทางประวัติศาสตร์ของชาวเปอร์เซียและชาวอินเดีย มีจารึกบ่งชี้ว่า สถานที่แห่งนี้ถูกใช้เป็นสถานที่สำหรับบูชาสักการะตามหลักความเชื่อทางศาสนาของคนท้องถิ่น คือ ศาสนาฮินดู ศาสนาซิกซ์ และศาสนาโซโรอัสเตอร์ (ศาสนาโบราณของชาวอิหร่าน) สถานที่แห่งนี้ถูกสร้างขึ้นช่วงศตวรรษที่ 17 และ 18 ไว้สำหรับประกอบพิธีทางศาสนา
  • จากนั้นนำท่านเดินทางต่อสู่แหลมอับเชรอน Absheron ซึ่งเป็นสถานที่ที่ตั้งอยู่บนชั้นของก๊าซธรรมชาติที่ปะทุอยู่ในเปลวไฟอย่างต่อเนื่อง
  • นำท่านสู่ ยูนาร์แดก (Yanar Dag) หรือที่แปลได้ในภาษาท้องถิ่นว่า “Burning Mountain”เป็นแหล่งก๊าซธรรมชาติไฮโดรคาร์บอนที่พวยพุ่งออกมาจากพื้นพิภพผ่านชั้นหินทรายขึ้นมาเป็นแหล่งไฟธรรมชาติที่สวยงาม ทำให้ประเทศอาเซอร์ไบจานถูกขนานนามว่าเป็นดินแดนแห่งอัคคี (Land of Fire)
  • นำท่านเดินทางสู่สนามบินบากูเพื่อเช็คอินออกเดินทางไปสู่ สนามบิน ทบิลิซี่ โดยสายการบินภายในประเทศ
  • เดินทางถึงสนามบินทบิลิซี่ ประเทศจอร์เจีย
  • คืนนี้พักที่เมือง Tbilisi

Day 4 : Tbilisi – Georgia – Ananuri Fortress – Zhinvali reservoir  Gergeti Trinity Church – Kazbegi

  • ระหว่างทางให้ท่านได้ชมป้อมอนานูรี (Ananuri Fortress) เป็นสถานที่ก่อสร้างอันเก่าแก่มีกำแพงล้อมรอบและตั้งอยู่ริมแม่น้ำอรักวี ที่ตั้งอยู่ห่างจากทบิลิซีประมาณ 45 กม.ซึ่งถูกสร้างขึ้นให้เป็นป้อมปราการในศตวรรษที่ 16-17 ภายในยังมีโบสถ์ 2 หลังที่ถูกสร้างได้อย่างงดงามและยังมีหอคอยที่สูงใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่
  • ชมทิวทัศน์อันสวยงามของเบื้องล่างและอ่างเก็บน้ำซินวาลี (Zhinvali Reservoir) และยังมีเขื่อนซึ่งเป็นสถานที่สำคัญสำหรับนำน้ำที่เก็บไว้ส่งต่อไปยังเมืองหลวง พร้อมกับผลิตกระแสไฟฟ้าอีกด้วย
  • นำท่านสัมผัสบรรยากาศในการท่องเที่ยว โดยการนั่ง 4WD เพื่อชมโบสถ์เกอร์เกตี้ (Gergeti Trinity Church) ถูกสร้างขึ้นในราวศตวรรษที่ 14 หรือมีชื่อเรียกกันว่าสมินดา ซาเมบา (Tsminda Sameba) ซึ่งเป็นชื่อที่เรียกที่นิยมกันของโบสถ์ศักดิ์แห่งนี้สถานที่แห่งนี้ตั้งอยู่ริมฝั่งขวาของแม่น้ำชคเฮรี ที่อยู่บนเทือกเขาของคาซเบกี้
  • นำท่านเดินทางสู่เมืองคาซเบกิ (Kazbegi) ซึ่งเป็นชื่อเมืองอันดั้งเดิม แต่ปัจจุบันได้เปลี่ยนมาเป็นชื่อ สเตพ้านท์สมินด้า (Stepantsminda) หลังจากนักบุญในนิกายออร์โธด๊อก ชื่อสเตฟานได้มาพำนักอาศัยและก่อสร้างสถานที่สำหรับจำศีลภาวนาขึ้นมาเมืองคาซเบกี้ เป็นเมืองเล็กๆที่ตั้งอยู่ตามริมฝั่งแม่น้ำเทอร์กี้ที่มีความยาวประมาณ 157 กม. และตั้งอยู่บนความสูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 1,740 เมตร ในฤดูร้อนจะมีอุณหภูมิที่อยู่ปานกลาง และในฤดูหนาวมีอากาศเย็นและยาวนาน อิสระให้ท่านได้เดินเล่นและพักผ่อน
  • คืนนี้พักที่เมือง Kazbegi

Day 5 : Museum of Stalin – Mtskheta – Gori – Uplistsikhe – Tbilisi 

  • นำท่านชมพิพิธภัณฑ์ของสตาลิน (Museum of Stalin) ซึ่งเป็นสถานที่ที่ได้รวบรวมสิ่งของเครื่องใช้ต่างๆ พร้อมทั้งเรื่องราวต่างๆของสตาลิน และยังมีการแสดงถึงประวัติชีวิตตั้งแต่เกิดจนกระทั่งเสียชีวิต
  • นำท่านเดินทางสู่ เมืองมิทสเคต้า (Mtskheta) ที่ตั้งอยู่ทางด้านเหนือ ห่างจากกรุงทบิลิซีประมาณ 20 กม. เมืองนี้นับว่าเป็นเมืองที่มีความเก่าแห่งหนึ่งของประเทศและในปัจจุบันเป็นศูนย์กลางการปกครองของแคว้นมอสเคต้าและเทียนิตี้ มีประชากรอาศัยอยู่ประมาณ 20,000 คน เนื่องจากมีโบราณสถานทางด้านประวัติศาสตร์มากมายหลายแห่ง จึงได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลกในปี ค.ศ.1994 
  • จากนั้นนำท่านชม วิหารสเวติสโคเวลี (Svetitskhoveli Monastery) สัญลักษณ์ของการเปลี่ยนความเชื่อมานับถือศานาคริสต์ซึ่งกลายมาเป็นศาสนาประจำชาติเมื่อปี ค.ศ. 337 และเป็นสิ่งก่อสร้างยุคโบราณที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของจอร์เจีย สร้างขึ้นในคริสตวรรษที่ 11 ภายในจะมีภาพเขียนเฟรสโก้ที่สวยงามประดับอยู่
  • นำท่านไปชมวิหารจวารี (Jvari Monastery) ซึ่งเป็นวิหารในรูปแบบของคริสต์ศาสนาออร์โธดอกซ์ที่ถูกสร้างขึ้นในราวศตวรรษที่ 6 วิหารแห่งนี้ตั้งอยู่บนภูเขาที่มีแม่น้ำสองสายไหลมาบรรจบกัน คือ แม่น้ำมิควารี และแม่น้ำอรักวีและถ้ามองออกไปข้ามเมืองมิทสเคต้าไปยังบริเวณที่กว้างใหญ่ซึ่งในอดีตเคยเป็นอาณาจักรของไอบีเรีย (Kingdom of Iberia) ซึ่งได้เคยปกครองดินแดนในบริเวณนี้ตั้งแต่ 400 ปีก่อนคริสตกาลจนถึงราวคริสต์ศตวรรษที่ 5
  • ออกเดินทางไปยัง เมืองกอรี (GORI) ซึ่งอยู่ทางด้านตะวันตก เป็นเมืองหลวงและศูนย์กลางการปกครองของจังหวัดชีดา คาร์ทลี เป็นเมืองที่ตั้งอยู่บนเนินเขา ในอดีตเคยมีความสำคัญทางด้านทหารในยุคกลางเป็นที่ตั้งของกองกำลังที่อยู่บนถนนสายสำคัญที่เชื่อมกับทางด้านตะวันออกและด้านตะวันตก นอกจากนั้นเมืองนี้ยังเป็นเมืองบ้านเกิดของ โจเซฟ สตาลิน อดีตผู้นำที่มีชื่อเสียงของพรรคคอมมิวนิสต์โซเวียตและอเล็กซานเดอร์ นาดีราซี ผู้เป็นนักออกแบบชื่อดังในด้านจรวดขีปนาวุธข้ามทวีปของโซเวียต
  • นำท่านเดินทางสู่ เมืองอัพลิสต์ซิเคห์ (Uplistsikhe) เป็นบริเวณถ้ำที่ถูกทำขึ้นเพื่อเป็นที่อยู่อาศัยของมนุษย์ในยุคการเริ่มต้นราวศตวรรษที่ 8-7 ก่อนคริสตกาล ซึ่งในอดีตเป็นเส้นทางการค้าขายสินค้าจากอินเดียสู่ทางด้านเหนือแถบหมู่บ้านมทวารีและหุบเขารีโอนีไปยังทะเลดำและต่อไปยังด้านตะวันตก ทำให้เกิดการพัฒนาการเป็นเมืองต่างๆหลายเมือง และอัพลิสต์ซิคห์ ก็เป็นเมืองหนึ่งที่เป็นศูนย์กลางการค้าได้ถูกสร้างขึ้นในราวพันปีก่อนคริสตกาล ต่อมาก็ได้ถูกขยายออกไปจนกว้างขวาง
  • เดินทางกลับเมือง Tbilisi เมืองหลวงของ ประเทศจอร์เจีย (Georgia)
  • นำท่านเที่ยวชม ย่านเมืองเก่าแห่งนครหลวงทบิลิซี่ (Old town of Tbilisi) ซึ่งมองไปทางไหนก็เห็นแต่ความอ่อนหวานของสีสันอาคารบ้านเรือน สถาปัตยกรรมอันโดดเด่นที่ผสมผสานศิลปะแบบเปอร์เซียและยุโรป อาจกล่าวได้ว่า นี่คือการบรรจบกันของตะวันออกและตะวันตกของประเทศที่ตั้งอยู่ระหว่างสองทวีปอย่างจอร์เจีย เกิดเป็นศิลปะแบบจอร์เจียที่มีเอกลักษณ์
  • คืนนี้พักที่ เมือง Tbilisi

Day 6 : Tbilisi – Peace bridge – Narigala Fortress – Metekhi Church  Sadakhlo

  • นำท่านถ่ายรูปกับสะพานสันติภาพ (Peace bridge) สะพานความยาว 150 เมตรซึ่งเชื่อมระหว่างตัวเมืองเก่าและเมืองใหม่ เปิดใช้งานครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ.2010 จัดว่าเป็นงานสถาปัตยกรรมยุคใหม่ที่สวยงามชิ้นหนึ่งซึ่งพาดผ่านแม่น้ำคูรา
  • จากนั้นนำท่านนั่งกระเช้าเคเบิ้ลขึ้นชม ป้อมนาริกาลา (Narigala Fortress) ป้อมปราการโบราณสมัยยุคศตวรรษที่ 4 ซึ่งนักประวัติศาสตร์ยกย่องว่าเป็นป้อมปราการป้อมหนึ่งบนเส้นทางสายไหมที่แข็งแกร่งและตีได้ยากที่สุด อิสระให้ท่านได้เก็บภาพมุมสูงของเมืองทบิลิซตามอัธยาศัย
  • หลังจากนั้นนำท่านชม โบสถ์เมเตคี (Metekhi Church) โบสถ์เก่าแก่อายุราว 800 ปีซึ่งสร้างอุทิศให้แก่พระแม่มารีตั้งอยู่เหนือเนินผาสูงริมแม่น้ำมิทควารี (Mtkvari River) โดยมีอนุสาวรีย์ทรงม้าของกษัตริย์ Vakhtang Gorgasali ผู้สถาปนาทบิลิซีเป็นนครหลวง ตั้งตระหง่านอยู่คู่กัน ในอดีตโบสถ์ถูกทำลายและได้รับการบูรณะอยู่หลายครั้ง เคยถูกใช้เป็นคุกในยุคที่ราชวงศ์ซาร์สปกครอง และเปลี่ยนมาเป็นโรงละครในยุคโซเวียต และได้รับการบูรณะล่าสุดปลายปี 1980 เพื่อเป็นโบสถ์ออร์โธดอกซ์ของเมือง
  • เดินทางสู่ เมืองซาดาโคล (Sadakhlo) อยู่ทางด้านใต้ซึ่งเป็นเมืองพรมแดนที่อยู่ติดกับอาร์เมเนียและยังตั้งอยู่ใกล้กับประเทศอาร์เซอร์ไบจาน ตลอดเส้นทางท่านจะได้ชมวิวทิวทัศน์และธรรมชาติอันสวยของเทือกเขาคอเคซัสน้อย ที่อยู่ระหว่างอาร์เมเนียและอาร์เซอร์ไบจาน นำท่านผ่านด่านเมืองซาดาโคลและข้ามพรมแดนโดยมีเมืองอะลาเวอดี (Alaverdi) ที่เป็นเมืองชายแดนของอาร์เมเนียที่อยู่ติดกับจอร์เจีย
  • คืนนี้พักที่เมือง Sadakhlo

Day 7 : Sadakhlo – Haghpat city – Sanahin  Monastery 

  • นำท่านเดินทางสู่เมืองฮักห์พาท (Haghpat) เป็นเมืองในหมู่บ้านของจังหวัดลอรี่ที่อยู่ทางด้านเหนือของอาร์เมเนียเมืองนี้เป็นเมืองที่มีชื่อเสียงเพราะเป็นที่ตั้งของวัดอารามโบราณทั้งสองแห่งให้ท่านได้ชมความสวยงามของอารามฮักห์พาท (Haghpat Monastery) ซึ่งถือได้เป็นผลงานชิ้นเอกของทางด้านศาสนาและทางด้านสถาปัตยกรรมในการก่อสร้างในยุคกลางอารามแห่งนี้ได้ถูกสร้างขึ้นโดยนักบุญนิชาน (Saint Nishan) ในราวศตวรรษที่ 10 ซึ่งอยู่ในระหว่างการขึ้นครองราชย์ของกษัตริย์อะบาส ที่ 1 (King Abas I) อารามแห่งนี้ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกของโลกในปีค.ศ.1996ซึ่งอดีตเป็นเพียงตัวโบสถ์เล็กๆ ของนักบุญนิชานที่ถูกสร้างขึ้นช่วงปีค.ศ.967 ต่อมาก็ได้ถูกสร้างขยายให้ใหญ่โตขึ้นและมีการตกแต่งด้วยสถาปัตยกรรมที่สวยงามแบบอาร์เมเนียน
  • ชมอารามโบราณสองแห่ง อารามฮัคพัท (Haghpat Monastry) และอารามซานาฮิน (Sanahin Monastery) ซึ่งตั้งอยู่ในเมืองฮักห์พาท (Haghpat) ทางตอนเหนือของประเทศ โดยอารามทั้งสองแห่งได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกเมื่อปี 1996 สร้างขึ้นในยุครุ่งเรืองของราชวงศ์คลูริเคียน (Klurikain Dynasty) ราวคริสต์ศตวรรษที่ 10-13 มีรูปแบบทางสถาปัตยกรรมผสมผสานระหว่างแบบไบแซนไทน์กับแบบพื้นถิ่นคอเคเซียน สำหรับอารามทั้งสองยังคงอยู่ในสภาพสมบูรณ์เกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ แม้จะผ่านกาลเวลามานับพันปีแล้วก็ตาม
  • คืนนี้พักที่เมือง Haghpat

Day 8 : Dilijan – Sevan city – Geghard – Khor Virap

  • เดินทางสู่เมืองดีลีจาน (Dilijan) สถานที่แห่งนี้จึงได้ชื่อว่า “สวิตเซอร์แลนด์น้อยแห่งอาร์เมเนีย” (Little Switzerland of Armenia) ตั้งอยู่สูงจากระดับน้ำทะเล 1,500 เมตร จึงทำให้อากาศหนาวเย็นตลอดทั้งปี
  • นำท่านเดินทางสู่ เมืองเซวาน (Sevan) ที่ตั้งอยู่ริมทะเลสาบเซวาน (Lake Sevan) ซึ่งเป็นทะเลสาบน้ำจืดและทะเลปิดในประเทศอาร์เมเนียและคอเคซัสทะเลสาบนี้เป็นหนึ่งในทะเลสาบน้ำจืดที่ใหญ่ที่สุดในโลกทะเลสาบเซวานล้อมรอบไปด้วยแม่น้ำหลายสาย เช่น แม่น้ำฮราซดานและแม่น้ำมาสริค ล่องเรือชมความสวยงามของทะเลสาบเซวาน (การล่องเรือขึ้นกับสภาพอากาศ) ตัวเมืองนี้ตั้งอยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเลประมาณ 1,900 เมตร เมืองนี้ถูกสร้างขึ้นในปี ค.ศ.1842 ซึ่งเป็นหมู่บ้านพักอาศัยของชาวรัสเซียที่มีชื่อว่า เยเลนอฟก้า (Yelenovka) จนถึงปีค.ศ.1935 จึงได้ถูกเปลี่ยนชื่อเป็น เซวาน 
  • นำท่านแวะชมอารามเซวาน (Sevan Monastery) หรือมีชื่อเรียกว่า เซวานาแว๊งค์ (Sevanavank) ซึ่งคำว่าแว๊งค์เป็นภาษาอาร์เมเนีย มีความหมายว่า โบสถ์วิหาร สถานที่แห่งนี้ตั้งอยู่บริเวณแหลมที่อยู่ทางด้านตะวันตกเฉียงเหนือของฝั่งทะเลสาบเซวาน ถูกสร้างขึ้นในปีค.ศ.874 โดยเจ้าหญิงมาเรียม ซึ่งเป็นธิดาของกษัตริย์อะช๊อต ที่ 1 ซึ่งอยู่ในช่วงของการต่อสู้กับพวกอาหรับที่ปกครองดินแดนแห่งนี้
  • นำท่านเดินทางสู่วิหารเกกฮาร์ด (Geghard Monastery) ซึ่งถือเป็นหนึ่งในความสวยงามของอาร์เมเนียเพราะเป็นวิหารที่สร้างอยู่ท่ามกลางเทือกเขาที่สวยงามและยังมีส่วนที่สร้างโดยการตัดหินเข้าไปในภูเขาอีกด้วยแม้ตัวอาคารของวิหารเกกฮาร์ดนี้ถูกสร้างขึ้นในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 12-13 แต่สำนักสงฆ์โบราณแห่งนี้ ได้ถูกก่อตั้งขึ้นตั้งแต่เมื่อราวศตวรรษที่ 4 อิสระให้ท่านชมส่วนของห้องโถงของตัวโบสถ์ที่มีการตัดหินสร้างเป็นโดมแกะสลักอย่างสวยงามที่ถูกตกแต่งด้วยความศรัทธาในศาสนาคริสต์วิหารที่สร้างโดยการตัดหินให้กลายเป็นห้องโถงและได้ขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลกเมื่อปี ค.ศ. 2000
  • จากนั้นนำท่านเข้าชมวิหารการ์นี (Garni Temple) ซึ่งในอดีตเมื่อประมาณ 1,700 ปีมาแล้วบริเวณนี้เคยเป็นพระราชวังฤดูร้อนของกษัตริย์อาร์เมเนียซึ่งในปัจจุบันยังคงมีหลงเหลืออยู่ ซากห้องสรงน้ำ (Royal Bath House) และอาคารทรงกรีกที่ถูกสร้างขึ้นในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 1 ตามพระราชประสงค์ของกษัตริย์ Tiridates ด้านข้างของวิหารทรงกรีกก็มีซากโบสถ์คริสต์ที่สร้างขึ้นเมื่อคริสต์ศตวรรษที่ 9 หลงเหลืออยู่ วิหารแห่งนี้ถูกทำลายด้วยแผ่นดินไหวเมื่อปี ค.ศ. 1679
  • Garni Gorge เป็นช่องเขาที่สวยงามสะดุดตา หน้าผาเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นเสาหินบะซอลต์ที่ได้รับการอนุรักษ์ไว้เป็นอย่างดี ความเป็นธรรมชาตินี้คนท้องถิ่นขนานนามว่า “ซิมโฟนีออฟสโตน”
  • นำท่านไปชมวิหารคอร์วิราพ (Khor Virap) เป็นสถานที่มีชื่อเสียงที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์สถานสำหรับพิธีจาริกแสวงบุญให้กับผู้มีชื่อเสียง คือ ท่านกรีกอร์ ลูซาวอริช (Grigor Lusavorich) ผู้ซึ่งกลายมาเป็นนักบุญเกกอรี่ที่ เป็นผู้เผยแผ่ทางด้านศาสนาฯ และต่อมาได้ถูกจองจำอยู่ในคุกนี้ถึง 13 ปีโดยคำสั่งของกษัตริย์ทิริเดท ที่ 3 แห่งอาร์เมเนีย ภายหลังท่านได้รับการยอมรับนับถือและแต่งตั้งให้เป็นพระสังฆราชองค์แรก
  • คืนนี้พักเมืองเยเรวาน

Day 9 : Yerevan

  • หลังอาหารเช้า ชมเมืองเยเรวาน
  • Armenian Genocide Memorial & Museum อนุสรณ์การสังหารหมู่ของอาร์เมเนียในจักรวรรดิออตโตมันในปี 1915 ถึง 1922 บนยอดเขาด้านบนเป็นอนุสรณ์ของยอดแหลมสูง 44 เมตรถัดจากแผ่นหินบะซอลต์ 12 แผ่นที่พาดผ่านเพื่อป้องกันเปลวไฟนิรันดร์
  • ชม The Iranian Blue Mosque มัสยิดบลูในเยเรวานเป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในและเป็นสถานที่ที่ควรค่าแก่การเยี่ยมชมเมื่อเดินทางไปเยเรวาน มัสยิดเก่าแก่นี้สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 18 เรียกว่า Blue Mosque เพราะสีน้ำเงินเป็นสีเด่นที่พบได้ทั้งทางเข้าและบนกระเบื้อง
  • ชมบริเวณรอบๆ ตัวเมืองหลวง เช่น จัตุรัสสาธารณะ (Republic Square) มหาวิทยาลัยของรัฐ (State University) ชมวิวทิวทัศน์ของเมือง (City Panorama)
  • จากนั้นนำท่านแวะถ่ายรูปกับ Yerevan Cascade อีกหนึ่งพิพิธภัณฑ์เปิด (Open-air museum) ของเมืองเยเรวาน ซึ่งมีความงดงามทางศิลปะเป็นอย่างยิ่ง ประกอบด้วยกลุ่มบันได 5 ชั้น ซึ่งรายล้อมด้วยสวนดอกไม้และรูปปั้นมากมาย ซึ่งเป็นส่วนเชื่อมต่อไปยังพิพิธภัณฑ์ศิลปะสมัยใหม่ โรงละครโอเปร่า และอนุสาวรีย์อิสรภาพ
  • ชมความสวยงามของ วิหารเอคมิอัดซิน (Echmiadzin Cathedral) ซึ่งแต่เดิมนั้นเป็นที่รู้จักกันในนามของโบสถ์ศักดิ์สิทธิ์แห่งพระแม่เจ้า (Holy Mother of God Church) เป็นโบสถ์ที่ถูกสร้างขึ้นในราวศตวรรษที่ 4 และได้ชื่อว่าเป็นโบสถ์ที่เก่าแก่ที่สุดของโลก
  • นำท่านเดินทางสู่ สนามบินสวาร์นอท เพื่อเดินทางกลับกรุงเทพฯ

Day 10 : Bangkok

  • เดินทางถึงสนามบินสุวรรณภูมิ กรุงเทพฯโดยสวัสดิภาพ

***รายการอาจจะมีการเปลี่ยนแปลงตามความเหมาะสม***

วันที่จัด

แกลลอรี่ทัวร์จอร์เจีย อาร์เมเนีย อาเซอร์ไบจาน

ไปไหนมาดอทคอม • 089-4789334 • 02-045-3445 • Line : @painaima.com • painaima@gmail.com • ติดต่อเรา

ไปไหนมาดอทคอม • ติดต่อเรา

Categories
SEA

ทัวร์มรัคอู โมนยวา อินเล ถ้ำพินดยา – Unseen พม่า

ทัวร์พม่า Unseen • มรัคอู • โมนยวา • อินเล • พะอัน

พม่า ไม่ได้มีแค่ชเวดากอง ความบริสุทธิ์ Unseen ของพม่า ยังมีอีกหลายที่ ที่ทำให้คุณประทับใจในความดิบ ดั้งเดิมของชีวิต ที่ยังไม่เปลี่ยนไปตามกระแสโลกมากนัก เรารวบรวมทริป Unseen พม่า เอาไว้หลายรูปแบบ ให้ได้เลือกเดินทาง แต่ละเส้นทางมีเอกลักษณ์ที่โดดเด่นไม่เหมือนใคร เมืองโมนยวา • ชมถ้ำโพวินต่อง • เจดีย์อลันทยาร์ • วัดโพธิ์ตาต่อง • เมืองสกายน์ • ภูเขาสกายน์ • มัณฑะเลย์ • บินภายในไปเมืองเฮโฮ • ทะเลสาบอินเล • เมืองพินดยา • ถ้ำพินดยา

จุดเด่นทริป

เมืองมรัคอู

เมืองสกายน์และโมนยวา

เมืองอินและถ้ำพินดยา

เมืองพะอัน

โปรแกรมเต็ม

DAY 1 : Bangkok – Yangon – Sittwe – Mrauk U (-/L/D)

  • พบกันที่สนามบินดอนเมือง เดินทางสู่ย่างกุ้งด้วย Air Asiaต่อเครื่องสู่เมืองซิตตเว โดยสายการบินในประเทศ
  • เมืองซิตตเว สำเนียงพม่าจะออกเสียงเป็น ซิตตุ่ย เมืองเอกของรัฐยะไข่ เคยเป็นเมืองชายทะเลที่สวยที่สุดของอ่าวเบงกอล ปัจจุบันยังคงเหลือร่องรอยสิ่งก่อสร้างของเมืองท่าอาณานิคม และเต็มไปด้วยกลิ่นอายบรรยากาศวัฒนธรรมชาวยะไข่ซึ่งแตกต่างไปจากชาวพม่า โดยชาวยะไข่จะบอกว่า เขาเป็นชาวยะไข่ ไม่ใช่ ชาวพม่า
  • เดินทางต่อด้วยรถสู่เมืองมรัคอู แวะนมัสการพระ Mahamuni Kyauk-Taw Mahamuni ซึ่งเป็นวัดพุทธที่มีชื่อเสียงและสำคัญที่สุดแห่งหนึ่งของชาวยะไข่

DAY 2 : Chin Village  (B/L/D)

  • เดินทางไปยังหมู่บ้านชิน ซึ่งเป็นหมู่บ้านของชนเผ่าหนึ่งในเมืองมรัคอูที่ยังคงมีวิถีชีวิตแบบโบราณกันอยู่ หมู่บ้านนี้ยังไม่มีน้ำประปาและไฟฟ้าใช้กัน สร้างบ้านอยู่ในกระท่อมหลังเล็กๆ และใช้แพไม้ไผ่เป็นยานพาหนะเอกลักษณ์ของหญิงชาวชิน คือจะสักหน้าเป็นลายเหมือนใยแมงมุม และเจาะหูกว้าง ซึ่งในปัจจุบันก็นับว่าจะลดน้อยถอยลงทุกที หญิงที่สักอยู่ก็มีอายุกัน 60 กว่าขึ้นไปแล้ว และต่างจะล้มหายตายจาก เด็กยุคใหม่ไม่ได้ถ่ายทอด ดังนั้นต้องรีบไปดู
  • ชมพระอาทิตย์ตกที่เนินเขา Shwe-Taung

DAY 3 :  Mrauk u  (B/L/D)

  • ชมตลาดเช้าในเมืองมรัคอู ชมวิถีชีวิตและเลือกซื้อของพื้นเมืองของผู้คนในราชอาณาจักรยะไข่โบราณ
  • ชม Htukkant Thein Temple วัดที่มีชื่อเสียงที่สุดในเมืองมรัคอู ถูกออกให้ใช้งานเป็นทั้งวัดและป้อมปราการด้วย นักโบราณคดีสันนิษฐานว่าวัดแห่งนี้อาจจะใช้เป็นที่หลบภัยของชาวพุทธในยามศึกสงคราม ใจกลางของวัดเป็นโดมรูปเห็ดรายรอบด้วยสถูปเล็กๆทั้ง 4 ภายในมีพระพุทธรูปทั้งหมด 180 องค์ ชม
  • ชม วัดโกตองพญา หรือ วัดพระเก้าหมื่น เป็นวัดที่ใหญ่ที่สุดในเมืองมรัคอู ตั้งโดดเด่นอยู่กลางทุ่งนา บางคนใคร่คิดไปถึง บุโรพุทโธ ที่อินโดนีเซีย มีเจดีย์ องค์เล็กๆตั้งอยู่รอบๆเจดีย์ที่อยู่ตรงกลาง ภายในวิหารเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปแกะสลัก 90,000 องค์ ซึ่งเป็นที่มาของชื่อวัดนั่นเอง
  • ชม Lay Myet Hna Temple เจดีย์สี่หน้า สร้างโดยหินทรายรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ตรงกลางเป็นเจดีย์ทรงระฆังคว่ำขนาดใหญ่ ยอดเป็นรูปทรงเห็ดและรายล้อมด้วยเจดีย์รองทั้งสี่มุม ภายในมีฐานเจดีย์ขนาดใหญ่รูปทรงแปดเหลี่ยม มีพระพุทธรูป 8 องค์  ประดิษฐานอยู่และผนังชั้นนอกตรงกันข้ามกันน้ำมีพระพุทธรูปอีก 20 องค์รวมกันทั้งสิ้นเป็น 28 แทนความหมายของพระพุทธเจ้าทั้ง 28 พระองค์ตามคัมภีร์พระไตรปิฎก
  • ชมวัดซิตตองพญา หรือ วัดพระแปดหมื่น เป็นวัดที่มีระเบียงคดคล้ายอุโมงค์ประดับด้วยรูปจิตรกรรมนูนสูงเกี่ยวกับพุทธชาดก และภายในวิหารมีการแกะสลักพระพุทธรูป 80,000 องค์  สร้างขึ้นโดยกษัตริย์มินปินเพื่อเป็นการเฉลิมฉลองชัยชนะที่มีต่อชาวเบงกอล
  • ชม วัดทุกขันธ์เทียน สร้างขึ้นในปีพ.ศ.2113 ภายในวัดมีภาพแกะสลักผู้หญิงชาวยะไข่โบราณซึ่งมีทรงผมแตกต่างกันถึง 64 แบบ กำลังบูชาพระพุทธรูปที่ประดิษฐานอยู่ตามช่องผนัง วัดอันดอว์เทียน เป็นวัดที่ประดิษฐานพระเขี้ยวแก้วของพระพุทธเจ้าที่กษัตริย์มินบินนำมาจากศรีลังกา
  • ชม Ratana ManAung เจดีย์ศักดิ์สิทธิ์มีลักษณะสัณฐานเป็นรูปแปดเหลี่ยม ที่ได้รับการเคารพมากที่สุด วัดถูกสร้างขึ้นเพื่อแสดงความเคารพต่อรัตนทั้งสามแห่งพุทธศาสนาคือพระพุทธพระธรรมพระสงฆ์ Pitakataik สร้างโดยกษัตริย์ Meng Phalaung ซึ่งเป็นกษัตริย์ที่มีชื่อเสียงองค์หนึ่งของเมืองมรัคอู ภายในประดิษฐานประไตรปิฏกที่ได้รับมาจากศรีลังกา
  • ชมเจดีย์ศากยะมนัง สร้างขึ้นในปี 1629 สูง 35 เมตร เป็นเจดีย์ย่อมุมที่ได้รับอิทธิพลมาจากศิลปะพม่าและไทใหญ่ และเจดีย์ Ratanamanaung เป็นเจดีย์ทรงระฆังคว่ำ ภายในประดิษฐานพระพุทธรูปที่ทำจากหิน สักการะพระพุทธรูป Nan-Oo และ เจดีย์ Mingalamanaung
  • ชม เจดีย์ Lawka manaung สร้างขึ้นเมื่อปี 1658 เป็นเจดีย์ทรงระฆังคว่ำ มีเฉลียงทั้งหมดสี่ชั้น ภายในประดิษฐานพระพุทธรูปหิน โดยรอบตบแต่งด้วยประติมากรรมหินในรูปแบบต่างๆ และสักการะพระพุทธรูป Parabaw เป็นพระพุทธรูปที่โผล่ขึ้นมาเหนือน้ำเมื่อกว่า 1276 ปีมาแล้ว
  • ชมพระอาทิตย์ตกที่เนินเขา Harritaung

DAY 4 :  Mruak U – Sittwe – Yangon – Bangkok  (B/L/-)

  • เดินทางกลับสู่เมืองซิตตุ่ยด้วยเรือเร็ว ใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมง ระหว่างทางที่ล่องเรือ เราจะได้เก็บบรรยากาศสองฝั่งแม่น้ำ จะได้เห็นวิถีชีวิตพื้นบ้าน ของชาวประมงท้องถิ่นที่กางเรือใบด้วยผ้าโสร่ง ตามแบบฉบับของชาวยะไข่ท้องถิ่น
  • ชมเมือง Sittwe เดินเล่นตลาดพื้นเมืองยะไข่ ตลาดนี้เป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุด มีอาหารทะเล อาหารพื้นบ้านและสินค้าพื้นเมืองหลากหลายชนิด อาหารทะเลที่นี่ราคาถูกมากๆ
  • เดินทางไปสนามบินเพื่อโดยสารเครื่องบินภายในประเทศสู่ย่างกุ้งแล้วต่อเครื่องสู่ดอนเมือง โดยสายการบิน Air Asia
  • ค่ำๆเดินทางถึงกรุงเทพมหานคร โดยสวัสดิภาพ

***รายการอาจมีการเปลี่ยนแปลงตามความเหมาะสม***

Day 1 : Bangkok – Mandalay – Monywa (BLD)

  • ช่วงเช้า พบกันที่ท่าอากาศยานนานาชาติดอนเมือง อาคารผู้โดยสารระหว่างประเทศ (T1)
  • เดินทางถึงมัณฑะเลย์
  • เดินทางสู่ เมืองโมนยวา (Monywa) เมืองเล็กๆ เมืองโมนยวาตั้งอยู่ในรัฐสกาย ซึ่งเป็นที่ตั้งของเมืองสกายน์อดีตเมืองหลวงแห่งหนึ่งของพม่าเมืองโมนยวานี้ในอดีตเป็นศูนย์กลางทางการค้าที่สำคัญของพม่าและอินเดีย ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำชินด์วิน (Chindwin)
  • พักที่ เมือง Monywa

Day 2 :  Monywa (B/L/D)

  • ชม ถ้ำโพวินต่อง (Pho Win Taung) หมู่ถ้ำหินทรายที่ประกอบไปด้วยถ้ำเล็กๆ ภายในถ้ำแต่ละถ้ำประกอบไปด้วยมีจิตรกรรมฝาผนัง และเพดานหลากหลายสี ที่มีมากกว่า 4000 ลวดลายเลยทีเดียว โดยมากจิตรกรรมเหล่านี้เป็นภาพวาด เล่าเรื่องราวชีวิตของชาวพม่า และเรื่องราวเกี่ยวกับพุทธศาสนา
  • ชม Shwe Ba Taung มหัศจรรย์หมู่ถ้ำทั้ง 46 ถ้ำ ที่มีรูปทรงและการตบแต่งกันอย่างสิ้นเชิง หมู่ถ้ำเหล่านี้ถูกขุดลึกแนวดิ่งลงไปในชั้นหินภูเขาไฟถึง 8 เมตร คล้ายเป็นเมืองใต้ดิน อายุของพระพุทธรูปที่ประดิษฐานในถ้ำแห่งนี้ย้อนไปในศตวรรษที่ 13 
  • ชม เจดีย์ อลันทยาร์ (Alantayar) ภายในวัดโพธิตาต่อง (Bhodhi Tataung) ซึ่งด้านหลังองค์เจดีย์นั้นมี พระนอนเซ่วต่าลอง ที่กล่าวกันว่าเป็นพระพุทธรูปปางไสยาสน์(พระนอน)ที่ยาวที่สุดเป็นอันดับที่สองของโลกประดิษฐานอยู่ และ พระยืนเลจูนแซะจ่า (Laykyun Setkya) ซึ่งองค์พระสูงถึง 132 เมตรเห็นแต่ไกลบนยอดเขา 
  • นำท่านชม วัดโพธิ์ตาต่อง (Bodhi Tataung) ที่ภายในมีพระพุทธรูปจำนวนถึง 1,000 องค์ ประดิษฐานอยู่ใต้ต้นโพธิ์ทั้งหมด 1,000 ต้น ที่นี่ท่านจะสามารถมองเห็นองค์พระและต้นโพธิ์ประดิษฐานอยู่เรียงเป็นแถวสุดลูกหูลูกตาเป็นภาพที่แปลกตาอย่างยิ่ง
  • นำชม วัดเจดีย์สัมพุทเธ (Thanbodhay Temple) หรือที่ชาวพม่าเรียกว่า เจดีย์ ตัม โบ้ม เด่ พญา เจดีย์สำคัญแห่งเมืองโมนยวาที่สร้างขึ้นครั้งแรกในปี พ.ศ.1846  และได้รับการบูรณะครั้งใหญ่เมื่อปี พ.ศ. 2486 ระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 เจดีย์องค์นี้มีความคล้ายคลึงกับบุโรพุทโธของประเทศอินโดนีเซีย เพราะมีโครงสร้างเลียนแบบเขาพระสุเมรุคือประกอบด้วยเจดีย์หลักแทนเขาพระสุเมรุ และเจดีย์เล็กๆ ถึง 845 องค์ ล้อมรอบเป็นชั้นๆ

Day 3 : Monywa – Sagaing (B/L/D)

  • จากนั้นเดินทางสู่ เมืองสกายน์ ศูนย์กลางแห่งพระพุทธศาสนาที่สำคัญ ชมทัศนียภาพของเมืองสกายน์ ลุ่มแม่น้ำอิรวดี เจดีย์จำนวนมากมายที่ตั้งเรียงรายอยู่บนภูเขา และริมฝั่งแม่น้ำ สกายน์เป็นราชธานีได้เพียง 59 ปี ภายหลังเกิดการชิงอำนาจกัน สุดท้ายพระเจ้าโดะมินพญา ได้รับชัยชนะจึงย้ายเมืองหลวงใหม่มาตั้งที่ปากแม่น้ำมิดแง ตรงที่บรรจบกับแม่น้ำอิรวดี จนเป็นที่ตั้งของเมืองอังวะในเวลาต่อมา
  • ชมเจดีย์กวงมูดอร์ หรือวัดเจดีย์นมนาง สร้างโดยพระเจ้าต้าหลู่ เมื่อปี ค.ศ.1636 ใช้เป็นที่ประดิษฐานพระเขี้ยวแก้วหรือพระทันตธาตุที่ได้มาจากลังกา เจดีย์นี้เป็นเจดีย์ทรงโอคว่ำแบบสิงหล หรือเจดีย์ทรงลังกา
  • นำทุกท่านเดินทางสู่ภูเขาสกายน์ (Sagaing Hill) บนภูเขาแห่งนี้สามารถ มองเห็นเมืองสกายน์และเจดีย์โดยรอบได้อย่างชัดเจน
  • บริเวณกลางเนินเขาจะมีวัดอูมินทอนซ์หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่าวัด 30 ถ้ำ ภายในประดิษฐานพระพุทธรูป 45 องค์ บริเวณสูงสุดของ เนินเขาจะมีวัดซุนอูพอนยาชิน สิ่งที่น่าสนใจ ภายในวัด คือ เจดีย์ที่สูงถึง 29.3 เมตร ภายในองค์เจดีย์ประดิษฐานพระพุทธรูปองค์ใหญ่ซึ่งชาวพม่าถือว่าศักดิ์สิทธิ์มาก โดยเฉพาะนายทหารชั้นผู้ใหญ่ที่มักเดินทางมาสักการะ และถ่ายรูปแขวนไว้จำนวนมาก
  • พักที่ เมือง Sagaing

Day 4 :  Mandalay – Heho – Inle Lake (B/L/D)

  • เช้าตรู่ไปยังสนามบินเพื่อเดินทางต่อไปที่ เมืองเฮโฮ โดยสายการบินภายในประเทศ
  • จากนั้นเดินทางต่อไปยังเมืองหลวงเก่าของรัฐฉาน (Shan State) นั่งรถจากสนามบินไปราว 1 ชั่วโมงครึ่ง เพื่อไปชมทะเลสาบอินเล (Inle Lake)  เกิดจากลำธารหลายสายที่ไหลมาจากเทือกเขาที่ทอดขนานไปทั้งทางทิศตะวันตกและตะวันออก มีน้ำไหลจากทะเลสาบไปลงแม่นํ้าสาละวิน รอบทะเลสาบมีชุมชนชาวอินตาอยู่มากกว่า 200 แห่ง
  • นำท่านลงเรือเพื่อเดินทางสู่ ทะเลสาบอินเล ลงเรือยนต์ (ลำละ 5-6 ท่าน) มีเสื้อชูชีพบริการท่านเพื่อความปลอดภัย ชมวิวทิวทัศน์ที่สวยงามและสภาพความเป็นอยู่ของชาวบ้าน การสร้างบ้านบนทะเลสาบ ระหว่างทาง ท่านจะได้พบการพายเรือด้วยเท้าข้างเดียวทั้งชายและหญิงอันเป็นเอกลักษณ์ของชาวอินตา
  • พักที่ทะเลสาบ Inle  

Day 5 : Inle Lake – Pindaya (B/L/D) 

  • อำลาทิวทัศน์อันสงบแห่งสายน้ำและระลอกคลื่นอันเงียบสงบ เดินทางไปยังเมือง Pindaya ระหว่างทาง ท่านจะได้พบกับทิวทัศน์อันงดงาม และชนเผ่าต่างๆของรัฐฉาน ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นชาวปะโอ ซึ่งมีเอกลักษณ์ในการแต่งตัวด้วยผ้าสีดำและโพกศรีษะด้วยผ้าสีสันสดใส เพราะเชื่อกันว่าชาวปะโอมีต้นกำเนิดเผ่าพันธุ์มาจากพญานาคผู้สง่างาม
  • เยี่ยมชมถ้ำพินดยา ที่มีชื่อเสียง ซึ่งมีพระพุทธรูปประดิษฐานภายในถ้ำมากกว่า 8,000 องค์ หลากยุคหลากสมัยถูกเก็บรักษาเอาไว้ที่นี่ที่เกิดจากการที่มีความเชื่อที่ว่าหากผู้ใดได้สร้างพระหรือเจดีย์ถวายเป็นพุทธบูชา ผู้นั้นก็จะได้บุญกุศลไปในภายภาคหน้า หลังจากนั้น นำท่านเดินเก็บภาพต้นไม้ยักษ์ Banyan Tree Garden ซึ่งมีอายุหลายร้อยปีหลายคนโอบไว้เป็นที่ระลึก ซึ่งมีจำนวนนับร้อยๆต้น 
  • ชมการทำกระดาษชานแบบดั้งเดิม และ อุตสาหกรรมการทำร่ม และชมทะเลสาป ปินดายา
  • พักที่เมือง Pindaya

Day 6 : Pindaya – Heho – Yangon – Bangkok (B/L/-) 

  • ช่วงเช้าให้ท่านเดินเล่นเที่ยวชมรอบๆเมือง Pindaya จนถึงเวลาเดินทางไปกลับเมือง Heho และไปยังสนามบินภายในประเทศเพื่อกลับสู่เมืองย่างกุ้ง
  • เดินทางกลับย่างกุ้งโดยสายการบินภายในประเทศ
  • เตรียมตัวเชคอินเพื่อเดินทางกลับกรุงเทพฯ
  • เดินทางถึงกรุงเทพฯ โดยสวัสดิภาพ พร้อมความประทับใจ

 *** โปรแกรมอาจมีการปรับเปลี่ยนได้ตามความเหมาะสมของเวลา ***

Day 1 : Bangkok – Mandalay – Monywa (BLD)

  • ช่วงเช้า พบกันที่ท่าอากาศยานนานาชาติดอนเมือง อาคารผู้โดยสารระหว่างประเทศ (T1)
  • เดินทางถึงมัณฑะเลย์
  • เดินทางสู่ เมืองโมนยวา (Monywa) เมืองเล็กๆ เมืองโมนยวาตั้งอยู่ในรัฐสกาย ซึ่งเป็นที่ตั้งของเมืองสกายน์อดีตเมืองหลวงแห่งหนึ่งของพม่าเมืองโมนยวานี้ในอดีตเป็นศูนย์กลางทางการค้าที่สำคัญของพม่าและอินเดีย ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำชินด์วิน (Chindwin)
  • พักที่ เมือง Monywa

Day 2 :  Monywa (B/L/D)

  • ชม ถ้ำโพวินต่อง (Pho Win Taung) หมู่ถ้ำหินทรายที่ประกอบไปด้วยถ้ำเล็กๆ ภายในถ้ำแต่ละถ้ำประกอบไปด้วยมีจิตรกรรมฝาผนัง และเพดานหลากหลายสี ที่มีมากกว่า 4000 ลวดลายเลยทีเดียว โดยมากจิตรกรรมเหล่านี้เป็นภาพวาด เล่าเรื่องราวชีวิตของชาวพม่า และเรื่องราวเกี่ยวกับพุทธศาสนา
  • ชม Shwe Ba Taung มหัศจรรย์หมู่ถ้ำทั้ง 46 ถ้ำ ที่มีรูปทรงและการตบแต่งกันอย่างสิ้นเชิง หมู่ถ้ำเหล่านี้ถูกขุดลึกแนวดิ่งลงไปในชั้นหินภูเขาไฟถึง 8 เมตร คล้ายเป็นเมืองใต้ดิน อายุของพระพุทธรูปที่ประดิษฐานในถ้ำแห่งนี้ย้อนไปในศตวรรษที่ 13 
  • ชม เจดีย์ อลันทยาร์ (Alantayar) ภายในวัดโพธิตาต่อง (Bhodhi Tataung) ซึ่งด้านหลังองค์เจดีย์นั้นมี พระนอนเซ่วต่าลอง ที่กล่าวกันว่าเป็นพระพุทธรูปปางไสยาสน์(พระนอน)ที่ยาวที่สุดเป็นอันดับที่สองของโลกประดิษฐานอยู่ และ พระยืนเลจูนแซะจ่า (Laykyun Setkya) ซึ่งองค์พระสูงถึง 132 เมตรเห็นแต่ไกลบนยอดเขา 
  • นำท่านชม วัดโพธิ์ตาต่อง (Bodhi Tataung) ที่ภายในมีพระพุทธรูปจำนวนถึง 1,000 องค์ ประดิษฐานอยู่ใต้ต้นโพธิ์ทั้งหมด 1,000 ต้น ที่นี่ท่านจะสามารถมองเห็นองค์พระและต้นโพธิ์ประดิษฐานอยู่เรียงเป็นแถวสุดลูกหูลูกตาเป็นภาพที่แปลกตาอย่างยิ่ง
  • นำชม วัดเจดีย์สัมพุทเธ (Thanbodhay Temple) หรือที่ชาวพม่าเรียกว่า เจดีย์ ตัม โบ้ม เด่ พญา เจดีย์สำคัญแห่งเมืองโมนยวาที่สร้างขึ้นครั้งแรกในปี พ.ศ.1846  และได้รับการบูรณะครั้งใหญ่เมื่อปี พ.ศ. 2486 ระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 เจดีย์องค์นี้มีความคล้ายคลึงกับบุโรพุทโธของประเทศอินโดนีเซีย เพราะมีโครงสร้างเลียนแบบเขาพระสุเมรุคือประกอบด้วยเจดีย์หลักแทนเขาพระสุเมรุ และเจดีย์เล็กๆ ถึง 845 องค์ ล้อมรอบเป็นชั้นๆ

Day 3 : Monywa – Sagaing (B/L/D)

  • จากนั้นเดินทางสู่ เมืองสกายน์ ศูนย์กลางแห่งพระพุทธศาสนาที่สำคัญ ชมทัศนียภาพของเมืองสกายน์ ลุ่มแม่น้ำอิรวดี เจดีย์จำนวนมากมายที่ตั้งเรียงรายอยู่บนภูเขา และริมฝั่งแม่น้ำ สกายน์เป็นราชธานีได้เพียง 59 ปี ภายหลังเกิดการชิงอำนาจกัน สุดท้ายพระเจ้าโดะมินพญา ได้รับชัยชนะจึงย้ายเมืองหลวงใหม่มาตั้งที่ปากแม่น้ำมิดแง ตรงที่บรรจบกับแม่น้ำอิรวดี จนเป็นที่ตั้งของเมืองอังวะในเวลาต่อมา
  • ชมเจดีย์กวงมูดอร์ หรือวัดเจดีย์นมนาง สร้างโดยพระเจ้าต้าหลู่ เมื่อปี ค.ศ.1636 ใช้เป็นที่ประดิษฐานพระเขี้ยวแก้วหรือพระทันตธาตุที่ได้มาจากลังกา เจดีย์นี้เป็นเจดีย์ทรงโอคว่ำแบบสิงหล หรือเจดีย์ทรงลังกา
  • นำทุกท่านเดินทางสู่ภูเขาสกายน์ (Sagaing Hill) บนภูเขาแห่งนี้สามารถ มองเห็นเมืองสกายน์และเจดีย์โดยรอบได้อย่างชัดเจน
  • บริเวณกลางเนินเขาจะมีวัดอูมินทอนซ์หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่าวัด 30 ถ้ำ ภายในประดิษฐานพระพุทธรูป 45 องค์ บริเวณสูงสุดของ เนินเขาจะมีวัดซุนอูพอนยาชิน สิ่งที่น่าสนใจ ภายในวัด คือ เจดีย์ที่สูงถึง 29.3 เมตร ภายในองค์เจดีย์ประดิษฐานพระพุทธรูปองค์ใหญ่ซึ่งชาวพม่าถือว่าศักดิ์สิทธิ์มาก โดยเฉพาะนายทหารชั้นผู้ใหญ่ที่มักเดินทางมาสักการะ และถ่ายรูปแขวนไว้จำนวนมาก
  • พักที่ เมือง Sagaing

Day 4 :  Mandalay – Heho – Inle Lake (B/L/D)

  • เช้าตรู่ไปยังสนามบินเพื่อเดินทางต่อไปที่ เมืองเฮโฮ โดยสายการบินภายในประเทศ
  • จากนั้นเดินทางต่อไปยังเมืองหลวงเก่าของรัฐฉาน (Shan State) นั่งรถจากสนามบินไปราว 1 ชั่วโมงครึ่ง เพื่อไปชมทะเลสาบอินเล (Inle Lake)  เกิดจากลำธารหลายสายที่ไหลมาจากเทือกเขาที่ทอดขนานไปทั้งทางทิศตะวันตกและตะวันออก มีน้ำไหลจากทะเลสาบไปลงแม่นํ้าสาละวิน รอบทะเลสาบมีชุมชนชาวอินตาอยู่มากกว่า 200 แห่ง
  • นำท่านลงเรือเพื่อเดินทางสู่ ทะเลสาบอินเล ลงเรือยนต์ (ลำละ 5-6 ท่าน) มีเสื้อชูชีพบริการท่านเพื่อความปลอดภัย ชมวิวทิวทัศน์ที่สวยงามและสภาพความเป็นอยู่ของชาวบ้าน การสร้างบ้านบนทะเลสาบ ระหว่างทาง ท่านจะได้พบการพายเรือด้วยเท้าข้างเดียวทั้งชายและหญิงอันเป็นเอกลักษณ์ของชาวอินตา
  • พักที่ทะเลสาบ Inle  

Day 5 : Inle Lake – Pindaya (B/L/D) 

  • อำลาทิวทัศน์อันสงบแห่งสายน้ำและระลอกคลื่นอันเงียบสงบ เดินทางไปยังเมือง Pindaya ระหว่างทาง ท่านจะได้พบกับทิวทัศน์อันงดงาม และชนเผ่าต่างๆของรัฐฉาน ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นชาวปะโอ ซึ่งมีเอกลักษณ์ในการแต่งตัวด้วยผ้าสีดำและโพกศรีษะด้วยผ้าสีสันสดใส เพราะเชื่อกันว่าชาวปะโอมีต้นกำเนิดเผ่าพันธุ์มาจากพญานาคผู้สง่างาม
  • เยี่ยมชมถ้ำพินดยา ที่มีชื่อเสียง ซึ่งมีพระพุทธรูปประดิษฐานภายในถ้ำมากกว่า 8,000 องค์ หลากยุคหลากสมัยถูกเก็บรักษาเอาไว้ที่นี่ที่เกิดจากการที่มีความเชื่อที่ว่าหากผู้ใดได้สร้างพระหรือเจดีย์ถวายเป็นพุทธบูชา ผู้นั้นก็จะได้บุญกุศลไปในภายภาคหน้า หลังจากนั้น นำท่านเดินเก็บภาพต้นไม้ยักษ์ Banyan Tree Garden ซึ่งมีอายุหลายร้อยปีหลายคนโอบไว้เป็นที่ระลึก ซึ่งมีจำนวนนับร้อยๆต้น 
  • ชมการทำกระดาษชานแบบดั้งเดิม และ อุตสาหกรรมการทำร่ม และชมทะเลสาป ปินดายา
  • พักที่เมือง Pindaya

Day 6 : Pindaya – Heho – Yangon – Bangkok (B/L/-) 

  • ช่วงเช้าให้ท่านเดินเล่นเที่ยวชมรอบๆเมือง Pindaya จนถึงเวลาเดินทางไปกลับเมือง Heho และไปยังสนามบินภายในประเทศเพื่อกลับสู่เมืองย่างกุ้ง
  • เดินทางกลับย่างกุ้งโดยสายการบินภายในประเทศ
  • เตรียมตัวเชคอินเพื่อเดินทางกลับกรุงเทพฯ
  • เดินทางถึงกรุงเทพฯ โดยสวัสดิภาพ พร้อมความประทับใจ

 *** โปรแกรมอาจมีการปรับเปลี่ยนได้ตามความเหมาะสมของเวลา ***

วันที่จัด

รวม-ไม่รวม

แกลลอรี่ทัวร์พม่า

ไปไหนมาดอทคอม • 089-4789334 • 02-045-3445 • Line : @painaima.com • painaima@gmail.com • ติดต่อเรา

ไปไหนมาดอทคอม • ติดต่อเรา

error: บทความทั้งหมดเป็นลิขสิทธิ์ของไปไหนมาดอทคอม