Categories
Europe

ทัวร์ฟินแลนด์ บอลติก

ทัวร์ฟินแลนด์ บอลติก

เที่ยวบอลติก พักอิกลูนอนดูแสงเหนือ

จุดเด่นทริป

โปรแกรมเต็ม

DAY 1: Bangkok  

  • นัดพบกันที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ แถว S ประตู 8 ทีมงานอำนวยความสะดวกเช็คอินสายการบิน Finnair เที่ยวบินที่ AY144 ออกเดินทางเวลา 23.05 น. ใช้เวลาบินประมาณ 10.25 ชม แวะเปลี่ยนเครื่องที่ เฮลซิงกิ

DAY 2 :  Helsinki – Ivalo – Kakslauttanen Arctic Resort 

  • เดินทางถึงสนามบินเฮลซิงกิ จากนั้นรอเวลาเปลี่ยนเครื่องเพื่อเดินทางต่อไปยังเมือง Ivalo โดยสายการบิน Finnair เที่ยวบินที่ AY601 (เวลา 07.00)

  • ถึงสนามบินอิวาโล จากนั้นนำท่านสู่ หมู่บ้านอิกลูแคคสลอตทาเนน (IGLOO VILLAGE KAKSLAUTTANEN) ตั้งอยู่เหนือเส้นเขตขั้วโลกเหนือเขตแลปแลนด์ (LAPLAND) ของประเทศฟินแลนด์ โดยสถานที่แห่งนี้อยู่ท่ามกลางความหนาวเหน็บของอากาศที่ปกคลุมไปทั่วบริเวณ และยังมีวิวทิวทัศน์ให้ชื่นชมความสวยงามของป่าเขา ท่ามกลางหิมะขาวโพลนที่ท่านจะต้องประทับใจไม่มีวันลืม

  • นำท่านสัมผัสกิจกรรมอันดับหนึ่งของการท่องเที่ยวแบบตะลุยหิมะ ด้วยการขับขี่ สโนว์โมบิล (SNOWMOBILE) พาหนะที่คล่องตัวที่สุดในการเดินทางบนหิมะหรือน้ำแข็ง โดยท่านจะได้รับคำแนะนำในการขับขี่ที่ถูกต้อง สนุกสนาน และปลอดภัย จากเจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญและชำนาญเส้นทางในการเดินทางท่องเที่ยวแบบสโนว์โมบิลซาฟารี โดยทางบริษัท ฯ จะมีการจัดเตรียมเครื่องกันหนาวให้ท่านอย่างครบถ้วนตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า

  • พักที่ Kakslauttanen Arctic Resort

DAY 3 : Ivalo – Rovaniemi – Santa Claus Village

  • นำท่านมุ่งหน้าสู่ เมืองโรวาเนียมิ (Rovaniemi) ให้ท่านได้เพลิดเพลินกับทัศนียภาพทุ่งหิมะแห่งแลปแลนด์ และหากโชคดีท่านอาจได้พบเห็นฝูงกวางเรนเดียร์ที่ออกหากินในเวลากลางวัน ตลอดเส้นทางท่านจะได้เห็นภูมิประเทศอันแปลกตา หิมะ สลับกับทิวสน
  • ชม หมู่บ้านซานตาคลอส (Santa Claus Village) ตั้งอยู่บนเส้นอาร์คติกเซอร์เคิล ภายในหมู่บ้านมีที่ทำการไปรษณีย์ สำหรับท่านที่ต้องการส่งของขวัญไปยังคนที่ท่านรัก และยังมีร้านขายของที่ระลึก ให้ท่านได้เลือกซื้อของฝาก หรือถ่ายรูปกับคุณลุงซานต้าที่ใจดีเป็นที่ระลึกในการมาเยือน อิสระให้ท่านเดินเล่นเที่ยวชมในหมู่บ้าซานตาคลอส
  • นำท่านแวะชม ที่ทำการไปรษณีย์ซานตาคลอส (Santa Claus Main post office) ท่านสามารถเลือกซื้อไปรษณียบัตรหลากหลายสีสันเพื่อเขียนอวยพรครอบครัวและมิตรสหาย พร้อมทั้งฝากซานต้าคลอสส่งกลับมายังประเทศไทยได้ ณ ที่ทำการไปรษณีย์นี้
  • พักที่ Rovaniemi

Day 4 : Rovaniemi – Kemi – Sampo Icebreaker

  • เดินทางไปยังเมือง Kemi ประมาณ 1.30 ชมนำท่านเดินชมเมือง Kemi เมืองท่องเที่ยวที่ตั้งอยู่ริมอ่าวน้ำลึกบอธเนีย (Gulf of Bothnia) บริเวณทางตอนเหนือของทะเลบอลติค (Baltic Sea) มีประชากรอาศัยอยู่เพียง 22,000 คน แต่เป็นเมืองท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงที่มีความสำคัญของแลปแลนด์
  • ถ่ายรูปกับโบสถ์ Kemi Church ซึ่งเป็นโบสถ์ ศาสนาคริสต์ นิกายโปรเตสแตนท์ ที่ถูกสร้างและออกแบบตาม สถาปัตยกรรมแบบโกธิคโดยสถาปนิกชื่อ ดังชาวฟินแลนด์นาม Josef Stenback
  • นำท่าน ล่องเรือตัดน้ำแข็งซัมโป (Sampo Ice Breaker) ล่องบนน้ำทะเลซึ่งเย็นยะเยือกจนกลายเป็นน้ำแข็ง สัมผัสประสบการณ์ครั้งหนึ่งในชีวิตที่น่าตื่นตาตื่นใจกับการลอยตัวในทะเลน้ำแข็ง ด้วยชุดความร้อนพิเศษ (Warm Impermeable Survival Suits) ซึ่งปกป้องร่างกายท่านจากความเย็นอันหนาวยะเยือกที่ระดับต่ำกว่าลบยี่สิบองศาเซลเซียส
  • พักที่ Kemi

Day 5 : Kemi – Snow Castle – Helsinki – Talinn

  • นำท่านชม Snow Castle อันเป็นผลงานประติมากรรมระดับโลก โดยครั้งนี้เป็นครั้งที่ 19 ในทุก ๆ ปีของฤดูหนาว จะมีการรังสรรค์ผลงานอันยิ่งใหญ่ ทีมงานผู้ชำนาญการจะเริ่มการแกะสลัก และนำเอาน้ำแข็งก้อนมหึมามาตกแต่งเป็นรูปแบบต่าง ๆ รวมถึงการจำลองแบบให้เป็นเมืองน้ำแข็งที่งดงามที่สุดแห่งหนึ่งของโลกโดยฝีมือมนุษย์
  • นำท่านไปยังสถานีรถไฟ เพื่อนั่งรถไฟด่วนไปยังเมืองเฮลซิงกิ
    รอบ เวลา 16.39-23.35
  • พักที่ Helsinki

Day 6 : Helsinki – Rock Chruch – Aleksanterinkatu

  • นำท่านชม โบสถ์แห่งความรักเทมเปลิโอคิโอ หรือที่รู้จักกันในชื่อ โบสถ์หิน (ROCK CHURCH) เริ่มสร้างขึ้นเมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 1968 ใช้เวลาในการก่อสร้าง 1 ปีเต็ม ถือเป็นโบสถ์ที่แปลกตามาก แต่เดิมเป็นภูหินแกรนิตใหญ่ที่ตั้งอยู่กลางเมือง สร้างขึ้นจากการระเบิดชั้นหินธรรมชาติ ออกแบบโดย Timo และ Tuomo Suomalainen สถาปนิกพี่น้องชาวฟินแลนด์ และเปิดอย่างเป็นทางการในปี 1969 ปัจจุบันโบสถ์แห่งนี้เป็นที่นิยมในการท่องเที่ยวมาก ผู้คนเชื่อว่าใครที่มาจุดเทียนอธิษฐานเกี่ยวกับความรัก จะสมหวังทุกประการ

  • ช้อปปิ้งยังถนน Aleksanterinkatu  เป็นถนนสายที่สำคัญของเมืองและบรรดาขาช้อปทั้งหลาย เป็นถนนที่มีความยาวที่สุดของเมือง อยู่ใกล้กับทำเนียบประธานาธิบดี และสถานที่ที่มีชื่อเสียงอีกหลายแห่ง ทั้งสองฝั่งถนนนั้นเต็มไปด้วยร้านค้าขายของแบรนด์ดังต่างๆ และร้านอาหารอีกมากมายที่ดึงดูดผู้คนเป็นจำนวนมาก นับเป็นถนนคนเดินที่มีชีวิตชีวา คึกคักไปกับแสงสี เหมาะแก่การพบปะ รวมตัว สังสรรค์ โดยจะเป็นที่นิยมอย่างยิ่งในช่วงฤดูร้อน และทุกๆ ปีในเดือนพฤศจิกายน ช่วงวันคริสต์มาส นักท่องเที่ยวจะแห่มาชมการตกแต่งไฟคริสมาสต์ที่สวยงามตระการตา แต่ละร้านมีการประดับประดาด้วยแสงไฟอีกด้วย
  • เดินทางสู่ท่าเรือ FERRY เพื่อนั่งเรือไปยังเมือง Tallinn (ใช้เวลา 2 ชั่วโมง)
  • พักที่ Talinn

Day 7 : Tallinn – Parnu  

  • Tallinn เมืองหลวงของประเทศเอสโตเนีย เป็นเมืองหลวงที่เกิดใหม่หลังการล่มสลายของสหภาพโซเวียต อดีตเคยตกอยู่ภายใต้การปกครองของหลายประเทศ ไม่ว่าจะเป็น เดนมาร์ก สวีเดน และสหภาพโซเวียต  เมืองที่ร่ำรวยไปด้วยสถานที่ท่องเที่ยวที่สวยงามที่ตั้งอยู่บริเวณยุโรปเหนือ ทาลลินน์ได้รับการประกาศให้เป็นมรดกโลกเฉกเช่นเดียวกันกับริก้า และวิลนีอุสเมืองหลวงของของกลุ่มประเทศบอลติก
  • นำท่านชม เมืองเก่าของทาลลินน์ (TALLINN OLD TOWN SQUARE) ที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นเมืองแห่งยุคกลางที่สวยที่สุดในยุโรปเหนือ
  • เดินชม ย่านทุมเปีย TOOMPEA (เมืองบน) ซึ่งเป็นที่ตั้งของปราสาททุมเปีย ปัจจุบันได้ใช้เป็นอาคารรัฐสภาและหน่วยงานราชการ
  • จากนั้นนำท่านชม โบสถ์อเล็กซานเดอร์เนฟสกี้ (ALEXANDER NEVSKY CATHEDRAL) โบสถ์รัสเซียนออร์โธดอกซ์ที่ใหญ่ที่สุดในเอสโทเนีย บันทึกภาพตัวเมืองเก่าแบบพาโนรามาจากจุดชมวิว
  • เดินลัดเลาะแนวกำแพงเมืองสู่จตุรัสกลางเมืองอันเป็นที่ตั้งของศาลากลางรายล้อมด้วยอาคารที่ต่างยุคสมัยกันตั้งแต่ศตวรรษที่ 15-17 ให้ท่านอิสระช้อปปิ้งบน ถนนวีรู (VIRU STREET) ได้ตามอัธยาศัย
  • นำท่านเดินทางสู่ เมืองพาร์นู (Parnu) เมืองตากอากาศริมฝั่งทะเลบอลติกที่เป็นที่นิยมอันดับหนึ่งของประเทศ ระหว่างทางท่านจะได้สัมผัสบรรยากาศกับอาคารบ้านเรือนที่ก่อสร้างในแบบเอสโทเนียนดั้งเดิมซึ่งไม่เหมือนที่ใดในยุโรป (ประมาณ 2 ชม.)
  • พักที่ Parnu

DAY 8 : Parnu – Riga Old Town Square

  • เดินเล่นย้านตัวเมืองที่มีถนนช้อปปิ้งสายสั้นๆแต่เป็นเสน่ห์เอกลักษณ์เฉพาะตัวเพราะสร้างด้วยศิลปะในยุคอาร์ตนูโว
  • นำท่านเดินทางไปยัง เมือง Riga เมืองหลวงของประเทศลัตเวีย(ประมาณ 3 ชม.)
  • ชมย่าน OLD TOWN SQUARE บันทึกภาพ อาคาร HOUSE OF BLACK HEAD อนุสาวรีย์โรแลนด์ โบสถ์เซนต์ปีเตอร์ จัตุรัสโดมสแควร์ที่ตั้งของมหาวิหารที่ใหญ่ที่สุดในกลุ่มประเทศบอลติก ก่อนพาท่านสุ่ตลาดกลางที่ขายสินค้าการเกษตร เช่น ผัก ผลไม้ประจำฤดูกาลราคาถูก โดยที่อาคารแห่งนี้ดัดแปลงมาจากสถานีจอดเรือเหาะ (ZEPPELIN) ที่เคยเปิดให้บริการในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 นอกจากนี้ยังถือว่าอาคารสามหลังนี้ยังเป็นสัญญาลักษณ์ของกรุงริก้าอีกด้วย
  • พักที่ Riga

DAY 9 : Riga – Rundale – Trakai Castle

  • ชม เมืองริก้า (Riga) เมืองหลวงแห่งศิลปะอาร์ตนูโวที่เฟื่องฟูที่สุดในเขตบอลติก ผ่านชมย่านถนนอัลเบิร์ตและเอลิซาเบธที่ยังคงความงดงามของสถาปัตยกรรมในยุคนั้นได้อย่างสมบูรณ์ที่สุด
  • ชม พระราชวังรุนดาเล (RUNDALE PALACE) ที่สร้างในสมัยจักรพรรดินีแอนอิวาโนวาแห่งรัสเซีย เพื่อมอบให้กับชู้รักคนโปรด เคาน์ทไบรอนแห่งเคอร์แลนด์ ตัวพระราชวังออกแบบโดยบาโธเลมิว ราสเตลลี สถาปนิกชื่อดังชาวอิตาเลียน ที่รับใช้ราชสำนักรัสเซียในการออกแบบพระราชวังเฮอร์มิเทจที่นครเซนต์ ปีเตอร์สเบิร์ก ทำให้พระราชวังแห่งนี้มีความงดงามไม่แพ้ที่ใดในยุโรป นอกจากนี้พระราชวังรุนดาเลยังได้รับยกย่องให้เป็นสุดยอดของการออกแบบสถาปัตยกรรมทีเป็น การประยุกต์ของสองวัฒนธรรมระหว่างเยอรมันและรัสเซียได้อย่างลงตัวที่สุดในทวีปยุโรป
  • นำท่านออกเดินทางสู่ เมืองทราไก (TRAKAI) เมืองเล็กๆที่มีความสำคัญทางด้านประวัติศาสตร์ และอดีตเมืองหลวงเก่าของลิทัวเนีย ก่อนที่จะมีการสร้างกรุงวิลนีอุส ตัวเมืองถูกล้อมรอบด้วยทะเลสาบ
  • ชม ปราสาททราไก เป็นปราสาทที่ตั้งอยู่ภายในทะเลสาบ Galve เมืองTrakai ประเทศลิทัวเนีย ถูกสร้างขึ้นในศตวรรษที่ 14 โดย Kestutis ลักษณะสถาปัตยกรรมเป็นรูปแบบโกธิค ปัจจุบันเป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมของประเทศลิทัวเนีย ด้วยทัศนียภาพที่สวยงามทำให้ปราสาทแห่งนี้เป็นสถานที่ในการจัดเทศกาลต่างๆ มากมาย
  • พักที่ Vilnius

DAY 10 : Vilnius Old Town – St. Anne’s Church – Bangkok

  • นำท่านชม เมืองเก่าวิลนีอุส เจ้าของสมญานาม “กรุงโรมแห่งบอลติก” เพราะเป็นศุนย์กลางของศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาธอลิก เมื่อครั้งยังเป็นส่วนหนึ่งของโปแลนด์
  • แวะเก็บภาพที่ โบสถ์เซนต์แอนน์ ที่ได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในโบสถ์ที่สวยที่สุดในวิลนีอุส เป็นโบสถ์แบบโรมันคาทอลิกที่ตั้งอยู่ในเมืองเขตเก่า แต่เดิมในช่วงศตวรรษที่ 14 เคยเป็นโบสถ์ไม้ และในปี ค.ศ 1495-1500 มีพระฟรานซิสกันได้สร้างโบสถ์ที่ทำจากหินขึ้นมาในปี ค.ศ 1874 โบสถ์เซนแอนน์ได้รับการขึ้นเป็นมรดกโลกจากองค์การยูเนสโกด้วย จากนั้นเดนิทางไปยังสนามบิน
  • เดินทางกลับสู่กรุงเทพ โดยสายการบิน FINNAIR เที่ยวบินที่ AY1108 แวะเปลี่ยนเครื่องที่เฮลซิงกิ ถึงเวลา 15.30 น.
  • ออกเดินทางกลับสู่กรุงเทพฯ โดยสายการบิน  FINNAIR เที่ยวบินที่ AY141

DAY 11 : Bangkok  

  • เดินทางถึงกรุงเทพมหานครโดยสวัสดิภาพ

***รายการอาจมีการเปลี่ยนแปลงตามความเหมาะสม***

วันที่จัด

* อธิบายรูปแบบทริป
  • เหมือนเพื่อนพาเที่ยว
  • กลุ่มขนาดเล็กขนาด 4-6 ท่าน
  • ทีมงานคนไทยขับรถพาเที่ยว
  • ปรับเปลี่ยนโปรแกรมได้ (เฉพาะกรุ๊ปเหมา)
  • เหมาะสำหรับผู้ชอบความคล่องตัวและยืดหยุ่นในการเดินทาง
  • สามารถช่วยเหลือตนเองได้ เช่นการยกกระเป๋าหรือสั่งอาหารเอง
  • รวม วีซ่า กิจกรรม การเดินทางทุกชนิดตามโปรแกรม
  • เข้าพัก โรงแรมระดับ 3-4 ดาว ขึ้นกับพื้นที่ 
  • รวม ประกันการเดินทาง
  • สินน้ำใจแล้วแต่จะให้ ไม่บังคับ

** สิ่งที่ไม่รวมในค่าทริปคือตั๋วเครื่องบิน และ อาหารกลางวัน/เย็น

  • Classic Trip เหมาะสำหรับผู้ใหญ่หรือครอบครัวหรือกลุ่มเพื่อนที่ต้องการความสะดวกสบาย ไม่ลุยมากนัก 
  • ใช้รถ Bus ท้องถิ่น คันใหญ่ สะอาด นั่งสบาย (คนขับเป็นคนท้องถิ่น)
  • รวม ค่าตั๋วเครื่องบิน
  • รวม ดำเนินการเรื่องวีซ่า
  • รวม ค่ากิจกรรมและการเดินทางทุกชนิด
  • เข้าพัก โรงแรมระดับ 3-4 ดาว ขึ้นกับพื้นที่
  • รวม อาหารครบทุกมื้อ
  • รวม ประกันการเดินทาง
  • รวม ทิปไกด์

ไปไหนมาดอทคอม • 089-4789334 • 02-045-3445 • Line : @painaima.com • painaima@gmail.com • ติดต่อเรา

ไปไหนมาดอทคอม • ติดต่อเรา

Categories
America

ทัวร์อลาสก้า

ทัวร์อลาสก้า

เที่ยวชมธรรมชาติเน้นๆ จิบไวน์ ดูหมีที่ขั้วโลก ไม่มีที่ไหนเหมาะไปกว่าอลาสก้า

จุดเด่นทริป

โปรแกรมเต็ม

DAY 1: Bangkok – Anchorage

  • นัดพบที่สนามบินสุวรรณภูมิ อาคารผู้โดยสารขาออกระหว่างประเทศ ประตู …..  Row ……

DAY 2 :Anchorage – Byers Lake – Denali (4 Hrs.)

  • เดินทางต่อโดยสายการบิน Lufthansa Airlines เที่ยวบินที่ LH5428
  • ถึงสนามบิน ผ่านการตรวจคนเข้าเมืองแล้ว นำท่านเดินทางไปยัง Byers Lake ทะเลสาบขนาดเล็กใน Denali State Park เป็นทะเลสาบของคนที่ชื่นชอบกิจกรรมกลางแจ้งเนื่องจากมีการปีนเขาที่น่าตื่นตาตื่นใจ พายเรือแคนูพาย เรือคายัคและตั้งแคมป์ตลอดทั้งปี ยังเป็นสถานที่ที่เหมาะสำหรับการเยี่ยมชมในช่วงฤดูหนาว เช่นการตกปลาน้ำแข็ง การเดินหิมะสกีนอร์ดิกและสโนว์โมบิลซึ่งเป็นกิจกรรมยอดนิยมอีกด้วย
  • Denali ขับรถไป Denali National Park เพื่อไปดูภูเขา Denali ภูเขาที่สูงที่สุดในทวีปอเมริกาเหนือ มีสัตว์ป่า หมี ธรรมชาติอลังการ
  • คืนนี้เราจะพักกันที่เมืองใกล้ Denali

DAY 3 :Denali – Wonder Lake

  • Denali National Park เป็นอุทยานแห่งชาติที่มีนักท่องเที่ยวเดินทางมามากเพื่อมาดูแสงเหนือ นอกจากนั้นยังมีธรรมชาติที่สวยงาม รวมถึงเอกลักษณ์ของสัตว์ป่าที่อุดมสมบูรณ์ โดยเฉพาะหมี ที่มีอยู่หลายสายพันธุ์ด้วยกัน ได้แก่ หมีขั้วโลก Polar Bear หมีน้ำตาล Grizzly Bears และหมีดำ Black Bear
  • Wonder Lake สร้างจากธารน้ำแข็งโดยมีวิวทิวทัศน์ที่สวยงามของ Denali และเทือกเขา Alaska
  • คืนนี้เราจะพักกันที่เมืองใกล้ Denali

Day 4 :  Denali – Fairbanks (2.5 Hrs.) – ชมกวางเรนเดียร์ที่ Running Reindeer Ranch – ชมสัตว์ท้องถิ่น Large Animal Research Station – Chena Hot Springs  

  • เมือง Fairbanks เมืองที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ในรัฐอลาสกา สิ่งที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวให้มาที่เมืองนี้มากที่สุดเห็นจะเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้ นอกจากสิ่งที่เรียกว่าปรากฏการณ์แสงเหนือออโรรา (Northern Light Aurora) เมืองนี้เป็นหนึ่งในเมืองที่สามารถรับชมปรากฏการณ์นี้ได้สวยที่สุดในโลก
  • Running Reindeer Ranch เดินเท้าเข้าไปหนึ่งชั่วโมงเพื่อเยี่ยมชมกวางเรนเดียร์ที่จะมีให้เห็นระหว่างถ่าย นักท่องเที่ยวสามารถถ่ายรูปคูากับกวางได้
  • Large Animal Research Station แวะชมสัตว์ท้องถิ่นสถานีวิจัยสัตว์ใหญ่ของ UAF เป็นที่ตั้งของฝูงวิจัย Muskoxen เพียงแห่งเดียวในโลก รวมถึงการชมกวางเรนเดียร์และโค
  • Chena Hot Spring รีสอร์ท hot springs บ่อน้ำพุร้อนที่สามารถรักษาอาจเจ็บป่วยและโรคผิวหนังได้ เช่น โรคสะเก็ดเงินปวดกล้ามเนื้อและโรคไขข้อ
  • คืนนี้เราจะพักกันที่ Fairbanks

Day 5 :Fairbanks – Santa Claus House – Summit Lake – Paxson Mountain – Simpson Hill – Horsetail Falls – Valdez (6.5 Hrs.)

  • Santa Claus House แวะเยี่ยมชมหมู่บ้านซานต้า ครอส เลือกซื้อของฝากตามอัธยาศัย
  • Summit Lake เป็นทะเลสาบวงกลมขนาดเล็กหรือผิวสีแทนซึ่งมีความลึกถึง 20 ฟุต วงกลมนี้เป็นจุดเริ่มต้นของธารน้ำแข็งอัลไพน์ที่หายไปนาน เป็นที่นิยมในช่วงฤดูร้อนซึ่งมีทิวทัศน์ที่สวยงาม Paragliders
  • แวะเยี่ยมชม Paxson Mountain
  • Simpson Hill
  • Horsetail Falls น้ำตกขนาดใหญ่ที่สามารถมองเห็นได้จากในเมือง

Day 6 : Columbia Glacier – Valdez

  • Columbia Glacier ธารน้ำแข็งโคลัมเบียไหลลงมาจากพื้นน้ำแข็ง 10,000 ฟุต (3,050 เมตร) เหนือระดับน้ำทะเลลงไปตามไหล่เขาของภูเขาชูกาคและเข้าสู่ทางเข้าแคบๆ เป็นหนึ่งในธารน้ำแข็งที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วที่สุดในโลก
  • แวะเยี่ยมชมเมือง Valdez

Day 7 :Valdez – แวะชม Matanuska Glacier-Anchorage (5.5 Hrs.)

  • Matanuska Glacier เป็นธารน้ำแข็งที่ใหญ่ที่สุดในอลาสกา
  • Anchorage

DAY 8 : Anchorage – Girdwood-Seward (2.5 Hrs.) – Alaska Wildlife Conservation Center

  • Girdwood-Seward
  • Alaska Wildlife Conservation Center

DAY 9 : Seward-ซื้อทัวร์ Kenai Fjords National Park

  • Seward  
  • Kendai Fjords National Park

DAY 10 : Seward – Exit Glacier-Anchorage (2.5 Hrs.)

  • Exit Glacier

DAY 11 : Anchorage – Frankfurt

  • เดินทางไปยังสนามบิน เพื่อกลับกรุงเทพ โดยสายการบิน Lufthansa Airlines เที่ยวบินที่ LH5429 (13.55-09.50) แวะเปลี่ยนเครื่องที่ Frankfurt

DAY 12 : Frankfurt – Bangkok 

  • ถึง Frankfurt  รอต่อเครื่องกลับกรุงเทพ  โดยสายการบิน Lufthansa Airlines เที่ยวบินที่ LH772 เวลา 22.00 น.
  • เดินทางถึงกรุงเทพ โดยสวัสดิภาพและความประทับใจ

DAY 13 : Bangkok 

  • เดินทางถึงกรุงเทพ โดยสวัสดิภาพ พร้อมความประทับใจ

***รายการอาจมีการเปลี่ยนแปลงตามความเหมาะสม***

วันที่จัด

* อธิบายรูปแบบทริป
  • เหมือนเพื่อนพาเที่ยว
  • กลุ่มขนาดเล็กขนาด 4-6 ท่าน
  • ทีมงานคนไทยขับรถพาเที่ยว
  • ปรับเปลี่ยนโปรแกรมได้ (เฉพาะกรุ๊ปเหมา)
  • เหมาะสำหรับผู้ชอบความคล่องตัวและยืดหยุ่นในการเดินทาง
  • สามารถช่วยเหลือตนเองได้ เช่นการยกกระเป๋าหรือสั่งอาหารเอง
  • รวม วีซ่า กิจกรรม การเดินทางทุกชนิดตามโปรแกรม
  • เข้าพัก โรงแรมระดับ 3-4 ดาว ขึ้นกับพื้นที่ 
  • รวม ประกันการเดินทาง
  • สินน้ำใจแล้วแต่จะให้ ไม่บังคับ

** สิ่งที่ไม่รวมในค่าทริปคือตั๋วเครื่องบิน และ อาหารกลางวัน/เย็น

  • Classic Trip เหมาะสำหรับผู้ใหญ่หรือครอบครัวหรือกลุ่มเพื่อนที่ต้องการความสะดวกสบาย ไม่ลุยมากนัก 
  • ใช้รถ Bus ท้องถิ่น คันใหญ่ สะอาด นั่งสบาย (คนขับเป็นคนท้องถิ่น)
  • รวม ค่าตั๋วเครื่องบิน
  • รวม ดำเนินการเรื่องวีซ่า
  • รวม ค่ากิจกรรมและการเดินทางทุกชนิด
  • เข้าพัก โรงแรมระดับ 3-4 ดาว ขึ้นกับพื้นที่
  • รวม อาหารครบทุกมื้อ
  • รวม ประกันการเดินทาง
  • รวม ทิปไกด์

ไปไหนมาดอทคอม • 089-4789334 • 02-045-3445 • Line : @painaima.com • painaima@gmail.com • ติดต่อเรา

ไปไหนมาดอทคอม • ติดต่อเรา

Categories
America

ทัวร์อเมริกา ยูท่าห์ เยลโล่สโตน

ทัวร์อเมริกา ยูท่าห์ เยลโล่สโตน

รวมอุทยานแห่งชาติ 6 แห่งชาติ จบครบในทริปเดียว สำหรับผู้โหยหาธรรมชาติอย่างเรา

จุดเด่นทริป

โปรแกรมเต็ม

DAY 1: Bangkok – Las Vegas

  •  เดินทางถึงลอสแองเจลลิส จากนั้นเดินทางไปยังเมือง ลาสเวกัส

DAY 2 : Las Vegas – Grand Canyon

  • เดินทางไปยัง อุทยานแห่งชาติแกรนด์แคนยอน (Grand Canyon National Park) ของมลรัฐแอริโซนา ซึ่งถือเป็นสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่สวยงามแปลกตา เป็นแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่สำคัญและเป็นสัญลักษณ์ของมลรัฐแอริโซนา
  • เดินทางเข้าสู่ที่พัก Grand Canyon

DAY 3 :Grand canyon – Hourshoe bend – Lake powell – Page 

  • เดินทางไปสัมผัสกับความมหัศจรรย์ของแกรนด์แคนยอน สถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติ ตระการตากับการชมหุบเขาขนาดใหญ่ที่มีความสูงและลึก อันเกิดจากชั้นหินสูงและแม่น้ำโคโลราโด (Colorado River) ที่ไหลผ่านที่ราบสูงอย่างสม่ำเสมอ จึงเกิดการสึกกร่อน และพังทลายของหินเป็นเวลากว่า 225 ล้านปีมาแล้ว
  • เดินทางไปเที่ยวชม Horseshoe Bend ซึ่งเป็นจุดโค้งของแม่น้ำ Colorado ที่น่าตื่นตาตื่นใจ โดยสถานที่แห่งนี้ เกิดขึ้นจากการกัดเซาะทำให้มีรูปร่างคล้ายเกือกม้า
  • Lake Powell เป็นสถานที่สำหรับพักผ่อนหย่อนใจที่ดีที่สุดอีกแห่งหนึ่ง โดยสาเหตุของการเกิดแหล่งน้ำแห่งนี้  เนื่องจากการสร้างเขื่อนกั้นน้ำขนาดใหญ่ คือ เขื่อนกันน้ำ Colorado
  • เข้าสู่ที่พักที่เมือง Page ซึ่งเป็นเมืองเล็กๆ ใน Arizona ที่มีความพิเศษอย่างมาก  เนื่องจากมีสถานที่ท่องเที่ยวอย่างหลากหลาย จึงเหมาะสำหรับคนที่ชอบถ่ายภาพ ซึ่งต้องมาเยือนให้ได้สักครั้ง
  • พักที่ Page

Day 4 : Upper Antelope – Lower Antelope – Page
 

  • เดินทางไปชม Upper Antelope Canyon หุบเขาที่น่าพิศวงและอันตรายที่สุด การจะเข้าไปชมนั้นต้องติดต่อขอนุญาตจากทางอุทยาน Navajo เท่านั้น โดยจะมีไกด์ ซึ่งเป็นชาว Navajo เป็นผู้นำทาง Navajo Sandstone จะเกิดภาพสะท้อนที่สวยงามแปลกตาที่ไม่ซ้ำกันในแต่ละฤดูกาล เนื่องจากการหักเหของแสงอาทิตย์จะเปลี่ยนแปลงไปเมื่อเข้าสู่ฤดูกาลต่างๆ เช่น ฤดูร้อน แสงอาทิตย์จะเจิดจ้าเป็นพิเศษ จึงทำให้แสงเป็นโทนสีส้ม สีแดง ส่วนฤดูใบไม้ร่วง แสงอาทิตย์จะอ่อนลง

  • Lower Antelope Canyon เพราะเป็นลักษณะของหุบเขาหินทรายสีแดง อันเกิดจากกระบวนการทางธรรมชาติที่ผ่านมาอย่างยาวนาน โดยมีการกัดเซาะของน้ำ ลม และแสงแดด จึงทำให้พื้นที่แห่งนี้เกิดเป็นร่องหินต่างๆ ที่มากด้วยสีสัน
  • พักที่ Page

Day 5 : Monument Valley – Moab  

  • เดินทางไปยัง Monument valley  เป็นหุบเขาที่เต็มไปด้วยซากหินรูปร่างลักษณะแปลกตา ก่อตัวขึ้นเป็นรูปทรงต่างๆราวกับมนุษย์สร้าง เช่น หินรูปทรงปราสาท เป็นหินที่มีลักษณะยอดราบ และอื่นๆอีกหลายรูปแบบ  โดยหุบเขาของหินประหลาดแห่งนี้ จะถูกล้อมรอบไปด้วยภูเขาหินทรายสีแดงที่มีอายุมากกว่า 50 ล้านปี

  • นำท่านเดินทางไปยังเมือง Moab ซึ่งเป็นเมืองเล็กๆของรัฐยูท่าห์ แต่โดดเด่นไปด้วยสถานที่ท่องเที่ยวแนว Adventure จึงดึงดูดนักท่องเที่ยวที่ชื่นชอบการผจญภัยให้มาเยือนอย่างไม่ขาดสาย
  • พักที่ Moab

Day 6 : Canyonlands – Moab

  • ชม Canyonlands อุทยานแห่งชาติแคนยอนแลนด์ ความโดดเด่นของอุทยานแห่งชาติแคนยอนแลนด์ ที่ทำให้นักท่องเที่ยวอยากมาสัมผัส มากไปด้วยสีสันที่เกิดจากการกัดเซาะของหิน ในหุบเขา Mesas และ Buttes โดยแม่น้ำ Colorado และ แม่น้ำ Green เอกลักษณ์ที่สำคัญของอุทยาน โดยเชื่อว่า ซุ้มหินโค้งเว้าเหล่านี้ ปรากฎอยู่เป็นระยะเวลานานมากกว่าล้านปีมาแล้ว

  • พักที่ Moab

Day 7 : Arches National Park – Moab

  • นำท่านไปยังอุทยานแห่งชาติ Arches National Park เป็นอุทยานที่มีความโดดเด่นและพิเศษอย่างมาก เพราะมากไปด้วยหินโค้งกว่า 200 แห่ง โดยเฉพาะ  Land Scape เป็นสะพานหินโค้งที่ยาวที่สุด มีความสูงเหนือแองหินขนาดใหญ่ เปรียบได้กับความสูงเท่าตึก 7 ชั้น จึงกลายเป็นจุดเด่นที่สุดในอุทยานแห่งนี้
  • Park Avenue ซึ่งเป็นชื่อของหน้าผา ที่เด่นระฟ้า ตลอดจนความน่าอัศจรรย์ใจของแท่งหินที่เรียกว่า  Three Gossips มีลักษณะเป็นรูปคล้ายกับคนสามคนยืนเรียงรายกันอยู่ , Balanced Rock เป็นต้น

  • สถานที่ที่เรียกว่า Windows Section สัมผัสกับซุ้มหินโค้ง North Window และ South Window  ที่มีลักษณะคล้ายคลึงกับหน้าต่างบานใหญ่ๆ มองออกไปเห็นภาพทิวทัศน์จนสุดลูกหูลูกตา
  • Devil’s Garden เป็นสถานที่อันพิศวงและน่าค้นหา จนไม่อาจละสายตาได้เพราะคล้ายคลึงกับดินแดนในเทพนิยาย  เมื่อเดินเข้าไปประมาณ 1.5 กม. จะพบกับซุ้มหินโค้งที่มีขนาดความยาวมากกว่า 18 เมตร ได้แก่  Delicate Arch กับ Landscape Arch  ซึ่งเป็นซุ้มหินโค้งที่มีความยาวมากที่สุดในโลกอีกหนึ่งแห่งและมีชื่อเสียงโด่งดัง
  • พักที่ Moab

DAY 8 : Moab – Bryce Canyon National Park

  • มุ่งหน้าสู่อุทยานแห่งชาติ ไบรซ์ แคนยอน (Bryce Canyon Nation Park) สิ่งที่ตื่นตาตื่นใจนักท่องเที่ยวเป็นอย่างมากในไบรซ์แคนยอน คือ แท่งหินยอดแหลม หรือเรียกกันว่า ฮูดู (Hoodoos) เรียงรายกันเป็นแนวยาว สูงตระหง่านเสียดฟ้า ดูสวยแปลกตา เพราะมีรูปทรงที่แปลกประหลาดแต่น่าชวนมอง ด้วยเหตุนี้จึงทำให้แท่งหินยอดแหลม กลายเป็นสัญลักษณ์ที่สำคัญของไบรซ์แคนยอน

  • พักที่ ใกล้กับ  Bryce Canyon

DAY 9 : Bryce Canyon – Zion National Park – Las Vegas

  • เดินทางไปยังอุทยานแห่งชาติ Zion National Park  แหล่งท่องเที่ยวที่ดึงดูดใจนักเดินทาง ที่ชื่นชอบธรรมชาติ เดินป่า การผจญภัย และปีนเขาให้มาสัมผัสธรรมชาติและความท้าทาย โดยสภาพภูมิประเทศส่วนใหญ่ในบริเวณนี้ มากไปด้วยทะเลทรายอันกว้างใหญ่

  • เดินทางกลับสู่เมทือง Las vegas คืนนี้พักที่ Las vegas

DAY 10 : Las Vegas – Idaho falls – Teton

  • เช้า อิสระตามอัธยาศัย ช่วงบ่ายเตรียมกลับไทย 
  • เดินทางไปยังเมือง Idaho Falls โดยสายการบินภายในประเทศ แวะเปลี่ยนเครื่องที่ Salt Lake City 

  • เดินทางไปยัง อุทยานแห่งชาติแกรนด์ทีทอน (Grand Teton National Park) สัมผัสความสวยงามของธรรมชาติกันอย่างจุใจ อีกทั้งอุทยานแห่งชาติไวโอมิง ยังถือเป็นสถานที่ที่มีชื่อเสียงด้านการท่องเที่ยวอีกแห่งหนึ่ง
  • พักที่ teton

DAY 11 : Teton – Yellowstone

  • ชมภูเขาแกรนด์ทีทอน (Grand Teton Mountain) เป็นอุทยานที่ยังคงความเป็นธรรมชาติได้อย่างลงตัว สภาพผืนป่าเป็นทะเลสาบ สลับกับทุ่งหญ้ากว้าง มีทัศนียภาพของภูเขาที่สวยงามเป็นเอกลักษณ์ รวมไปถึงความอุดมสมบูรณ์ของสัตว์ป่าหลากหลายชนิด ที่โดดเด่นอย่างมากคือกวางมูส ซึ่งเป็นกวางขนาดใหญ่และยังมีชีวิตอยู่ในอุทยานแห่งนี้ ตลอดจนสัตว์ป่าสายพันธุ์อื่นๆ เช่น สิงโตภูเขา นกอินทรีหัวล้าน วัวกระทิง เป็นต้น
  • เดินทางสู่อุทยานแห่งแรกของโลก อุทยานแห่งชาติเยลโลว์สโตน (Yellowstone Plateau)
  • คืนนี้พักที่ Yellow Stone

DAY 12 : Yellowstone National Park

  • อุทยานแห่งแรกของอเมริกา อุทยานแห่งชาติเยลโลสโตน (Yellowstone Plateau) อุทยานแห่งนี้มีความโดดเด่นอย่างมาก เพราะเป็นสถานที่ตั้งของทะเลสาบเยลโลวสโตน หนึ่งในทะเลสาบที่มีพื้นที่ขนาดใหญ่และสูงที่สุดในทวิปอเมริกาเหนืออีกด้วย
  • นำคณะชม แมมมอธ ฮอตสปริง (Mammoth Hot Springs) สัมผัสกับทัศนียภาพที่สวยงามตระการตาของบ่อน้ำพุร้อนอายุนับพันปีที่สลับซับซ้อนบนเนินเขา
  • นำท่านชม บ่อน้ำพุร้อนนอริส (Norris Gerser Basin) เป็นบ่อน้ำพุร้อนที่เกิดความเปลี่ยนแปลงบ่อยที่สุดในอุทยานและยังมีอุณหภูมิที่สูงที่สุดอีกด้วย
  • นำชม แกรนด์แคนยอนแห่งเยลโลสโตน (Grand Canyon of Yellowstone) ซึ่งเป็นหุบเหวที่เกิดขึ้นจากเหตุภูเขาไฟระเบิดทำให้เกิดการแยกตัวของพื้นโลก ตลอดจนการเคลื่อนตัวของน้ำแข็งในยุคที่น้ำแข็งละลาย จึงกลายมาเป็นหุบเหวเช่นในปัจจุบัน 

  • คืนนี้พักที่ Yellow Stone

DAY 13 : Yellowstone – Idaho falls – San Francisco

  • เดินทางกลับเมือง Idaho Falls (ประมาณ 2 ชม.) เพื่อเดินทางไปยังสนามบิน จุดหมายปลายทางสู่ ซานฟรานซิสโก
  • เดินทางชม Golden Gate Bridge เป็นสะพานที่มีความโดดเด่นและสวยงามไปด้วยทัศนียภาพ เป็นสะพานที่เชื่อมไปยัง Marin Country โดยมีอายุการสร้างมากว่า 65 ปี มีกิจกรรมที่ทำให้ผู้มาเยือนได้ผ่อนคลาย คือ การปั่นจักรยาน หรือเดินเล่นชมบรรยากาศเพลินๆ

  • ชมฟิชเชอร์แมน วาร์ฟ (Fisherman’s Wharf) ซึ่งเป็นท่าเทียบเรือของชาวประมงที่มีความสำคัญอีกหนึ่งแห่งทางด้านประวัติศาสตร์ โดยท่าเทียบเรือแห่งนี้เป็นตลาดขายส่งปลา และถูกพัฒนาเรื่อยมาจนกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงในปัจจุบัน
  • คืนนี้พักที่เมือง ซานฟรานซิสโก

DAY 14 : San Francisco

  •  เชคอินสายการบิน EVA Air (แวะเปลี่ยนเครื่องที่ไทเป)
  • เดินทางถึงสนามบินสุวรรณภูมิ โดยสวัสดิภาพ

***รายการอาจมีการเปลี่ยนแปลงตามความเหมาะสม***

DAY 1: Bangkok – Las Vegas

  •  เดินทางถึงลอสแองเจลลิส จากนั้นเดินทางไปยังเมือง ลาสเวกัส

DAY 2 : Las Vegas – Grand Canyon

  • เดินทางไปยัง อุทยานแห่งชาติแกรนด์แคนยอน (Grand Canyon National Park) ของมลรัฐแอริโซนา ซึ่งถือเป็นสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่สวยงามแปลกตา เป็นแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่สำคัญและเป็นสัญลักษณ์ของมลรัฐแอริโซนา
  • เดินทางเข้าสู่ที่พัก Grand Canyon

DAY 3 :Grand canyon – Hourshoe bend – Lake powell – Page 

  • เดินทางไปสัมผัสกับความมหัศจรรย์ของแกรนด์แคนยอน สถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติ ตระการตากับการชมหุบเขาขนาดใหญ่ที่มีความสูงและลึก อันเกิดจากชั้นหินสูงและแม่น้ำโคโลราโด (Colorado River) ที่ไหลผ่านที่ราบสูงอย่างสม่ำเสมอ จึงเกิดการสึกกร่อน และพังทลายของหินเป็นเวลากว่า 225 ล้านปีมาแล้ว
  • เดินทางไปเที่ยวชม Horseshoe Bend ซึ่งเป็นจุดโค้งของแม่น้ำ Colorado ที่น่าตื่นตาตื่นใจ โดยสถานที่แห่งนี้ เกิดขึ้นจากการกัดเซาะทำให้มีรูปร่างคล้ายเกือกม้า
  • Lake Powell เป็นสถานที่สำหรับพักผ่อนหย่อนใจที่ดีที่สุดอีกแห่งหนึ่ง โดยสาเหตุของการเกิดแหล่งน้ำแห่งนี้  เนื่องจากการสร้างเขื่อนกั้นน้ำขนาดใหญ่ คือ เขื่อนกันน้ำ Colorado
  • เข้าสู่ที่พักที่เมือง Page ซึ่งเป็นเมืองเล็กๆ ใน Arizona ที่มีความพิเศษอย่างมาก  เนื่องจากมีสถานที่ท่องเที่ยวอย่างหลากหลาย จึงเหมาะสำหรับคนที่ชอบถ่ายภาพ ซึ่งต้องมาเยือนให้ได้สักครั้ง
  • พักที่ Page

Day 4 : Upper Antelope – Lower Antelope – Page
 

  • เดินทางไปชม Upper Antelope Canyon หุบเขาที่น่าพิศวงและอันตรายที่สุด การจะเข้าไปชมนั้นต้องติดต่อขอนุญาตจากทางอุทยาน Navajo เท่านั้น โดยจะมีไกด์ ซึ่งเป็นชาว Navajo เป็นผู้นำทาง Navajo Sandstone จะเกิดภาพสะท้อนที่สวยงามแปลกตาที่ไม่ซ้ำกันในแต่ละฤดูกาล เนื่องจากการหักเหของแสงอาทิตย์จะเปลี่ยนแปลงไปเมื่อเข้าสู่ฤดูกาลต่างๆ เช่น ฤดูร้อน แสงอาทิตย์จะเจิดจ้าเป็นพิเศษ จึงทำให้แสงเป็นโทนสีส้ม สีแดง ส่วนฤดูใบไม้ร่วง แสงอาทิตย์จะอ่อนลง

  • Lower Antelope Canyon เพราะเป็นลักษณะของหุบเขาหินทรายสีแดง อันเกิดจากกระบวนการทางธรรมชาติที่ผ่านมาอย่างยาวนาน โดยมีการกัดเซาะของน้ำ ลม และแสงแดด จึงทำให้พื้นที่แห่งนี้เกิดเป็นร่องหินต่างๆ ที่มากด้วยสีสัน
  • พักที่ Page

Day 5 : Monument Valley – Moab  

  • เดินทางไปยัง Monument valley  เป็นหุบเขาที่เต็มไปด้วยซากหินรูปร่างลักษณะแปลกตา ก่อตัวขึ้นเป็นรูปทรงต่างๆราวกับมนุษย์สร้าง เช่น หินรูปทรงปราสาท เป็นหินที่มีลักษณะยอดราบ และอื่นๆอีกหลายรูปแบบ  โดยหุบเขาของหินประหลาดแห่งนี้ จะถูกล้อมรอบไปด้วยภูเขาหินทรายสีแดงที่มีอายุมากกว่า 50 ล้านปี

  • นำท่านเดินทางไปยังเมือง Moab ซึ่งเป็นเมืองเล็กๆของรัฐยูท่าห์ แต่โดดเด่นไปด้วยสถานที่ท่องเที่ยวแนว Adventure จึงดึงดูดนักท่องเที่ยวที่ชื่นชอบการผจญภัยให้มาเยือนอย่างไม่ขาดสาย
  • พักที่ Moab

Day 6 : Canyonlands – Moab

  • ชม Canyonlands อุทยานแห่งชาติแคนยอนแลนด์ ความโดดเด่นของอุทยานแห่งชาติแคนยอนแลนด์ ที่ทำให้นักท่องเที่ยวอยากมาสัมผัส มากไปด้วยสีสันที่เกิดจากการกัดเซาะของหิน ในหุบเขา Mesas และ Buttes โดยแม่น้ำ Colorado และ แม่น้ำ Green เอกลักษณ์ที่สำคัญของอุทยาน โดยเชื่อว่า ซุ้มหินโค้งเว้าเหล่านี้ ปรากฎอยู่เป็นระยะเวลานานมากกว่าล้านปีมาแล้ว

  • พักที่ Moab

Day 7 : Arches National Park – Moab

  • นำท่านไปยังอุทยานแห่งชาติ Arches National Park เป็นอุทยานที่มีความโดดเด่นและพิเศษอย่างมาก เพราะมากไปด้วยหินโค้งกว่า 200 แห่ง โดยเฉพาะ  Land Scape เป็นสะพานหินโค้งที่ยาวที่สุด มีความสูงเหนือแองหินขนาดใหญ่ เปรียบได้กับความสูงเท่าตึก 7 ชั้น จึงกลายเป็นจุดเด่นที่สุดในอุทยานแห่งนี้
  • Park Avenue ซึ่งเป็นชื่อของหน้าผา ที่เด่นระฟ้า ตลอดจนความน่าอัศจรรย์ใจของแท่งหินที่เรียกว่า  Three Gossips มีลักษณะเป็นรูปคล้ายกับคนสามคนยืนเรียงรายกันอยู่ , Balanced Rock เป็นต้น

  • สถานที่ที่เรียกว่า Windows Section สัมผัสกับซุ้มหินโค้ง North Window และ South Window  ที่มีลักษณะคล้ายคลึงกับหน้าต่างบานใหญ่ๆ มองออกไปเห็นภาพทิวทัศน์จนสุดลูกหูลูกตา
  • Devil’s Garden เป็นสถานที่อันพิศวงและน่าค้นหา จนไม่อาจละสายตาได้เพราะคล้ายคลึงกับดินแดนในเทพนิยาย  เมื่อเดินเข้าไปประมาณ 1.5 กม. จะพบกับซุ้มหินโค้งที่มีขนาดความยาวมากกว่า 18 เมตร ได้แก่  Delicate Arch กับ Landscape Arch  ซึ่งเป็นซุ้มหินโค้งที่มีความยาวมากที่สุดในโลกอีกหนึ่งแห่งและมีชื่อเสียงโด่งดัง
  • พักที่ Moab

DAY 8 : Moab – Bryce Canyon National Park

  • มุ่งหน้าสู่อุทยานแห่งชาติ ไบรซ์ แคนยอน (Bryce Canyon Nation Park) สิ่งที่ตื่นตาตื่นใจนักท่องเที่ยวเป็นอย่างมากในไบรซ์แคนยอน คือ แท่งหินยอดแหลม หรือเรียกกันว่า ฮูดู (Hoodoos) เรียงรายกันเป็นแนวยาว สูงตระหง่านเสียดฟ้า ดูสวยแปลกตา เพราะมีรูปทรงที่แปลกประหลาดแต่น่าชวนมอง ด้วยเหตุนี้จึงทำให้แท่งหินยอดแหลม กลายเป็นสัญลักษณ์ที่สำคัญของไบรซ์แคนยอน

  • พักที่ ใกล้กับ  Bryce Canyon

DAY 9 : Bryce Canyon – Zion National Park – Las Vegas

  • เดินทางไปยังอุทยานแห่งชาติ Zion National Park  แหล่งท่องเที่ยวที่ดึงดูดใจนักเดินทาง ที่ชื่นชอบธรรมชาติ เดินป่า การผจญภัย และปีนเขาให้มาสัมผัสธรรมชาติและความท้าทาย โดยสภาพภูมิประเทศส่วนใหญ่ในบริเวณนี้ มากไปด้วยทะเลทรายอันกว้างใหญ่

  • เดินทางกลับสู่เมทือง Las vegas คืนนี้พักที่ Las vegas

DAY 10 : Las Vegas – Idaho falls – Teton

  • เช้า อิสระตามอัธยาศัย ช่วงบ่ายเตรียมกลับไทย 
  • เดินทางไปยังเมือง Idaho Falls โดยสายการบินภายในประเทศ แวะเปลี่ยนเครื่องที่ Salt Lake City 

  • เดินทางไปยัง อุทยานแห่งชาติแกรนด์ทีทอน (Grand Teton National Park) สัมผัสความสวยงามของธรรมชาติกันอย่างจุใจ อีกทั้งอุทยานแห่งชาติไวโอมิง ยังถือเป็นสถานที่ที่มีชื่อเสียงด้านการท่องเที่ยวอีกแห่งหนึ่ง
  • พักที่ teton

DAY 11 : Teton – Yellowstone

  • ชมภูเขาแกรนด์ทีทอน (Grand Teton Mountain) เป็นอุทยานที่ยังคงความเป็นธรรมชาติได้อย่างลงตัว สภาพผืนป่าเป็นทะเลสาบ สลับกับทุ่งหญ้ากว้าง มีทัศนียภาพของภูเขาที่สวยงามเป็นเอกลักษณ์ รวมไปถึงความอุดมสมบูรณ์ของสัตว์ป่าหลากหลายชนิด ที่โดดเด่นอย่างมากคือกวางมูส ซึ่งเป็นกวางขนาดใหญ่และยังมีชีวิตอยู่ในอุทยานแห่งนี้ ตลอดจนสัตว์ป่าสายพันธุ์อื่นๆ เช่น สิงโตภูเขา นกอินทรีหัวล้าน วัวกระทิง เป็นต้น
  • เดินทางสู่อุทยานแห่งแรกของโลก อุทยานแห่งชาติเยลโลว์สโตน (Yellowstone Plateau)
  • คืนนี้พักที่ Yellow Stone

DAY 12 : Yellowstone National Park

  • อุทยานแห่งแรกของอเมริกา อุทยานแห่งชาติเยลโลสโตน (Yellowstone Plateau) อุทยานแห่งนี้มีความโดดเด่นอย่างมาก เพราะเป็นสถานที่ตั้งของทะเลสาบเยลโลวสโตน หนึ่งในทะเลสาบที่มีพื้นที่ขนาดใหญ่และสูงที่สุดในทวิปอเมริกาเหนืออีกด้วย
  • นำคณะชม แมมมอธ ฮอตสปริง (Mammoth Hot Springs) สัมผัสกับทัศนียภาพที่สวยงามตระการตาของบ่อน้ำพุร้อนอายุนับพันปีที่สลับซับซ้อนบนเนินเขา
  • นำท่านชม บ่อน้ำพุร้อนนอริส (Norris Gerser Basin) เป็นบ่อน้ำพุร้อนที่เกิดความเปลี่ยนแปลงบ่อยที่สุดในอุทยานและยังมีอุณหภูมิที่สูงที่สุดอีกด้วย
  • นำชม แกรนด์แคนยอนแห่งเยลโลสโตน (Grand Canyon of Yellowstone) ซึ่งเป็นหุบเหวที่เกิดขึ้นจากเหตุภูเขาไฟระเบิดทำให้เกิดการแยกตัวของพื้นโลก ตลอดจนการเคลื่อนตัวของน้ำแข็งในยุคที่น้ำแข็งละลาย จึงกลายมาเป็นหุบเหวเช่นในปัจจุบัน 

  • คืนนี้พักที่ Yellow Stone

DAY 13 : Yellowstone – Idaho falls – San Francisco

  • เดินทางกลับเมือง Idaho Falls (ประมาณ 2 ชม.) เพื่อเดินทางไปยังสนามบิน จุดหมายปลายทางสู่ ซานฟรานซิสโก โดยสายการบินภายในประเทศ โดยแวะเปลี่ยนเครื่องที่ Salt Lake City
  • เมืองซานฟรานซิสโก (c) ซึ่งเป็นเมืองขนาดเล็ก แต่มากไปด้วยสถานท่องเที่ยวอย่างหลากหลายและคราคร่ำไปด้วยผู้คน

DAY 14 : San Francisco – Yosemite

  • เดินทางสู่อุทยานแห่งชาติโยเซมิตี้ (Yosemite National Park) ในอดีตหุบเขาแห่งนี้ถูกน้ำแข็งตัดผ่าน จนมีกว้างของหุบเขา 1.6 กิโลเมตร มีความโดดเด่นไปด้วยภูเขาหินขนาดใหญ่สองลูกที่ตระหง่านเป็นสัญลักษณ์ นั่นคือ ฮาล์ฟโดม(Half Dome) และ แอลแคปปิตอล (EI Capital)

DAY 15 : Yosemite

  • ชมทะเลสาบโมโน (Mono Lake) หรือ An Alien Landscape เป็นทะเลสาบที่มีทัศนียภาพที่น่าสนใจ เพราะบนผืนน้ำจะสลับไปด้วยโขดหินแหลมรูปทรงแปลกตา แต่ทะเลสาบแห่งนี้ก็ยังขึ้นชื่อว่าเป็นทะเลสาบที่มากไปด้วยการปนเปื้อนของสารหนู

DAY 16 : Yosemite – San Francisco

  • นำท่านเดินทางกลับเมือง San Francisco
  • ชม Golden Gate Bridge เป็นสะพานที่มีความโดดเด่นและสวยงามไปด้วยทัศนียภาพ เป็นสะพานที่เชื่อมไปยังMarin Country โดยมีอายุการสร้างมากว่า 65 ปี มีกิจกรรมที่ทำให้ผู้มาเยือนได้ผ่อนคลาย คือ การปั่นจักรยาน หรือเดินเล่นชมบรรยากาศเพลินๆ

  • ชมฟิชเชอร์แมน วาร์ฟ (Fisherman’s Wharf) ซึ่งเป็นท่าเทียบเรือของชาวประมงที่มีความสำคัญอีกหนึ่งแห่งทางด้านประวัติศาสตร์ โดยท่าเทียบเรือแห่งนี้เป็นตลาดขายส่งปลา และถูกพัฒนาเรื่อยมาจนกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงในปัจจุบัน

DAY 17 :  San Francisco – Bangkok

  • นำท่านเดินทางไปยังสนามบิน เพื่อเดินทางกลับสู่กรุงเทพฯ เชคอินสายการบิน EVA Air (แวะเปลี่ยนเครื่องที่ไทเป) Flight – BR7 13.00-17.30 และ BR205 20.45-23.30

  • เดินทางถึงสนามบินสุวรรณภูมิ โดยสวัสดิภาพ

***รายการอาจมีการเปลี่ยนแปลงตามความเหมาะสม***

วันที่จัด

* อธิบายรูปแบบทริป
  • เหมือนเพื่อนพาเที่ยว
  • กลุ่มขนาดเล็กขนาด 4-6 ท่าน
  • ทีมงานคนไทยขับรถพาเที่ยว
  • ปรับเปลี่ยนโปรแกรมได้ (เฉพาะกรุ๊ปเหมา)
  • เหมาะสำหรับผู้ชอบความคล่องตัวและยืดหยุ่นในการเดินทาง
  • สามารถช่วยเหลือตนเองได้ เช่นการยกกระเป๋าหรือสั่งอาหารเอง
  • รวม วีซ่า กิจกรรม การเดินทางทุกชนิดตามโปรแกรม
  • เข้าพัก โรงแรมระดับ 3-4 ดาว ขึ้นกับพื้นที่ 
  • รวม ประกันการเดินทาง
  • สินน้ำใจแล้วแต่จะให้ ไม่บังคับ

** สิ่งที่ไม่รวมในค่าทริปคือตั๋วเครื่องบิน และ อาหารกลางวัน/เย็น

  • Classic Trip เหมาะสำหรับผู้ใหญ่หรือครอบครัวหรือกลุ่มเพื่อนที่ต้องการความสะดวกสบาย ไม่ลุยมากนัก 
  • ใช้รถ Bus ท้องถิ่น คันใหญ่ สะอาด นั่งสบาย (คนขับเป็นคนท้องถิ่น)
  • รวม ค่าตั๋วเครื่องบิน
  • รวม ดำเนินการเรื่องวีซ่า
  • รวม ค่ากิจกรรมและการเดินทางทุกชนิด
  • เข้าพัก โรงแรมระดับ 3-4 ดาว ขึ้นกับพื้นที่
  • รวม อาหารครบทุกมื้อ
  • รวม ประกันการเดินทาง
  • รวม ทิปไกด์

ไปไหนมาดอทคอม • 089-4789334 • 02-045-3445 • Line : @painaima.com • painaima@gmail.com • ติดต่อเรา

ไปไหนมาดอทคอม • ติดต่อเรา

Categories
America

ทัวร์อเมริกาใต้

ทัวร์อเมริกาใต้

---

จุดเด่นทริป

โปรแกรมเต็ม

DAY 1: Bangkok – Buenos Aires night

  • นัดพบกันที่สนามบินสุวรรณภูมิ เตรียมตัวเดินทางไกลข้ามซีกโลกสู่กรุงบัวโนส ไอเรส (BUENOS AIRES)
  • ออกเดินทางสู่กรุงบัวโนส ไอเรส (BUENOS AIRES) สมญาปารีส แห่งทวีปอเมริกาใต้ ดินแดนสตรีผู้สร้างตำนานอย่าง เอวา เปรอง (Eva Peron) ประเทศอาเจนติน่า จากนั้นเดินทางเข้าที่พัก ณ ย่านศุนย์กลางเศษฐกิจและการค้าของเมือง

DAY 2 : fly Buenos aires to El Calafate- -Calafate-el chalten

  • เดินทางสู่เมืองเอล คาลาฟาเต้ (EL CALAFATE) โดยสายการบิน AEROLINEAS ที่ตั้งอยู่เกือบปลายสุดของทวีป โดยหมูบ้านเอล คาลาฟาเต้นั้น เป็นหมู่บ้านชาวประมงเล็กๆ ริมฝั่งมหาสมุทรที่เปรียบเสมือนประตูสู่ดินแดนอุทยานแห่งชาติ บริเวณพาตาโกเนีย ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของทวีป
  • เข้าชม ธารน้ำแข็งเปริโต โมเรโน่ (Perito Moreno) ตั้งอยู่ในอุทยานแห่งชาติลอส กลาเซียเรส ธารน้ำแข็งสีขาวอมฟ้าที่มีขนาดใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก กว้างถึง 5 กิโลเมตร สูงกว่า 80 เมตร ที่สำคัญองค์การยูเนสโก้ได้ประกาศขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกในปี 1981 และหนึ่งใน Highligh อย่างหนึ่งของการมาที่นี่คือการได้รอคอยก้อนน้ำแข็งยักษ์หล่นลงพื้นทะเลสาบ
  • เดินทางสู่ หมู่บ้าน El Chalten เมืองเล็กๆ ห่างจาก El Calafate 220 กม.ใช้เวลาเดินทางประมาณ 3 ชั่วโมง ซึ่งเป็นประตูสู่เส้นทาง trekking ต่างๆ มากมาย โดยรอบยอดเขา Fitz Roy ที่เปรียบเหมือนสัญลักษณ์ของดินแดนพาตาโกเนียอันเลื่องชื่อ

DAY 3 : El chalten – Stay on at Calafate village

  • เข้าชม ธารน้ำแข็งเปริโต โมเรโน่ (Perito Moreno) ตั้งอยู่ในอุทยานแห่งชาติลอส กลาเซียเรส ธารน้ำแข็งสีขาวอมฟ้าที่มีขนาดใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก กว้างถึง 5 กิโลเมตร สูงกว่า 80 เมตร ที่สำคัญองค์การยูเนสโก้ได้ประกาศขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกในปี 1981 และหนึ่งใน Highligh อย่างหนึ่งของการมาที่นี่คือการได้รอคอยก้อนน้ำแข็งยักษ์หล่นลงพื้นทะเลสาบ
  • หมู่บ้าน El Chalten เมืองเล็กๆ ห่างจาก El Calafate 220 กม.ใช้เวลาเดินทางประมาณ 3 ชั่วโมง ซึ่งเป็นประตูสู่เส้นทาง trekking ต่างๆ มากมาย โดยรอบยอดเขา Fitz Roy ที่เปรียบเหมือนสัญลักษณ์ของดินแดนพาตาโกเนียอันเลื่องชื่อ

Day 4 : Calafate to puerto natales – Terros Del Panie o/n Hosteria

  • เมือง puerto natales เปอโตนาเลสที่อยู่ห่างออกไปประมาณ 6 ชั่วโมง ในประเทศชิลี
  •  อุทยาน Terros Del Pane อุทยานแห่งนี้ได้รับการขึ้นทะเบียนโดยองค์การ UNESCO ในปี 1978 (Terros Del Panie แปลว่า blue tower) เป็นอุทยานที่ครอบคลุมด้วยภูเขาน้ำแข็ง, ทะเลสาบและที่ราบลุ่มริมแม่น้ำ มีเขตติดต่อกับ Bernardo O’Higgins National Park และ Los Glaciares National Park ทางฝั่งอาร์เจนติน่า โดยกินพื้นที่กว่า 2,400 กม. และยังเป็นที่ตั้งของยอดเขาที่มีรูปทรงแปลกตามากมาย ที่เกิดจากแรงกัดกร่อนของลมมานานนับหลายพันล้านปี และยังมีชื่อเสียงในหมู่นักเดินป่า นักปีนเขาทั่วโลก ในฐานะอุทยานที่เป็นที่ตั้งของเส้นทาง W Trek ที่โด่งดังที่สุดในทวีปอเมริกาใต้

Day 5 : Drive around / evening drive to puerto natales  

  • อุทยาน Terros Del Pane อันประกอบไปด้วย ทะเลสาบสีฟ้าอันงดงาม วิวยอดเขารูปทรงแปลกตาที่เรียงรายอยู่โดยรอบ น้ำตก และทุ่งหญ้าสีทองในช่วงฤดูใบไม้เปลี่ยนสี และที่พลาดไม่ได้คือการชมสัตว์พื้นถิ่นประจำอุทยานแห่งนี้ อันได้แก่ตัวโบนาโค่ ที่มีรูปร่างคล้ายแกะผสมอูฐ

Day 6 : Bus to puerto arenas – Fly puerto arenas to sandiego

  • ไปยังสนามบินที่ เมืองปุนตาอาเรนัส (Puta Arenas) ที่อยู่ห่างออกไปราว 2 ชั่วโมง เมืองหลวงแคว้นมากายาเนสและลาอันตาร์ตีกาชีเลนา แคว้นใต้สุดของชิลี เป็นเมืองใหญ่ที่สุดทางซีกโลกใต้

  • ออกเดินทางจากสนามบินปุนตาอาเรนัส สู่สนามบินซานเตียโก โดย เที่ยวบิน LA292 (ใช้เวลาเดินทาง 3.30 ชม.)
  • นำชมจุดชมวิวที่สวยที่สุดของเมือง ซานเตียโก บริเวณเนินเขา Cerro San Cristóbal ที่สามารับชมวิวทัศนียภาพโดยรอบของเมือง ซานเตียโกที่โอบล้อมไปด้วยภูเขาได้อย่างงดงาม

Day 7 : Fly to santiago and fly to Carama – Bus to Atacama o/n

  • เมืองซานเตียโก (Santiago) เมืองหลวงและเมืองที่ใหญ่ที่สุดของประเทศชิลี  ในหุบเขาตอนกลางของประเทศและเป็นส่วนหนึ่งของแคว้นซานเตียโกเมโทรโพลิแทน ทุกท่านจะได้ชมหมู่ดาวที่งดงามที่เชื่อว่าจะไม่เคยเห็นที่ใดมาก่อนในโลกได้ชัดถนัดตาเท่าที่นี่

DAY 8 : Uyuni salt sea circuit 

  • Uyuni salt sea ที่มหัศจรรย์ที่สุดในโลก เป็นแผ่นดินแห่งผลึกเกลือสีขาว บนพื้นที่กว่า 10,000 ตร.กม. และน้ำที่ขังอยู่ในแอ่งเกลือสะท้อนแสงแดดเป็นความงดงามอันน่าทึ่ง สมแล้วที่ได้รับการขนานนามว่า ผืนฟ้าจรดผืนโลก โดยเราจะใช้เวลาสามวันสองคืนในการออกสำรวจดินแดน surreal แห่ง โบลีเวียกัน โดยในช่วงแรกของเส้นทาง จะผ่านบ่อน้ำพุร้อน ทะเลสาบน้อยใหญ่มากมาย ที่เต็มไปด้วยฝูงนกฟามิงโก้ ที่มีเอกลักษณ์โดดเด่นของภูมิภาคนี้ รวมถึงสัตว์ป่าประจำถิ่นของ เทือกเขาแอนดีสมากมาย ก่อนที่จะเข้าพักท่ามกลางขุนเขาที่โอบล้อมที่ระดับความสูงกว่า 4,000 เมตร

DAY 9 : Uyuni salt sea circuit 

  • นำทุกท่านออกผจญภัยบนเส้นทางต่อ โดยวันนี้ ไฮไลต์สำคัญจะเป็นภูมิประเทศที่แปลกตา ทะเลทรายอันเวิ้งว้าง ที่มีหินรูปทรงแปลกตา ราวกันภาพวาดของซัลวาดอร์ ดาลี ศิลปินกลุ่มเซอเรียลลิสต์ชื่อดัง รวมถึงทะเลสาบที่มีฝูงนกอาศัยอยู่อย่างมากมายอีกหลายแห่ง ก่อนจะเข้าพักยังโรงแรมเกลือ ที่ซึ่งอาคารที่พักสร้างจากเกลือจากบริเวณนั้น

DAY 10 : Uyuni  drive to La paz at night

  • เที่ยวชมเกาะIsla Incahuasi หรือเนินแผ่นดินที่ตั้งอยู่ท่ามกลางภูมิประเทศที่เป็นทะเลเกลืออันเวิ้งวาง ซึ่งถือเป็นจุดชมวิวที่จะสามารถชมวิวของทะเลเกลือโดยรอบได้อย่างงดงาม
  • นำทุกท่านกลับมายังหมู่บ้านอูยูนี่ uyuni เพื่อทำการอาบน้ำและเดินชมตลาดกลางแจ้งที่ใหญ่ที่สุดในบริเวณแถบนี้ ชาวเผ่าพื่นเมืองต่างๆ นำสินค้ามาวางขาย

  • เดินทางโดยรถโดยสารไปยังกรุงลาปาซ เมืองหลวงประเทศโบลิเวีย ได้รับเลือกเป็น 1 ใน 7 เมืองมหศัจรรยแ์ห่งใหม่ของโลกในปี 2014 ท้้งนี้กรุงลาปาซเป็นเมืองที่ตั้งอยู่สูงที่สุดในโลก ซึ่งเมืองหลวงแห่งนี้ตั้งอยู่บนเทือกเขาแอนดีส

DAY 11 : La paz – puno o/n

  • ออกเดินทางจากกรุงลาปัส สู่เมือง Puno ในประเทศเปรู โดยบนเส้นทางทุกท่านจะได้ชมวิวทิวทัศน์ของริมฝั่งทะเลสาบติติกากา ที่เป็นทะเลสาบน้ำจืดที่ใหญ่ที่สุดของทวีปอเมริกาใต้
  • นำทุกท่านนั่งเรือโดยสารข้ามไปชมเกาะพระอาทิตย์ อันมีตำนานความเชื่อที่เกี่ยวข้องกับการกำเนิดของชนเผ่าอินคา ซึ่งเป็น Hightlight ของการมาเยือนทะเล สาบติติกากา จากนั้นออกเดินทางต่อสู่เมืองปูโน่ ในประเทศเปรู

DAY 12 : Uros (floating island) – puno cusco

  • Uros (floating island) เกาะลอยอูรอสแห่งทะเลสาบติติกากา ทะเลสาบที่มีขนาดใหญ่ที่สุด ในทวีปอเมริกาใต้และได้รับสมญานามว่า ทะเลสาบแห่งม่านเมฆ เนื่องจากอยู่บนพื้นที่สูงจากระดับน้ำทะเลถึง 3,811 ม. ลึกกว่า 180 ม. ในทะเลสาบแห่งนี้ มีเกาะน้อยเกาะใหญ่ถึง 41 เกาะ แต่มีเกาะหนึ่งที่เป็นที่รู้จักของที่นี่คือเกาะลอยอูรอส เป็นเกาะที่คนพื้นเมืองสร้างจากต้นกกที่ขึ้นอยู่ตามทะเลสาบ เพื่อใช้เป็นที่พักอาศัยกัน
  • นำทุกท่านเข้าเมืองคูซโค เมืองหลวงสำคัญแห่งอาณาจักรอินคา ซึ่งตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของเทือกเขาแอนดิส

DAY 13 :  Cusco – ollantaytambo – Machu pichu

  • เมืองออลลันตัยตัมโบ (Ollantaytambo) เพื่อไปชมซากโบราณสถานของชาวอินคาอีกแห่งหนึ่งในหุบเขาศักดิ์สิทธิ์ ที่นี่ถือว่าเป็นซากสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของชาวอินคาที่สมบูรณ์ที่สุดที่หลงเหลืออยู่ ซากโบราณแห่งนี้ก่อด้วยหินล้วนๆ เรียงเป็นขั้นบันไดซ้อนกันขึ้นไปบนภูเขา ดูสวยงามจนน่าอัศจรรย์ใจ และทึ่งในความสามารถของชาวอินคาอย่างยิ่ง เนื่องจากรอยต่อของก้อนหินแต่ละก้อนวางเรียงแนบสนิทชิดกันจนไม่สามารถนำกระดาษแผ่นเดียวสอดเข้าไปตรงรอยต่อนั้นได้ และจากนั้นเดินทางต่อโดยรถไฟเส้นทางสุดคลาสสิค เพื่อไปยังโบราณสถานยิ่งใหญ่และสำคัญที่สุดของชาวอินคา

DAY 14 : Machu pichu fullday – cusco lima

  • Machu pichu มาชูปิกจู หรือ เมืองสาบสูญแห่งอินคา ร่องรอยอารยธรรมโบราณบนเทือกเขาสูงใหญ่ในเปรู มีระดับความสูงอยู่ที่ 2,350 เมตรจากระดับน้ำทะเล ถือเป็นแหล่งเรียนรู้ที่สำคัญทางโบราณคดี และการศึกษาประวัติศาสตร์ ของอเมริกาใต้เลยก็ว่าได้ ที่นี่ยังถูกจัดให้เป็น เจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคใหม่อีกด้วย

  • เดินทางสู่ กรุงลิม่า (Lima) โดยสายการบิน TACA INTERNATIONAL AIRLINES เที่ยวบินที่ TA920 (เวลาท้องถิ่น) เดินทางถึงกรุงลิม่า (LIMA) ประเทศเปรู

DAY 15 : Lima to rio to iguazu (fly to iguazu)

  • เดินทางสู่ เมืองริโอ เดอ จาเนโร (RIO DE JANEIRO) อดีตเมืองหลวงของประเทศบราซิล ที่มีชื่อเสียงจากงานคาร์นิวาล หาดโคปาคาบานา และอิปาเนมา  เขาชูการ์โลฟ สนามฟุตบอลมาราคานา และรูปปั้นพระคริสต์ที่ได้รับการโหวตให้เป็นสิ่งมหัศจรรย์ 1 ใน 7 ของโลกยุคใหม่ หลังผ่านการตรวจคนเข้าเมืองเรียบร้อยแล้ว

  • นำทุกท่านขึ้นชมจุดชมวิวบนยอดเขาที่เป็นที่ตั้งของรูปปั้นพระเยซู อันเป็นสัญลักษณ์ที่เป็นที่ติดตาและจดจำของคนทั่วโลก ต่อด้วยย่านเมืองเก่าที่เปี่ยมไปด้วยเสน่ห์และมนต์ขลังแบบแซมบ้า

DAY 16 : Rio to iguazu falls Brazil

  • เดินทางสู่อุทยานแห่งชาติอิกัวซุ (IGUAZU NATIONAL PARK) โดยสายการบิน XXXX ไปตื่นตาตื่นใจกับ iguazu falls น้ำตกอีกวาซู น้ำตกสุดอลังการที่ใหญ่ที่สุดในทวีปอเมริกาใต้ สูงกว่า 80 เมตร และยาวกว่า 2.7 กิโลเมตร ไปชมความงดงามของกระแสน้ำ ละอองน้ำที่ฟุ้งกระจายยามตกกระทบกันเกิดเป็นสายรุ้ง ที่นี่ยังถือเป็นหนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ทางธรรมชาติของโลก

  • นำทุกท่านข้ามไปยังน้ำตกอิกัวซุ ในฝั่งอาเจนติน่า

DAY 17 : Iquazu Agen fly to Buenos Aires

  • เที่ยวชมอุทยานแห่งชาติอิกัวซุในฝั่งอาเจนติน่า ที่มีทัศนียภาพที่แปลกตาและงดงามคนละแบบ ก่อนที่จะเดินทางสู่กรุงบัวโนส ไอเรส (BUENOS AIRES) โดยสายการบิน LAN เที่ยวบินที่ LA4029

  • พาท่านเที่ยวชมเมืองกรุงบัวโนส ไอเรส

DAY 18 :  Buenos Aires

  • เที่ยวชมย่านเมืองเก่าของนครบัวโนสไซเรส ฉายาปารีสแห่งลาตินอเมริกา ชมสุสานของวีรสตรีที่โด่งดังของอาเจนติน่า เอวา เปรอง อาคารรัฐสภาที่เป็นฉากสำคัญในภาพยนตร์อัตชีวประวัติของนาง ก่อนหาซื้อของฝากไวน์ชั้นเลิศและสินค้าพื้นเมือง ชมการแสดงแทงโก้

  • (เวลาท้องถิ่น) เดินทางถึงสนามบินกรุงบัวโนส ไอเรส เมืองหลวงของประเทศอาร์เจนติน่า และบินกลับสู่กรุงเทพ โดยสวัสดิภาพ

***รายการอาจมีการเปลี่ยนแปลงตามความเหมาะสม***

วันที่จัด

รูปแบบทริป

* อธิบายรูปแบบทริป
  • เหมือนเพื่อนพาเที่ยว
  • กลุ่มขนาดเล็กขนาด 4-6 ท่าน
  • ทีมงานคนไทยขับรถพาเที่ยว
  • ปรับเปลี่ยนโปรแกรมได้ (เฉพาะกรุ๊ปเหมา)
  • เหมาะสำหรับผู้ชอบความคล่องตัวและยืดหยุ่นในการเดินทาง
  • สามารถช่วยเหลือตนเองได้ เช่นการยกกระเป๋าหรือสั่งอาหารเอง
  • รวม วีซ่า กิจกรรม การเดินทางทุกชนิดตามโปรแกรม
  • เข้าพัก โรงแรมระดับ 3-4 ดาว ขึ้นกับพื้นที่ 
  • รวม ประกันการเดินทาง
  • สินน้ำใจแล้วแต่จะให้ ไม่บังคับ

** สิ่งที่ไม่รวมในค่าทริปคือตั๋วเครื่องบิน และ อาหารกลางวัน/เย็น

  • Classic Trip เหมาะสำหรับผู้ใหญ่หรือครอบครัวหรือกลุ่มเพื่อนที่ต้องการความสะดวกสบาย ไม่ลุยมากนัก 
  • ใช้รถ Bus ท้องถิ่น คันใหญ่ สะอาด นั่งสบาย (คนขับเป็นคนท้องถิ่น)
  • รวม ค่าตั๋วเครื่องบิน
  • รวม ดำเนินการเรื่องวีซ่า
  • รวม ค่ากิจกรรมและการเดินทางทุกชนิด
  • เข้าพัก โรงแรมระดับ 3-4 ดาว ขึ้นกับพื้นที่
  • รวม อาหารครบทุกมื้อ
  • รวม ประกันการเดินทาง
  • รวม ทิปไกด์

แกลลอรี่ทัวร์ไอซ์แลนด์

ทริปอื่นๆที่น่าสนใจ

ไปไหนมาดอทคอม • 089-4789334 • 02-045-3445 • Line : @painaima.com • painaima@gmail.com • ติดต่อเรา

ไปไหนมาดอทคอม • ติดต่อเรา

Categories
Africa

ทัวร์มาดากัสก้าร์

ทัวร์มาดากัสก้าร์

จุดเด่นทริป

โปรแกรมเต็ม

DAY 1: Bangkok – Mauritius

  • นัดพบกันที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ แถว L ประตู 5 ทีมงานอำนวยความสะดวกเช็คอิน สายการบิน AIR AUSTRAL เที่ยวบินที่ UU888 ออกเดินทางเวลา 09.50 น. บินสู่ สนามบินโรลอง การ์รอส  (ใช้เวลาบินประมาณ 7.35 ชั่วโมง)
  • เดินทางถึง สนามบินโรลอง การ์รอส (Roland Garros) เกาะรียูเนียน (Reunion) แล้วต่อเครื่องไปยังเกาะมอริเชียส
  • ออกเดินทางจากสนามบินโรลอง การ์รอส สู่สนามบินมอริเชียส โดยเที่ยวบิน UU108(ใช้เวลาบินประมาณ 45 นาที)

  • เดินทางถึงสนามบินมอริเชียส นําท่านผ่านพิธีการตรวจคนเข้าเมืองและศุลกากร

DAY 2 :  Mauritius – Chamarel Falls – Rum Factory – Seven Coloured Earths  

  • นำท่านเที่ยวชมเมืองพอร์ตลูอิส เมืองหลวงของสาธารณรัฐมอริเชียส หรือที่รู้จักในนาม เกาะมอริเซียส ดินแดนสวรรค์นอกชายฝั่งแอฟริกา กลางมหาสมุทรอินเดีย อิสระให้ท่านได้เลือกซื้อสินค้าของฝาก ของที่ระลึก ณ.ตลาดกลาง Central Market
  • ชมความงามของปากปล่องภูเขาไฟ Trou Aux Cerfs ซึ่งเป็นภูเขาไฟที่ตั้งอยู่กลางเมืองคูเรปิเป
  • แวะถ่ายรูปกับจุดชมวิว Black river gorges ท่านจะได้ชมทัศนียภาพอันสวยงามของป่าเขา และน้้ำตกที่สุดสวยงามแห่งหนึ่งของประเทศมอริเชียส
  • จากนั้นนาท่านเดินทางสู่ ทะเลสาบแห่งแม่น้ำคงคา Grand Bassin Sacred Lake เป็น ทะเลสาบอันศักดิ์สิทธิ์ที่ประชาชนอินเดียในประเทศมอริเชียสสร้างขึ้นเพื่อ เป็นเกียรติแก่ พระศิวะที่พวกเขาเคารพนับถือ และในสถานที่แห่งนี้ยังเป็นที่ตั้งของวัดฮินดู ที่ประดิษฐานของรูปเคารพของเหล่าเทพเจ้าศักดิ์สิทธิ์ตามศาสนาฮินดู
  • นำท่านเดินทางสู่ โรงงานผลิตรัม Rum Factory ซึ่งบนเกาะแห่งนี้ประชาชนนิยมปลูกอ้อย ทาให้รัมเป็นสินค้าที่มีชื่อเสียงมาก อิสระให้ท่านเยี่ยมชมกรรมวิธีการผลิตและทดลองดื่ม
  • นำท่านเดินทางสู่ น้ำตกชามาเรล Chamarel Falls มีความสูง 90 เมตร ผ่านทางเส้นทางเวิ้ง ซึ่งเป็นอ่าวที่มีความสวยงามอีกแห่งของมอริเชียส
  • เดินทางสู่เนินทราย 7 สี Seven Coloured Earths ซึ่งเกิดจากการก่อตัวของหินลาวา ซึ่งเป็นหินบะซอลล์ กลายเป็นโคลนและได้เปลี่ยนมาเป็นทรายในที่สุด ซึ่ง 7 สีนั้น ประกอบไปด้วย สีแดง น้ำตาล ม่วงเข้ม เขียว น้ำเงิน ม่วงอ่อน เหลือง จึงได้รับการขนานนามว่า เนินทรายเจ็ดสี

DAY 3 : Mauritius – Antananarivo

  • อิสระช่วงเช้าเก็บสัมภาระ หรือเดินเล่นรอบๆโรงแรม
  • เดินทางไปยังสนามบินภายในประเทศ เพื่อไปยังเมือง Antananarivo โดยสายการบิน Air Mauritius เที่ยวบินที่ MK288 เวลา 14.10 น.
  • เดินทางถึงสนามบินอิวาโต แห่งกรุงอันตานานาริโว ประเทศมาดากัสการ์ แผ่นดินมหัศจรรย์ สวรรค์ของผู้รักธรรมชาติ
  • นําท่านเลือกซื้อของฝาก ณ ตลาดลาดีค (La Digue) ตลาดที่เต็มไปด้วยสินค้าหัตถกรรมของมาดากัสการ์ เป็นตลาดที่นักท่องเที่ยวชื่นชอบมากที่สุด อิสระให้ท่านได้เลือกซื้อของฝากที่มีตั้งแต่ ตะกร้าพื้นเมืองสีสันแสบตาผลิตภัณฑ์จากผ้าปักต่างๆ ฟอสซิลหอย หรือ จะเป็นแอมโมไนต์ หินสี พลอย และอัญมณี เครื่องดนตรีพื้นเมืองของตกแต่งบ้านอื่น ๆ อีกมากมาย

Day 4 : Reptiles farm – Andasibe National Park

  • Reptiles farm เป็นฟาร์มกิ้งก่า และสัตว์แปลกต่างๆ และสัตว์ที่ขึ้นชื่อของที่นี่ก็คือ กิ้งก่า camelion มีสีสรรสวยงามมาก
  • เดินทางไปยังอุทยานแห่งชาติอันดาสิเบ (Andasibe National Park) อุทยานแห่งชาติอันดาสิเบ-มันตาเดีย Andasibe-Mantadia National Park อุทยานแห่งนี้ได้ถูกจารึกไว้ในมรดกโลกในปี 2007 เป็นส่วนหนึ่งของป่าฝนของ Atsinanana อุทยานแห่งชาติมีพื้นที่ประมาณ 155 ตารางกิโลเมตร พื้นที่คุ้มครองอยู่ประมาณ 150 ตารางกิโลเมตรและตั้งอยู่ทางตะวันออกของอันตานานาริโว

Day 5 : Andasibe – Marozevo Exotic Farm – Lemurs Park – Antananarivo

  • แวะชมฟาร์มมาโรเซโว (Marozevo Exotic Farm) อีกหนึ่งที่ ที่จะได้พบกับสัตว์หายากนานาชนิด เช่น กิ้งก่าคาเมเลี่ยน (Chameleon) สีสันแสบตา จิ้งหรีด กบหายาก นกแก้วสีดำ และ ผีเสื้อหลากสีสวยงาม รวมทั้งสัตว์เลื้อยคลานอื่นๆ หลายสายพันธุ์สามารถพบได้ที่มาดากัสการ์เท่านั้น
  • จากนั้นเดินทางกลับเมือง Antananarivo ชมเมืองอันตานานาริโว มีชื่อเรียกอย่างเป็นทางการว่า สาธารณรัฐ ประชาธิปไตยมาดากัสการ์ (Democratic Republic of Madagascar) เป็นเกาะใหญ่ที่สุดอันดับ 4 ของโลก รอง จาก กรีนแลนด์(Greenland) นิวกินี(Newgini) และบอร์เนียว(Borneo) วัดจากเหนือจรดใต้ยาว 1,600 กิโลเมตร มีขนาดพื้นที่เกือบเท่าครึ่งของประเทศฝรั่งเศส และใหญ่กว่าประเทศไทย 70,000 กว่าตารางกิโลเมตร
  • ระหว่างทางชมศูนย์อนุรักษ์ลิเมอร์ Lemurs Park ซึ่งเป็นศูนย์อนุรักษ์ลิเมอร์ที่มีชื่อเสียงแห่งเกาะมาดากัสการ์ให้ท่านได้สัมผัสลิเมอร์ และ เก็บภาพความน่ารักของลิเมอร์นานาชนิด ที่มีมากมายในศูนย์อนุรักษ์แห่งนี้

Day 6 : Antananarivo City Tour

  • นําท่าน เข้าชมพระราชวังหลวงรูวา (Rova of Antana narivo) เป็นที่ประทับของประมุขของมาดากัสการ์ในสมัยราชวงศ์เมรีนา ช่วง คศ.17-18 รวมทั้งเป็นที่ประทับของพระมหากษัตริย์แห่งราชอาณาจักรมาดากัสการ์ทุกพระองค์ ตั้งอยู่ใจกลางของกรุงอันตานานาริโว

  • ถ่ายรูปกับทําเนียบนายกรัฐมนตรี (Prime Minister Palace)

  • นําท่านเที่ยวชมจัตุรัสแห่งอิสรภาพ (Independence Square) สถานที่แห่งการรําลึกถึงการ ประกาศอิสระภาพของประเทศมาดากัสการ์
  • นําท่าน เข้าชม Ambo imanga ซึ่งเป็นป้อมปราการโบราณสร้างขึ้นในสมัยศตวรรษที่ 15 ภายในจัดแสดงวัตถุโบราณและอาวุธที่ใช้ในการป้องกันการรุกรานจากศัตรู ซึ่งบริเวณป้อมแห่งนี้สร้างขึ้นบนเนินเขา จึงทําให้สามารถมองเห็นทัศนียภาพของเมืองอันตานานาริโว ได้โดยรอบ

Day 7 : Antananarivo – Morondava – Betahina

  • อิสระช้อปปิ้งห้างสรรพสินค้า และตลาดของที่ระลึก ช้อปปิ้งสินค้าพื้นเมืองและเลือกซื้อของฝากตามอัธยาศัย
  • เหินฟ้าสู่เมือง Morondava ประตูสู่ป่าเบาบับอันขึ้นชื่อแห่งเกาะมาดากัสการ์ โดยสายการบิน Tsaradia เที่ยวบินที่ TZ702
  • ถึงเมือง Morondava ตั้งอยู่ริมทะเล ซึ่งมีทรัพยากรทางทะเลที่อุดมสมบูรณ์ มีชายฝั่งตรงข้ามเป็นประเทศโมซัมบิก โดยประชาชนส่วนใหญ่ประกอบอาชีพประมง
  • นำท่านเดินทางสัมผัสธรรมชาติและวิถีชีวิตของชาวท้องถิ่นโดยการล่องเรือชมธรรมชาติของชายป่าโกงกาง ซึ่งสามารถออกสู่ทะเลได้ นาท่านเดินทางสู่ เกาะ Betahina เพื่อแวะเที่ยวหมู่บ้านชาวประมงที่ยังคงการดารงชีพด้วยการจับปลาและสัตว์น้ำต่างๆในแบบภูมิปัญญาชาวบ้าน
  • ได้เวลานำท่านแวะถ่ายรูปกับหาดโมรอนดาวา Morondava Beach ซึ่งเป็นชายหาดที่ขึ้นชื่อแห่งเมืองโมรอนดาวา อิสระให้ท่านได้เดินเล่นพร้อมเก็บภาพธรรมชาติอันสวยงามแห่งเมืองโมรอนดาวา

DAY 8 : Morondava

  • นำท่านนั่งรถแบบ 4WD มุ่งหน้าสู่ ป่าแล้ง Kirindy Dry Forest (ระยะทางประมาณ 60 กม.ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1.45 ชั่วโมง) หนึ่งในระบบนิเวศน์ที่แปลกประหลาดที่สุดในโลก ซึ่งมีความแตกต่างจากป่าฝนที่อุทยานแห่งชาติอันดาสิเบทางฝั่งตะวันออก เนื่องจากเป็นป่าที่มีต้นไม้และหญ้าแห้งขึ้นปกคลุมจนได้สมญานามว่า “ป่าแล้ง” อย่างไรก็ดีป่าแห่งนี้ยังคงเป็นที่อยู่ของสัตว์นานาชนิดไม่ว่าจะเป็น Fosa สัตว์นักล่าประจำถิ่นที่สามารถพบได้ที่มาดากัสก้าเท่านั้น หรือ ลีเมอร์บางสายพันธุ์ที่อาศัยอยู่ตามธรรมชาติในป่าแล้ง นอกจากนี้ยังเป็นถิ่นที่อยู่ของสัตว์นานาชนิดที่มีรูปร่างแปลกตา
  • เดินทางสู่ Avenue of the Baobabs ซึ่งมีต้นเบาบับตลอดช่วงสองข้างทางในระหว่างรอยต่อของเมือง Belon’i Tsiribihina กับ Morondava ต้นเบาบับถือได้ว่าเป็นสัญลักษณ์ของประเทศมาดากัสการ์ เป็นต้นไม้ที่มีอายุยืนที่สุด และใหญ่ที่สุดในโลก จนได้รับสมญานามว่า Tree of life หรือต้นไม้แห่งชีวิต
  • นำท่านแวะชมและถ่ายรูปกับต้นเบาบับรักกัน Baobab Amoureux หรือ Baobab lover ซึ่งเป็นสัญลักษณ์แห่งความรัก และเพลิดเพลินกับ เบาบับ อัลเลย์ ซึ่งเป็นช่วงถนนลูกรัง ที่ท่านจะได้พบกับแนวต้นเบาบับ ที่มีรูปทรงสวยงาม และแปลกตามากมาย ทอดยาวไปตามถนนกว่า 260 เมตร และบางต้นนั้นมีความสูงกว่า 30 เมตร มีอายุมากกว่า 800 ปี ส่วนใหญ่เป็นต้นเบาบับจากสายพันธุ์ Adansonia Grandidieri รอชมพระอาทิตย์ตก ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งทัศนียภาพที่สวยงามยิ่งแห่งผืนป่าเบาบับแห่งนี้

DAY 9 : Morondava – Antananarivo

  • อิสระช่วงเช้าเก็บสัมภาระเพื่อเตรียมตัวไปยังสนามบิน
  • ออกเดินทางไปยังสนามบินภายในประเทศ เพื่อเดินทางกลับเมือง Antananarivo โดยสายการบิน Tsaradia เที่ยวบินที่ TZ703 เวลา 14.55 น.
  • เดินทางถึงสนามบินเมือง Antananarivo
  • เดินเล่นชมเมือง หรือจะแวะซื้อของฝากที่ตลาดท้องถิ่นตามอัธยาศัย

DAY 10 : Antananarivo – Reunion – Léon Dierx Museum – Jardin de l’État

  • จากนั้นไปยังสนามบินภายในประเทศเพื่อเดินทางไปยังเมือง Reunion โดยสายการบิน  Air Madagascar เที่ยวบินที่ MD18 (09.10-11.50)
  • นำท่านเข้าชมพิพิธภัณฑ์และหอศิลป์ (Léon Dierx Museum) อีกหนึ่งจุดท่องเที่ยวของคนรักศิลปะ โดยภายในพิพิธภัณฑ์นั้น ก่อตั้งขึ้นในปีค.ศ.1911 ภายในมีการจัดแสดงเกี่ยวกับผลงานศิลปะร่วมสมัยและศิลปะสมัยใหม่เป็นจำนวนมาก

  • ชมสวนพฤกษศาสตร์ Jardin de l’État อีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวที่มีความสำคัญ ทางประวัติศาสตร์ของเมือง โดยสวนพฤกษศาสตร์ถูกสร้างข้ึนในปีค.ศ. 1767 – 1773 อีกทั้งยังเป็นที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ธรรมชาติซึ่งเปิดทำการในสิงหาคม 1855 ภายในสวนพฤกษศาสตร์ Jardin de l’État นั้น มีการจัดแสดงเกี่ยวกับพันธุ์ไม้พื้นเมืองและพันธุ์ไม้หายากกวา่ 50 ชนิด

  • พาท่านไปยัง La Roche Écrite จุดชมวิวทิวทัศน์ที่สำคัญของเมืองแซงต์ เดอนีส์ โดยจุดชมวิวแห่งนี้อยู่ห่างจากตัวเมืองไปทางทิศใต้ประมาณ 15 กิโลเมตร ณ จุดชมวิวแห่งนี้ท่านจะได้ชื่นชมความงดงามของวิวทิวทัศน์ทางธรรมชาติภูเขาสูงชัน อันสลับซับซ้อน รวมไปถึงกิจกรรมเดินป่าตามเส้นทางอันแสนท้าทายอีกด้วย

DAY 11 : Reunion – Plaine des Sables – Piton de laFournaise – Bangkok 

  • นำท่านเดินทางสู่ทุ่งแปลน เด ซาบล์ส (Plaine des Sables) เพื่อชมหนึ่งในความมหัศจรรย์ทางธรรมชาติของโลกที่สวยงามและอศัจรรยย์ิ่ง ลัดเลาะผ่านทุ่งหญ้าปศุสัตว์ อันเขียวขจี นำท่านแวะถ่ายรูปอันนาประทับใจของทิวทัศน์เทือกเขาสลับซับซ้อนตระการตา
  • มุ่งหน้าชมความยิ่งใหญ่ของภูเขาไฟ ปี ตงเดอลาฟูร์แนซ (Piton de laFournaise) หนึ่งในภูเขาไฟที่ยังคุกกรุ่นอยู่และมีการระเบิดอยู่อย่างต่อเนื่องทุกปีภูเขาไฟรูปโล่ตั้งอยู่บนปลาย

    เกาะรียูเนี่ยน ทางตะวันออก มีความสูง 2,631 เมตร (8,632 ฟุต) จากระดับน้ำทะเล ซึ่งบางครั้งเรียกว่าเป็นพี่น้องกับ ภูเขาไฟเกาะฮาวาย เนื่องจากมีความคล้ายคลึงกันทางด้านภูมิอากาศและธรรมชาติมีการระเบิดขึ้นกว่า 100ครั้ง ตั้งแต่ปีพ.ศ.2183 เป็นต้นมา และยังเป็นที่จับ ตามองมาถึงปัจจุบันการระเบิดคร้ังสุดท้ายเกิดขึ้นเมื่อวัน ที่4 เมษายน พ.ศ. 2550 ภูเขาไฟลูกนี้ถือเป็นจุดกำเนิดของเกาะรียูเนียนเมื่อประมาณ 3 ล้านปีก่อน ภูเขาไฟแห่งนี้ตั้งอยู่ในอุทยานแห่งชาติรียูเนียน และยังได้รับการยกย่องจากองคก์ารยเูนสโกเป็นมรดกโลกอีกด้วย

    (การชมบริเวณปากปล่องภูเขาไฟ ทางไกด์ท้องถิ่นจะแจ้งให้ทราบอีกคร้ังเนื่องจากต้องดูเรื่องความปลอดภัยเป็นหลัก)

  • เหินฟ้ากลับสู่กรุงเทพ โดยสายการบิน AIR AUSTRAL เที่ยวบินที่ UU887

DAY 11 : Bangkok

  • เดินทางถึงกรุงเทพโดยสวัสดิภาพ

***รายการอาจมีการเปลี่ยนแปลงตามความเหมาะสม***

วันที่จัด

ไปไหนมาดอทคอม • 089-4789334 • 02-045-3445 • Line : @painaima.com • painaima@gmail.com • ติดต่อเรา

ไปไหนมาดอทคอม • ติดต่อเรา

Categories
Russia

ทัวร์อัลไต รัสเซีย

ทัวร์อัลไต รัสเซีย

จากเทือกเขาที่ยิ่งใหญ่ ใจกลางทวีปเอเชีย เดินทางบนรถไฟสายทรานไซบีเรีย สู่ทะเลสาไบคาล

สรุปทริป

โปรแกรมเต็ม

DayBangkok – Novosibirsk – Altai

  • นัดพบที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิเพื่อเช็คอินสัมภาระและเตรียมตัวก่อนออกเดินทาง
  • ออกเดินทางจากท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (BKK) ด้วยเที่ยวบิน S7 860 สายการบิน S7 Airlines มุ่งหน้าสู่ดินแดนไซบีเรียอันกว้างใหญ่ของประเทศรัสเซีย
  • เดินทางถึงสนามบินตอลมาเชโว (Tolmachevo – OVB) สนามบินนานาชาติของเมืองโนโวซิบีร์สก์ (Novosibirsk) ผ่านพิธีการตรวจคนเข้าเมือง รับสัมภาระและพักรับประทานอาหารในตัวเมือง ก่อนเดินทางต่อไปยังเขตเทือกเขาอัลไต (Altai Mountains) ส่วนที่อยู่ในประเทศรัสเซีย ใช้เวลาเดินทางโดยรถยนต์ราว 6 ชั่วโมงเดินทางเข้าที่พัก

Day Altai – Chemal – Cheposh

  • เริ่มต้นสำรวจอัลไตผ่านสาธารณรัฐอัลไต (Altai Republic) หนึ่งในบรรดาหน่วยปกครองระดับสาธารณรัฐทั้งหมด 22 แห่งของรัสเซีย ด้วยการออกเดินทาง
  • ไปยังหมู่บ้านเชมาล (Chemal) แหล่งพักผ่อนตากอากาศของอัลไตที่ขึ้นชื่อสมัยสหภาพโซเวียต ตั้งอยู่ริมแม่น้ำคาตุน (Katun) ซึ่งมีต้นกำเนิดจากธารน้ำแข็งบนยอดเขาเบลูคา (Belukha) ยอดเขาที่สูงที่สุดของเทือกเขาอัลไต
  • มุ่งหน้าสู่วิหารออร์โธด็อกซ์รัสเซียบนเกาะพัทมอส (Patmos) ที่ตั้งอยู่กลางแม่น้ำคาตุน เกาะแห่งนี้ตั้งชื่อตามเกาะพัทมอสในประเทศกรีซ ส่วนวิหารสร้างขึ้นครั้งแรกในปี ค.ศ. 1855 เพื่อเป็นอนุสรณ์ของการเผยแพร่คริสต์ศาสนาในดินแดนอัลไต ลัดเลาะไปตามเส้นทางริมเขาเลียบแม่น้ำคาตุนจนถึงจุดบรรจบของแม่น้ำคาตุนกับแม่น้ำเชมาล ผ่านทิวทัศน์มุมกว้างของแม่น้ำสองสายที่ไหลมาบรรจบกัน มุ่งหน้าสู่สถานีไฟฟ้าพลังน้ำเชมาล (Chemal Hydroelectric Power Station) อนุสรณ์ทางสถาปัตยกรรมและเทคโนโลยีช่วงต้นสหภาพโซเวียตที่ถูกสร้างขึ้นโดยแรงงานของนักโทษผู้ถูกคุมขังในค่ายกักกันตั้งแต่ปี ค.ศ. 1935 
  • เดินทางสู่หมู่บ้านเชปอช (Cheposh) ที่ตั้งของศูนย์ศึกษาวัฒนธรรม เดเซียทีรุชก้า (Desyatiruchka) หมายถึงตุ๊กตาพื้นบ้านรัสเซียที่มีสิบแขน ในอดีตทำขึ้นเพื่อมอบให้เป็นของขวัญแก่หญิงสาวที่กำลังจะแต่งงานออกเรือน เพื่อให้สิบแขนสิบมือของตุ๊กตาเป็นสัญลักษณ์ของความช่วยเหลือต่อหญิงสาวในกิจการงานบ้านและการเรือน ร่วมทำความรู้จักและเข้าใจวิถีชีวิตชาวรัสเซียที่มาตั้งรกรากในดินแดนแถบนี้ตั้งแต่ราวต้นคริสต์ศตวรรษที่ 19 นอกจากนั้นทุกคนยังจะได้มีโอกาสทำตุ๊กตาพื้นบ้านรัสเซียเพื่อเป็นที่ระลึกด้วยตนเองอีกด้วย 
  • เดินทางกลับเข้าที่พัก พักผ่อนตามอัธยาศัย

Day : Altai – Chuya Highway – Mount Kalbak-Tash – Kurai Steppe

  • นั่งรถออกเดินทางสำรวจไปตาม ชูยา ไฮเวย์ (Chuya Highway) ถนนสายหลักที่เต็มไปด้วยเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ ความอัศจรรย์ของภูมิประเทศ และธรรมชาติที่น่าตื่นตะลึง ทอดยาวจากโนโวซิบีร์สก์ ผ่านที่ราบสูงและแนวช่องเขาระหว่างภูเขาน้อยใหญ่ของเทือกเขาอัลไตไปจนสุดเขตแดนของประเทศรัสเซีย ก่อนเชื่อมต่อกับพรมแดนของประเทศมองโกเลีย โดยตลอดการเส้นทางราว 330 กิโลเมตร เราจะได้พบกับการเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิประเทศและธรรมชาติรอบตัว จากช่องเขาแคบคดเคี้ยวเรื่อยมาจนถึงที่ราบสูงกว้างใหญ่ระหว่างเขา จากเขตป่าสนไม่ผลัดใบแบบไทกาจนถึงเขตทุ่งหญ้าสเตปป์ตามลำดับ
  • ผ่านช่องเขาเซมินสกี (Seminsky Pass) บนความสูง 1,894 เมตร เหนือระดับน้ำทะเล นอกจากจะเป็นจุดเชื่อมต่อทางภูมิประเทศและเขตธรรมชาติของอัลไตตอนเหนือและอัลไตตอนกลางแล้ว บริเวณนี้ยังเป็นที่ตั้งของอนุสาวรีย์ที่สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1956 ในวาระครบรอบ 200 ปี ที่ชนชาวอัลไตตกลงใจเข้าเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรรัสเซีย 
  • ช่องเขาชิเก-ทามาน (Chike-Taman Pass)ด้วยความสูงจากระดับน้ำทะเล 1,460 เมตร และความงดงามของธรรมชาติและภูมิประเทศ ทำให้ช่องเขานี้เป็นจุดชมวิวที่เหมาะกับการถ่ายภาพและการดื่มด่ำธรรมชาติตลอดสองข้างทางไปพร้อมกับรถที่กำลังวิ่งขึ้นลงไปตามแนวเขาอันกว้างใหญ่ ผ่านจุดบรรจบของแม่น้ำชูยาและแม่น้ำคาตุน หนึ่งในเส้นทางผจญภัยทางน้ำที่สวยงามที่ดึงดูดนักล่องแก่งจากทุกสารทิศ
  • พบกับภาพสลักหินในเขต เนินเขาคาลบัค-ตาช (Mount Kalbak-Tash) หลักฐานทางโบราณคดีและมานุษยวิทยาว่าด้วยการมีอยู่และวิถีชีวิตของผู้คนที่อาศัยอยู่ในดินแดนบริเวณนี้ในอดีต ภาพสลักทั้งหมดมีจำนวนกว่า 500 เรื่องราว โดยภาพที่เก่าแก่ที่สุดในจำนวนภาพสลักที่พบทั้งหมดสามารถนับอายุย้อนไปได้ราว 8,000 ปี

  • สิ้นสุดการเดินทางที่ทุ่งหญ้าสเตปป์คูราย (Kurai Steppe) ที่ราบสูงระหว่างเทือกเขาบนความสูงกว่า 1,600 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล จุดที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการชมทิวทัศน์อันงดงามของแนวเขาชูยาเหนือ (North Chuya Ridge)

  • เดินทางกลับเข้าที่พัก พักผ่อนตามอัธยาศัย

Day : Altai – Uch Enmek – Karakol Valley

  • ออกเดินทางสู่เขตที่ราบสูงอูลากัน (Ulagan Plateau) หนึ่งในแหล่งขุดค้นทางโบราณคดีที่พบอารยธรรมของชาวไซเธียน (Scythians) ผ่านประตูแดง (Red Gate) หน้าผาหินลาวาดึกดำบรรพ์ขนาดใหญ่ระหว่างช่องเขาขาด มีสีออกแดงเนื่องจากมีหินแร่ปรอทซินนาบาร์ (Cinnabar) อยู่เป็นจำนวนมาก มีการค้นพบว่ามีการใช้แร่นี้ในยุคก่อนประวัติศาสตร์เพื่อเก็บรักษาซากมัมมี่ในอารยธรรมปาซิริค (Pazyryk Сulture) ที่เคยรุ่งเรืองในดินแดนบริเวณนี้
  • เดินทางวกกลับเข้าสู่ ชูยา ไฮเวย์ มุ่งหน้าไปยังอุทยานธรรมชาติและชาติพันธุ์ อุช-เอ็นเม็ก (Uch-Enmek) พบกับเขตอนุรักษ์ธรรมชาติพิเศษที่สำคัญแห่งหนึ่งของอัลไต หุบเขาคาราโคล (Karakol Valley) ซึ่งมีความสวยงามและสำคัญอย่างมากต่ออารยธรรมโบราณของชนพื้นเมืองบริเวณนี้ พร้อมกันนั้นร่วมเรียนรู้วิถีชีวิตและความเป็นอยู่ของชาวพื้นเมืองอัลไตในปัจจุบัน ร่วมรับประทานอาหารพื้นบ้านและร่วมกิจกรรมท้องถิ่นกับชนพื้นเมือง
    ***
    (โปรแกรมเสริม) เดินทางด้วยรถและเดินเท้าต่อไปยัง อารู-เคม (Aru-Kem) ทะเลสาบศักดิ์สิทธิ์ของชาวอัลไตที่ตั้งอยู่บนเขาเหนือระดับน้ำทะเล 1,400 เมตร เพื่อชมทิวทัศน์ของเทือกเขาพร้อมรับรู้ตำนานว่าด้วยหญิงงามแห่งอัลไต***
  • ออกเดินทางด้วยรถยนต์กลับไปยังโนโวซิบีรส์ก (ค้างคืนบนรถ 10 ชม.)

Day : Novosibirsk – Akademgorodok – West Siberian Railway Museum – Novosibirsk Zoo

  • เมื่อข้ามแม่น้ำออบ (Ob) ก่อนเข้าถึงตัวเมืองโนโวซิบีร์สก์ ทางฝั่งขวาของแม่น้ำจะพบกับอคาเดมโกโรดอก (Akademgorodok) เขตพื้นที่พิเศษที่ตั้งขึ้นในสมัยสหภาพโซเวียตตั้งแต่ปี ค.ศ. 1957 เพื่อให้เป็นศูนย์กลางของการค้นคว้าวิจัยขนาดใหญ่ในเขตไซบีเรียพร้อมกับรักษาสภาพแวดล้อมให้เป็นธรรมชาติที่สุด ภายในเมืองวิชาการแห่งนี้เราจะได้ทราบเรื่องราวเกี่ยวกับสถาบันการศึกษาและการวิจัยต่างๆที่เกิดขึ้นในไซบีเรียทั้งสมัยโซเวียตและในปัจจุบัน
  • ชมพิพิธภัณฑ์รถไฟไซบีเรียตะวันตก (West Siberian Railway Museum) พิพิธภัณฑ์กลางแจ้งที่จัดแสดงบรรดาหัวรถจักรและตู้รถไฟที่ใช้ในการขนส่งคมนาคมหลากหลายประเภท รวมถึงเทคโนโลยีที่ใช้ในการขนส่งทางรถไฟในเขตไซบีเรียตั้งแต่อดีตจนปัจจุบัน

  • เที่ยวรอบตัวเมืองโนโวซิบีร์สก์ ที่หลังจากก่อตั้งเมื่อปี ค.ศ. 1897 ใช้เวลาเพียงแค่ไม่ถึง 70 ปี ในการก้าวขึ้นมาเป็นเมืองที่มีประชากรเกินล้านคน มีความสำคัญด้านอุตสาหกรรมและเศรษฐกิจจนได้รับสมญาว่า “ชิคาโกแห่งไซบีเรีย” กระทั่งปัจจุบันถือเป็นเมืองใหญ่เป็นอันดับสามของรัสเซีย เป็นรองแค่เพียงมอสโกและเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก

  • แวะทักทายสัตว์ป่านานาชนิดทั้งที่มีถิ่นกำเนิดในไซบีเรีย รัสเซีย และจากทุกมุมโลกที่สวนสัตว์โนโวซิบีร์สก์ (Novosibirsk Zoo) หนึ่งในสวนสัตว์ขนาดใหญ่ที่สุดของรัสเซียและยุโรปในปัจจุบัน พระเอกของสวนสัตว์แห่งนี้คือเสือดาวหิมะ (Snow Leopard) ที่พบในเขตไซบีเรีย เทือกเขาอัลไตและหิมาลัย สถานะใกล้จะสูญพันธุ์ในธรรมชาติ ดาราประจำสวนสัตว์ตัวอื่นๆ ได้แก่ หมีขาว (Polar Bear) และไลเกอร์ (Liger) หรือเสือผสมสิงโต

  • เดินทางสู่สถานีรถไฟโนโวซิบีร์สก์ ออกเดินทางด้วยรถไฟไปยังคราสโนยาร์สก์ (ค้างคืนบนรถไฟ / 12 ชม.)

Day : Krasnoyarsk – Stolby Nature Sanctuary

  • (เช้า) ถึงสถานีรถไฟคราสโนยาร์สก์ รับประทานอาหารเช้าก่อนออกเที่ยวรอบเมืองที่มีประวัติเป็นส่วนหนึ่งของรัสเซียมายาวนานเกือบ 400 ปี ปัจจุบันเป็นหนึ่งใน 15 เมืองของรัสเซียที่มีประชากรมากกว่าหนึ่งล้านคน คราสโนยาร์สก์ตั้งอยู่บนที่ราบสูงโดยมีแม่น้ำเยนิเซ (Yenisei) หนึ่งในแม่น้ำสายหลักของไซบีเรียไหลผ่านทำให้เป็นชัยภูมิที่เหมาะแก่การสร้างเมือง โดยมีการพบหลักฐานการตั้งรกรากของผู้คนในบริเวณนี้นับย้อนไปได้กว่า 35,000 ปีมาแล้ว
  • หลังจากนั้นออกเดินทางไปยังเขตเทือกเขาทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของเมืองเข้าสู่อุทยานธรรมชาติสโตลบึย (Stolby Nature Sanctuary) คำว่า “สโตลบึย” เป็นคำในภาษารัสเซียหมายถึงกลุ่มเสาหิน ซึ่งตั้งอยู่บนเทือกเขาในเขตป่าสนไซบีเรีย ด้วยทิวทัศน์ที่งดงามและไม่เหมือนใครเมื่อมองลงมายังเมืองคราสโนยาร์สก์ ทำให้ในปัจจุบันได้กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่ดึงดูดนักผจญภัยที่ชื่นชอบการท่องเที่ยวในรูปแบบของการเดินป่าและปีนเขา
  • เดินทางสู่สถานีรถไฟคราสโนยาร์สก์ ออกเดินทางด้วยรถไฟไปยังอิรคุทสก์ (ค้างคืนบนรถไฟ / 17 ชม.)

Day : Baikal – Irkutsk 

  • (บ่าย) ถึงสถานีรถไฟอิรคุทสก์ เดินทางเข้าที่พักก่อนออกท่องเที่ยวรอบตัวเมืองอิรคุทสก์ (Irkutsk)
  • อิรคุทสก์เป็นเมืองเก่าแก่มีอายุมากกว่า 300 ปี ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของทะเลสาบไบคาล ริมแม่น้ำอันการา (Angara) แม่น้ำเพียงสายเดียวที่ไหลออกจากทะเลสาบไบคาล ในอดีตก่อนการปฏิวัติรัสเซียถือเป็นเมืองค้าขายที่สำคัญของจักรวรรดิรัสเซีย มีบทบาทสำคัญในฐานะเมืองศูนย์กลางการค้าระหว่างรัสเซียกับจีน ต่อมาเป็นแหล่งแปรรูปทองคำที่ได้มาจากแหล่งในไซบีเรียตะวันออก ในสมัยสหภาพโซเวียตกลายเป็นเมืองสำหรับคุมขังนักโทษการเมืองที่ถูกเนรเทศ ปัจจุบันเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญของรัสเซียเนื่องจากเป็นเมืองที่อยู่ใกล้และมีสาธารณูปโภคสะดวกสบายที่สุดสำหรับนักท่องเที่ยวที่ต้องการเดินทางไปยังทะเลสาบไบคาล ในบางครั้งถูกเรียกว่าเป็น “เมืองหลวงแห่งไซบีเรียตะวันออก”

  • เดินทางกลับเข้าที่พัก

Day : Baikal – Listvyanka – Limnological Museum

  • ออกเดินทางจากอิรคุทสก์ไปยังลิสต์เวียนก้า (Listvyanka) ชุมชนติดทะเลสาบไบคาล ระยะทางราว 70 กม. ระหว่างทางแวะชมพิพิธภัณฑ์สถาปัตยกรรมและชาติพันธุ์ทาลท์ซึย (The Taltsy Museum) พิพิธภัณฑ์กลางแจ้งในรูปของหมู่บ้านที่จัดแสดงสถาปัตยกรรมที่ทำจากไม้ช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 17 – 19 ของชาวรัสเซียและชาวบูเรียทที่ได้ตั้งรกรากอยู่บริเวณรอบทะเลสาบไบคาล ร่วมเรียนรู้วัฒนธรรมพื้นบ้านของผู้คนที่อาศัยอยู่ในแถบทะเลสาบไปคาลไปด้วยกัน
  • ถึงลิสต์เวียนก้า เข้าชมพิพิธภัณฑ์ชลธารวิทยาไบคาล (Baikal Limnological Museum) ที่จัดแสดงและให้ความรู้เกี่ยวกับทะเลสาบไบคาล ทะเลสาบน้ำจืดที่ลึกและมีปริมาณน้ำจืดมากที่สุดในโลก เรียนรู้เกี่ยวกับต้นกำเนิดของไบคาล สภาพแวดล้อมและธรรมชาติ รวมถึงพันธุ์พืชและสัตว์หายากที่อาศัยอยู่ในระบบนิเวศน์ผ่านอะควาเรียม ไม่ว่าจะเป็นปลาโอมุล สเตอร์เจียน และที่ขาดไม่ได้ แมวน้ำไบคาล ที่อพยพจากมหาสมุทรเข้ามาอาศัยในทะเลสาบตั้งแต่ยุคโบราณผ่านระยะทางหลายร้อยกิโลเมตร
  • เดินเล่นชมทิวทัศน์รอบทะเลสาบก่อนจะขึ้นไปยังโขดหินเชียร์สกี (Cherskiy rock) จุดชมวิวที่สวยงามที่สุดแห่งหนึ่งของทะเลสาบไบคาล จากจุดนี้สามารถมองเห็นความกว้างใหญ่ของทะเลสาบไบคาลที่ทอดยาวไปจนสุดลูกหูลูกตาและแลนด์มาร์คต่างๆของไบคาล ทั้งต้นธารแม่น้ำอันการา โขดหินหมอผี และท่าเรือไบคาล
  • เดินทางกลับเข้าที่พัก

Day : Baikal – Circum-Baikal Railway

  •  ออกเดินทางท่องเที่ยวรอบทะเลสาบไปตามทางรถไฟรอบไบคาล (Circum-Baikal Railway)* เส้นทางประวัติศาสตร์ที่สร้างขึ้นตั้งแต่ปี ค.ศ. 1905 ได้รับการขนานนามว่าเป็น “หัวเข็มขัดทองคำ” ของเส้นทางรถไฟสายทรานส์ไซบีเรีย หรือ “สายเข็มขัดเหล็ก” ของจักรวรรดิรัสเซีย ก่อนจะได้รับการพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวใน่วงทศวรรษ 1980
  • โดยตลอดเส้นทางท่องเที่ยวทางด้านทิศใต้ของทะเลสาบมีแนวอุโมงค์ซึ่งผ่านประวัติศาสตร์ในสงครามกลางเมืองเมื่อครั้งการปฏิวัติรัสเซีย เส้นทางลัดเลาะแนวเขาเลียบทะเลสาบ สิ่งก่อสร้างที่เป็นเอกลักษณ์ ระบบนิเวศน์ รวมถึงทัศนียภาพที่งดงามเหล่านี้ ได้ดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทุกสารทิศให้มาชื่นชมความสวยงามของทะเลสาบไบคาลจากมุมมองบนขบวนรถที่แล่นไปช้าๆอย่างไม่ขาดสาย
    ***ในกรณีที่ไม่สามารถจัดโปรแกรมรถไฟรอบทะเลสาบได้เนื่องจากสภาพแวดล้อมไม่อำนวย จะเปลี่ยนเป็นการล่องไปรอบทะเลสาบด้วยเรือยนต์หรือเรือโฮเวอร์คราฟท์ (Хивус-10) ในเส้นทางรอบทะเลสาบไบคาลฝั่งทิศตะวันตกตามความเหมาะสมแทน***
  • เดินทางกลับที่พัก

Day 10 : Baikal – Arshan

  • ออกเดินทางไปยังหมู่บ้านอาร์ชาน (Arshan) ระยะทางราว 230 กม. ตามเส้นทางที่ลัดเลาะไปตามเทือกเขาซายาน (Sayan Mountains) ฝั่งตะวันออก ซึ่งนำเราไปสู่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของชาวบูเรียตที่ตั้งอยู่ในบริเวณหุบเขาทุนกิน (Tunkin Valley) หลังจากนั้นเดินเท้าต่อไปยังหมู่บ้านอาร์ชาน หนึ่งในหมู่บ้านที่ตั้งอยู่ในชัยภูมิที่งดงามที่สุดของหุบเขา บริเวณเชิงเขาซายาน ห่างจากชายแดนมองโกเลียเพียงไม่ถึง 100 กิโลเมตร
  • ในตัวหมู่บ้านมีตลาดพื้นเมืองที่สามารถหาซื้อของที่ระลึกและสมุนไพรพื้นบ้านเป็นของฝาก ขณะที่เมื่อเดินต่อไปตามเส้นทางผ่านป่า จะพาเราไปสู่วิวของแม่น้ำคินการา (Kyngara) ณ จุดที่แม่น้ำไหลลงสู่น้ำตกขนาดย่อม จุดนี้เราสามารถสัมผัสกับแหล่งน้ำแร่ธรรมชาติที่ไหลผ่านใกล้กับวัดในศาสนาพุทธ ซึ่งเป็นศาสนาที่ชาวบูเรียตนับถือ
  • เดินทางกลับที่พักในอิรคุทสก์

Day 11 : Irkutsk – Bangkok

  • ถึงท่าอากาศยานนานาชาติอิรคุทสก์ (IKT) เพื่อเช็คอินสัมภาระและเตรียมตัวก่อนออกเดินทางด้วยเที่ยวบิน S7 761 สายการบิน S7 Airlines เวลา 11.30 กลับสู่กรุงเทพมหานคร เดินทางถึง กทม เวลา 17.05 น  โดยสวัสดิภาพ

***รายการอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ตามความเหมาะสม***

วันที่จัด

รวม

แกลลอรี่ทัวร์อัลไต รัสเซีย

ทริปอื่นๆที่น่าสนใจ

ไปไหนมาดอทคอม • 089-4789334 • 02-045-3445 • Line : @painaima.com • painaima@gmail.com • ติดต่อเรา

ไปไหนมาดอทคอม • ติดต่อเรา

Categories
Europe

ทัวร์กรีนแลนด์ ฟาโรห์

ทัวร์กรีนแลนด์-ฟาโรห์

Highlight

Day 1 : Bangkok  

  • นัดพบกันที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ  

Day 2: Bangkok – Copenhagen – Faroe Island –Kirkjubour Magnus Catherdal – Torshavn 

  • ถึงสนามบิน โคเปนฮาเกน จากนั้นต่อเครื่องภายในประเทศ ไปยัง สนามบิน Sorvagur แห่งแฟโร โดยสายการบิน Scandinavian Airlines  
  • ชมหมู่เกาะแฟโร (Faroe Island) เป็นประเทศในกลุ่มเกาะจำนวน 18 เกาะ ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของ มหาสมุทรแอตแลนติกระหว่างสกอตแลนด์ นอร์เวย์และไอซ์แลนด์หมู่เกาะแฟโรเป็นเขตการปกครองตนเองของ เดนมาร์ก ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2491 โดยมีสถานภาพเหมือนกับกรีนแลนด์มีอำนาจในการปกครองตนเองทุกด้าน 
  • ชม Trøllkonufingur (Witches Finger) เสาหินรูปร่างประหลาดและโดดเด่นที่ขึ้นตรงชายฝั่ง Vágar คนแฟโรได้ตั้งชื่อนี้เป็นเพราะมีลักษณะที่คล้ายนิ้วของแม่มดและมีตำนานว่าแม่มดได้สร้างเสาหินนี้ขึ้นมายังชายฝั่งอีกด้วย 
  • ชมมืองเคิร์กจูบูเออร์ (Kirkjubour) หมู่บ้านเล็กๆทางตอนใต้ของเกาะแฟโร เป็นหมู่บ้านที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ และมีบ้านไม้ที่อายุเก่าแก่ที่สุดซึ่งสร้างต้้งแต่ศตวรรษที่ 11
  • ชม โบสถ์หินโบราณแมกนาส (Magnus Catherdal) ชมความงดงามของโบสถ์หินโบราณที่ยังคงอนุรักษ์ไว้จนถึงปัจจุบัน พร้อมทั้งดื่มด่ำกับ ทัศนียภาพของบ้านไม้โบราณที่นิยมปลูกหญ้าบนหลังคาเลียบชายฝั่งมหาสมุทร 
  • คืนนี้พักที่ ทอร์ชวาน  

Day 3 : Sørvágsvatn – Kvivik Village  

  • ชมความงามของ Sørvágsvatn ทะเลสาบขนาดใหญ่ที่สุดของหมู่เกาะฟาโร ซึ่งตั้งอยู่บนเกาะ Vágar ที่อยู่ติดกับชายฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติก ตั้งอยู่ที่ความสูง 30 เมตรเหนือระดับน้ำทะเลที่ปลายสุดของทะเลสาบจะมีน้ำตก Bøsdalafossur อีกหนึ่งสถานที่ที่สวยงามของเกาะ 
  • Trælanípan (Slave Cliff) ท่านจะเห็นทะเลสาบที่อยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเล เมื่อถ่ายรูปออกมาจะเห็นเป็นภาพหลอกตา เหมือนกับภูเขาเป็นแอ่งและมีน้ำอยู่ข้างในและลอยอยู่บนมหาสมุทร ซึ่งจริงๆ แล้วทะเลสาบที่เห็นอยู่นี้ สูงกว่าระดับน้ำทะเลเพียงแค่ 30 เมตรเท่านั้น 
  • ล่องเรือสู่ Mykines ถิ่นฐานของนกพัฟฟินที่น่ารัก ใช้ในการวางไข่ นอกจากจะที่อยู่ของนกแถบโซนอาร์คติกไม่ว่าจะเป็นนกพัพฟิน (puffins) ที่อาศัยอยู่ตามชะง่อนผา และ นกอาร์คติดเทิร์น และอีกนานาชนิด เก็บภาพความสวยงามของผาหิน และ นกนานาพันธุ์ (11.20-16.20) 
  • หมู่บ้านไคว์วิค (Kvivik Village) ซึ่งเป็นหนึ่งในหมู่บ้านที่เก่าแก่ที่สุดบนหมู่เกาะแฟโรและยังคงมีหลักฐานทางโบราณคดีที่แสดงให้เห็นว่าชาวไวกิ้ง ได้มีการตั้งถิ่นฐานที่หมู่บ้านแห่งนี้เมื่อประมาณศตวรรษที่ 18 เห็นได้จากบ้านเรือนของชาวไวกิ้งโบราณที่ยังคงหลงเหลืออยู่  
  • พักที่ Torshavn 

Day 4 : Mykines 

  • พานั่งเรือไปยังจุดชมวิว Drangarnir ท่านจะเห็นหินที่ขึ้นขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่กลางทะเล ความอัศจรรย์คือหินนั้นมีรูขนาดใหญ่ที่เป็นจุดเด่นและเอกลักษณ์ของเกาะแฟโรอีกด้วย 
  • ชมน้ำตกมูลาฟอส เซอร์ (Mulafossur Waterfall) ซึ่งเป็นน้ำตกที่เปรียบเสมือนซิกเนเจอร์ของหมู่เกาะแฟโร ให้ท่านได้ชื่นชมกับธรรมชาติและความสวยงามของน้ำตกซึ่งมีฉากหลังเป็นภูเขาสวยงาม 
  • เดินทางสู่เมืองทอร์สเฮาน์ (Torshavn) ซึ่งเป็นเมืองหลวงและเมืองที่ใหญ่ที่สุดของหมู่เกาะแฟโร ดินแดนของประเทศเดนมาร์ก ตั้งอยู่ทางตอนใต้และเป็นส่วนหนึ่งของชายฝั่งทิศตะวันตกของเมืองสเตรอเมอนา นำท่านถ่ายรูปกับบ้านหลังคาหญ้า (Tiganes) ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของเมือง 
  • พักที่ Torshavn 

Day 5 : Torshavn – Copenhagen 

  • เดินทางกลับ โคเปนฮาเกน โดยสายการบินในประเทศ 
  • ชมมือง Copenhagen พอหอมปากหอมคอ พาท่านไปถ่ายรูปกับเงือกน้อย little mermaid สัญลักษณ์ของเมืองโคเปนเฮเกน  
  • Amalianborg Castle พระราชวังที่สร้างขึ้นสำหรับประทับช่วงฤดูหนาว ประกอบด้วยอาคารสี่หลังใหญ่ ล้อมรอบพื้นที่ทรงแปดเหลี่ยม ตรงกลางด้านในนั้นประดิษฐานอนุสาวรีย์พระบรมรูปทรงม้าของผู้ก่อตั้ง Amalienborg ของกษัตริย์เฟรเดอริที่ 5 
  • ชมท่าเรือ Nyhavn ที่ถือเป็นแหล่งท่องเที่ยวหลากสีสัน เพราะรายล้อมไปด้วยร้านค้า ร้านอาหาร ผับ บาร์ ตั้งเรียงรายอยู่สองข้างทาง ผสานไปด้วยบ้านเรือนสไตล์แดนิชหลากสีสันที่สร้างขึ้นได้อย่างสวยงาม 

Day 6 : Copenhagen – Kangerlussuaq – Ice Cap Point 660  Russell Glacier 

  • เดินทางสู่ เมือง Kangerlussuaq โดยสายการบิน Air Geenland  
  • เดินทางสู่ Ice Cap Point 660 ชั้นน้ำแข็งที่ปกคลุมพื้นโลก (แถบขั้วโลกเหนือและใต้) อีกหนึ่งประสบการณ์อันน่าจดจำที่จะได้อยู่บนแผ่นน้ำแข็งที่ปกคลุมทั้งประเทศคิดเป็น 10% ของโลก ที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 2 รองจากแอนตาร์กติกา 
  • สัมผัสกับธารน้ำแข็งรัสเซล (Russell Glacier) หน้าผาน้ำแข็งที่มีขนาดใหญ่มีความสูงกว่า 60 เมตรเด่นตระหง่านอยู่ตรงหน้า จินตนาการรูปลักษณ์คล้ายดั่งสัตว์ในเขตขั้วโลกเหนือ อาทิ หมีขาว แมวน้ำ หรือธารน้ำตก อันเป็นประติมากรรมที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ เราจะค่อยๆเดินขึ้นไปบนธารน้ำแข็งซึ่งทรงพลังที่สุดในธรรมชาติ ความใหญ่โตมหึมาล้อมรอบ 360 องศาที่จะทำให้ตื่นเต้นตลอดเวลาในการเดินอยู่บนธารน้ำแข็งที่ยังคงเหลืออยู่ในกรีนแลนด์ และแอนตาร์กติกาเท่านั้น  

Day 7 : Kangerlussuaq – Ilulissat  

  • ออกเดินทางไปยังเมือง  Ilulissat โดยสายการบิน Air Geenland  
  • ชม โบสถ์ Zion Church ซึ่งสร้างมาตั้งแต่ปลายศตวรรษที่ 18 ถือเป็นสิ่งก่อสร้างที่ใหญ่ที่สุดในกรีนแลนด์ยุคนั้น 
  • นำท่านเข้าชม พิพิธภัณฑ์เมืองอิลูลิสแซต (Iluissat Museum) ซึ่งจัดแสดงเรื่องราวของแหล่งก่อนประวัติศาสตร์ Sermermiut อันเป็นถิ่นฐานของมนุษย์ยุคหิน และเรื่องราวของชนพื้นเมืองคือ อินูอิต (Enuitหรือเอสกิโม (Eskimo) วิถีชีวิต วัฒนธรรม และเส้นทางการค้าของพวกเขากับชาวยุโรป รวมถึงเรื่องราวของนักสำรวจขั้วโลกเหนือที่น่าสนใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Knud Rasmussen นักสำรวจขั้วโลกเหนือผู้ยิ่งใหญ่ 
  • Ilulissat Icefjord ความยาวราว 70 กิโลเมตร หรือที่เรียกกันในภาษาท้องถิ่นว่า Kangia จะเต็มไปด้วยก้อนน้ำแข็งและภูเขาน้ำแข็ง (Iceberg) อันมีที่มาจากธารน้ำแข็งเซอร์เมก คูยาลเลก (Sermeq Kujalleqทางด้านทิศตะวันออก ไหลลงสู่ท้องทะเลและมาออกทะเลเปิดบริเวณอ่าวดิสโก (Disko Bay) มีแผ่นน้ำแข็งลอยน้ำขนาดใหญ่โตมากมายกระจัดกระจายอยู่ตามผืนน้ำ รวมพื้นที่ทั้งหมดของแหล่งมรดกโลกแห่งนี้ราว 4,000 ตารางกิโลเมตร 

Day 8: Whale Watching – Zion Church  

  • พาชมปลาวาฬ พบว่าดินแดนขั้วโลกเหนือแห่งนี้มีปลาวาฬกว่า 15 ชนิด ที่สามารถพบเห็นได้ โดยเฉพาะ วาฬหลังค่อม วาฬฟิน และวาฬมิงก์ นำท่านออกสำรวจปลาวาฬอย่างใกล้ชิด  
  • ่องเรือชม Iceberg ที่ Disko Bay ช่วงพระอาทิตย์เที่ยงคืน จะเห็นภูเขาน้ำแข็งขนาดใหญ่ มีแผ่นน้ำแข็งลอยน้ำขนาดใหญ่โตมากมายกระจัดกระจายอยู่ตามผืนน้ำ รวมพื้นที่ทั้งหมดของแหล่งมรดกโลกแห่งนี้ราว 4,000 ตารางกิโลเมตร 

Day 9 :  Eqip Sermia  

  • ั่งเรือไปทางตอนเหนือของอิลลูลิแซท เมืองปากอ่าวธารน้ำแข็ง อิควิป เซอร์เมีย (Eqip Sermia) หรือรู้จักกันในชื่อ “Eqi” กล่าวได้ว่าเป็นธารน้ำแข็งเก่าแก่อายุหลายหมื่นปี ที่ใหญ่ที่สุดในโลกเพียงแห่งเดียวที่มนุษย์สามารถเข้าไปชมได้อย่างใกล้ชิดที่สุด จัดเป็นมรดกโลกเมื่อปี 2004 เป็นมรดกทางธรรมชาติของโลกที่น่าตื่นตาตื่นใจซึ่งก้อนน้ำแข็งจำนวนมหาศาลไหลลงทะเลทาง Ilulissat Icefjord (อิลลูลิแซท ไอซ์ฟยอร์ด) ถือได้ว่าเป็นที่สุดของธารน้ำแข็งทางฝั่งตะวันตกของกรีนแลนด์  

Day 10 : Ilulissat – Kangerlussuaq – Copenhagen  

  • เดินทางกลับ Copenhagen โดยสายการบิน Air Geenland 

Day 11 : Copenhagen – Bangkok 

  • อิสระยามเช้า เตรียมตัวกลับไทย

Day 12 : Bangkok 

  • เช้า เดินทางถึงกรุงเทพฯ โดยสวัสดิภาพและความประทับใจ 

เร็วๆนี้

ไปไหนมาดอทคอม • 089-4789334 • 02-045-3445 • Line : @painaima.com • painaima@gmail.com • ติดต่อเรา

ไปไหนมาดอทคอม • ติดต่อเรา

Categories
Europe Northernlight

ทัวร์ไอซ์แลนด์

ทัวร์ไอซ์แลนด์

Highlight

จุดเด่นทริป Iceland Grand

  • เที่ยวรอบเกาะ 
  • ล่าแสงเหนือ ทุกคืนที่ท้องฟ้าเปิด (ก.ย. – เม.ย.)
  • ชม Golden Circle : Geysir , Gullfoss, Thingvellir
  • ไอซ์แลนด์ ซิกเนเจอร์ Skogafoss และ Seljalandfoss
  • ลัดเลาะทะเลใต้ เมือง VIK, หาดดำ, ชง่อนผาน้องพัพฟิน
  • Iceburg Lagoon : Fjallsárlón Jökulsárlón
  • อลังการน้ำตกที่แรงสุดในยุโรป Dettifoss
  • เขต Thermal Area, บ่อโคลนเดือด
  • ล่องเรือชมปลาวาฬ
  • เมืองน่ารักๆ Akureyri
  • ภูเขาหมวก Kirkjufell
  • โบสถ์ Reykjavik 
  • แช่น้ำร้อนที่บลูลากูน

129,000

รายละเอียดเพิ่มเติม

DAY 1: Bangkok  

  • ัดพบกันที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ  

DAY 2 :  Reykjavik – Thingvellir National Park  Golden Circle  

  •  ต่อเครื่องไปยัง Iceland 
  • พาชม ุทยานแห่งชาติซิงเควลลิร์ (Thingvellir National Park) อุทยานแห่งชาติแห่งแรก ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโก้ มีความสำคัญคือ เป็นรอยเชื่อมระหว่างทวีปยูเรเซีย และทวีปอเมริกาเหนือ และยังมีฐานะเป็นสภาแห่งแรกของไอซ์แลนด์  
  • ชม น้ำตกกูลฟอสส หรือ ไนแองการ่าแห่งไอซ์แลนด์ ถือเป็นน้ำตกที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งของประเทศไอซ์แลนด์ และเป็นสถานที่ท่องเที่ยว 1 ใน 3 ที่ไอซ์แลนด์จัดให้อยู่ในเส้นทาง “วงกลมทองคำ” ที่ผู้มาเยือนต้องมาเที่ยวชม  สำหรับ ชื่อน้ำตกแห่ง Gullfoss มาจากคำว่า Gull ที่แปลว่าทองคำและ Foss ที่แปลว่าน้ำตก เมื่อรวมกันหมายถึงน้ำตกทองคำ  
  • ชม น้ำพุร้อนหรือเกย์เซอร์ ซึ่งเป็นน้ำพุร้อนที่พวยพุ่งขึ้นสูงกว่า 180 ฟุต ทุกๆ 7-10 นาที  สาเหตุการเกิดน้ำพุร้อนดังกล่าวเนื่องมาจากน้ำในโพรงหินใต้ดิน ได้รับความร้อนจากพลังงานที่อยู่ใต้หินเปลือกโลก เมื่อถึงจุดเดือด จึงขับเคลื่อนน้ำในโพรงขึ้นมา ให้กลายเป็นน้ำพุร้อน  
  • ชมปล่องภูเขาไฟ Kerid Crater ปล่องภูเขาไฟสีเลือดที่มีทะเลสาบสีเขียวมรกตปรากฏอยู่บริเวณปากปล่อง  ซึ่งแม้ว่าจะมีอายุกว่า 3 พันปีแล้วก็ตาม แต่ยังมีสภาพที่สมบูรณ์อยู่  
  • คืนนี้เราจะพักกันที่ เมือง Selfoss  

DAY 3 : Seljalansfoss – Skoga – Dyrholaey – Vik – Klaustur  

  • ชม น้ำตกเซลยาลันส์ฟอสส์ (Seljalansfoss) มีความสูง 60 เมตร และถือเป็นอีกหนึ่ง Highlihgt ของน้ำตกแห่งนี้ที่ผู้มาเยือนสามารถเดินเข้าไปด้านหลังได้  
  • ชม น้ำตกสโกก้าฟอสส์ (Skogarfossอันมีมวลน้ำขนาดใหญ่ตกมาจากหน้าผาสูง 62 m ความสวยงามตระการตาของน้ำตกที่เห็นอยู่นั้นเกิดจากองค์ประกอบรอบๆ ของตัวน้ำตกและโตรกผาที่สอดประสานกัน  
  • ชม แหลม Dyrholaey (เดิมเรียกว่าเคปพอร์ตแลนด์โดยชาวอังกฤษตั้งอยู่บนชายฝั่งทางใต้ของไอซ์แลนด์ จุดเด่นของที่นี่คือ หาดลาวาสีดำสนิท ที่ทอดตัวยาวหลายสิบกิโลเมตร โดดเด่นที่บริเวณริมผาจะเห็นประติมากรรมอันถูกสร้างสรรค์จากธรรมชาติ เป็นลักษณะแหลมหินที่มีรูขนาดใหญ่ยื่นลงไปในทะเล เมื่อมองกลับไปด้านหลังจะพบกับธารน้ำแข็ง Mýrdalsjökull glacier  
  • Reynisfjara Beach หาดทรายสีดำที่ดังที่สุดในเส้นทางIceland ภาคใต้ มี landmark ที่สำคัญคือหน้าผาหิน บะซอลท์ที่ใครๆก็ต้องแวะเวียนมาถ่ายรูป  
  • ชม Trolls in Reynisdrangar ที่มีตำนานอันลึกลับกล่าวขานว่า พวกปีศาจพยายามแอบลากเรือออกจากฝั่งของเมือง Vik แต่ถูกจับได้ โดยเทพเจ้าแห่งแสงแดดในยามรุ่งสาง เหล่าปีศาจร้ายจึงถูกสาปให้กลายเป็นหินรูปทรงแปลกประหลาดน่าเกลียดน่ากลัวตั้งอยู่กลางท้องทะเล  
  • เดินทางต่อสู่เส้นทางเลียบชายหาด แวะชม LavaField ซึ่งเป็นทุ่งหญ้ามอสที่ปกคลุมอยู่บนหินลาวา เมื่อถ่ายภาพออกมา จะกลายเป็นภาพที่แปลกตาแต่สวยงาม  
  • คืนนี้เราจะพักกันที่ เมือง Klaustur  

Day 4 : Skaftafell –  Svartifoss –  SvinafellsJokull – Vatnajokull  Jokulsarlon – Hofn  

  • ชม อุทยานแห่งชาติ Skaftafell อันมีภูมิประเทศคล้ายคลึงกับเทือกเขา Alp  มีลักษณะเป็นเขตธารน้ำแข็งที่ก่อต่อขึ้นมาหลายพันปีจากอิทธิพลการระเบิดของภูเขาไฟใต้ธารน้ำแข็งที่ทำให้เกิด Glacier Floods  
  • ชม ธารน้ำแข็ง SvinafellsJokull อันมีลักษณะเป็นกราเซียที่เกิดจากธารน้ำแข็ง Vatnajokul ผู้มาเยือนสามารถถ่ายภาพกับวิวกลาเซียและก้อนน้ำแข็งขนาดใหญ่ที่ลอยอยู่ในทะเลสาบเบื้องล่างอันแสนพิเศษนี้  
  • ธารน้ำแข็งเรียกว่า Vatnajokull มีขนาด 8,300 ตร.กมเท่ากับธารน้ำแข็งทั้งหมดในทวีปยุโรปรวมกัน และขนาดความหนามากที่สุดประมาณ 1,000 เมตร ซึ่งถือว่ามีขนาดใหญ่เป็นอันดับสองของทวีปยุโรป  
  • ชม โจกุลซาลอน (Jokulsarlon) ซึ่งถือเป็นทะเลสาบธารน้ำแข็งที่ใหญ่ที่สุดในไอซ์แลนด์ ธารน้ำแข็งแห่งนี้ เกิดขึ้นครั้งแรกในช่วงปี 1934-1935 ต่อมาจึงเกิดการละลายเรื่อยๆ จนเพิ่มพื้นที่มากขึ้นในทุกๆ ปี  
  • ชม AMPHIBIAN BOAT TOUR  ล่องเรือชมความงามของภูเขาน้ำแข็งขนาดใหญ่ท่ามกลางทิวทัศน์อันสวยงามแปลกตา ตื่นตากับธารน้ำแข็ง 1000 ปี หากโชคดีอาจจะเจอแมวน้ำรอต้อนรับ 
  • คืนนี้เราจะพักกันที่ Hofn  

Day 5 : Hofn – Dettifoss – Hverarondor Hverir – Goda foss Akureyri  

  • เตรียมตัวเดินทางสู่ใจกลางประเทศไอซ์แลนด์ วันนี้เราจะลัดเลาะไปตามแนว East Fjord มีหน้าผาสูงชันและเลียบไปตามทะเล  แวะถ่ายรูปทัศนียภาพอันแปลกตา ที่น่ามองอีกจุดหนึ่งของ Iceland  
  • เดินทางข้าม Pass Modradalsfjallgurdar อันมีหิมะปกคลุมในช่วงฤดูหนาวตลอดเส้นทาง เราจะเห็นทัศนียภาพเป็นหุบเขาสีขาวสวยงามตระการตา พร้อมมุ่งหน้าสู่เมืองหลวงทางตะวันออกที่ชื่อเมือง Egilstadir  
  • ชม น้ำตก Dettifoss อันเป็นสถานที่ถ่ายภาพยนต์เรื่อง Prometeus น้ำตกแห่งนี้เป็นน้ำตกที่ใหญ่และทรงพลังที่สุดในทวีปยุโรป ตั้งอยู่ในอุทยานแห่งชาติ Vatnajökull  
  • ชม สถานีพลังงาน Krafla เป็นสถานีพลังงานความร้อนใต้พิภพใหญ่ที่สุดของประเทศ ขนาด 60 เมกะวัตต์ตั้งอยู่ใกล้ภูเขาไฟ Krafla ในไอซ์แลนด์  
  • Hverarondor Hverir อันเป็นทางออกของพลังงานความร้อนจากใต้พิภพ เกิดเป็นบ่อโคลนเดือดและควันกำมะถันพวยพุ่งออกมาจากหลุม เดินทางผ่านชมทะเลสาบสีเทอควอยต์ที่มีโรงไฟฟ้าพลังความร้อนพ่นควันฉุยตั้งอยู่เคียงข้าง  
  • คืนนี้เราจะพักกันที่ เมือง Myvatn  

Day 6 : Myvatn – Godafoss – Akureyri  

  • ชม Hverfjall ซึ่งเป็นภูเขาไฟรูปทรงโคลนและมีขนาดความกว้างของปล่องประมาณ 1 กิโลเมตร สามารถเดินเท้าขึ้นไปที่ปากปล่องเพื่อ ชมวิวของ Lake Myvatn และความอลังการของปล่องภูเขาไฟได้ ซึ่งปากปล่องสูงถึง 463 เมตร   
  • ชม น้ำตก Godafoss ที่ได้รับฉายาว่า น้ำตกแห่งพระเจ้า “Waterfall of the Gods”  
  • (เมษายน– กันยายนพาล่องเรือ ชมปลาวาฬ จะมีโอกาสเห็นวาฬมิงค์  
  • ชม เมืองอาคูเรย์ริ (Akureyriเมืองที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ 2 ของประเทศไอซ์เเลนด์ และยังเป็นศูนย์กลางการทำประมง โบสถ์อาคูเรย์รี่ (Akureyrakirkjaสัญลักษณ์ของเมือง สถาปนิกผู้ก่อสร้างโบสถ์นี้คือ Gudjon Samuelsson เป็นคนเดียวกับผู้ออกแบบ Hallgrimskirkja โบสถ์ลูเธอรันนี้ออกแบบเสร็จในปี 1940 ภายในโบสถ์ประกอบด้วยท่อออร์แกน 3200 อันที่นำมาจากประเทศเยอรมันในปี 1961 มีภาพของพระเยซูและเรือทำมือที่แขวนจากเพดาน ตามความเชื่อของชาวนอร์ดิกโบราณ  
  • อิสระแก่ทุกท่านเพื่อช้อปปิ้งเลือกซื้อสินค้าบนถนนคนเดินเกเรอโตรกาตา (Gerartogata 
  • คืนนี้เราจะพักกันที่ เมือง Akureyri  

Day 7 : Akureyri – Snæfellsjökull – Kirkjufell –  Grundafjord  

  • เดินทางสู่ Snæfellsjökull เขตภูเขาไฟอายุ 700000 ปีที่มีกลาเซียปกคลุมอยู่ทั่วบริเวณ  และภูเขาไฟแห่งนี้ ยังเป็นฉากในนวนิยายเรื่อง Journey to the Center of the Earth  
  • เข้าสู่เขตเมือง Grundafjordur เมืองเล็กๆริมทะเล อยู่ทางตอนเหนือของคาบสมุทร Snæfellsnes Peninsula ทางทิศตะวันตกของไอซ์แลนด์ อาคารแต่ละหลังถูกสร้างขึ้นมาอย่างเรียบง่าย มีฉากหลังเป็นภูเขาที่ปกคลุมไปด้วยหิมะ  
  • ชม Kirkjufell ภูเขาทรงหมวก และน้ำตก Kirkjufellsfoss อันเป็นสถานที่สำคัญเลื่องชื่อ ที่หากมาเยือน Iceland แล้ว ต้องห้ามพลาดถ่ายรูปกับสถานที่แห่งนี้  
  • คืนนี้เราจะพักกันที่ เมือง Grundafjord  

DAY 8 : Grundafjord – BlueLagoon – Keflavik  

  •  หลังอาหารเช้าชม ถ้ำลาวา 1 หมื่นล้านปี อันเกิดจากลาวาที่ไหลลงมาสู่ชายฝั่งทะเล และแข็งตัวไม่พร้อมกัน ทำให้เกิดเป็นโพรงถ้ำขนาดใหญ่อยู่ใต้ดิน  
  • เดินทางเข้าสู่เมืองหลวงเรยาวิค ชม ฮัลล์กรีมสคิร์คยา (Hallgrimskirkja) โบสถ์ใจกลางเมืองที่มีความสูง 73 เมตร เป็นโบสถ์ที่ใหญ่ที่สุดในไอซ์แลนด์และเป็นสิ่งก่อสร้างที่สูงที่สุดเป็นอันดับ 6 ของไอซ์แลนด์ โดยโบสถ์แห่งนี้ถูกตั้งชื่อขึ้นตามชื่อของ ฮัลล์กรีมูร์ เพทูร์สซอน (1614 – 1674) กวีและนักบวชชาวไอซ์แลนด์  เพราะคำว่า “ฮัลล์กรีมสคิร์คยา” ตามศัพท์แปลว่า “โบสถ์ของฮัลล์กรีมูร์”  
  • ชม Harpa อันเป็น Concert Hall และ Conference Center มีที่ตั้งอยู่ริมอ่าว โดยอาคารแห่งนี้ถูกตกแต่งไปด้วยกระจก 6 เหลี่ยม เมื่อยามสะท้อนแสงอาทิตย์จะทำให้เกิดเป็นประกาย หลากสีสันแตกต่างกันออกไปตามมุมมองที่เรายืนชมอยู่ นับเป็นอีกหนึ่งสถาปัตยกรรมสมัยใหม่ที่หาดูได้ยากในโลก  
  • ถ่ายรูปกับ Sun Voyager (Solar) สร้างขึ้นเมื่อปี 1990 ชนะเลิศจากการประกวดประติมากรรมเพื่อเฉลิมฉลองกรุงเรคยาวิกครบ 200 ปี Sun Voyeger แทนความหมายของเรือแห่งความฝันที่ออกเดินทางไปตามทิศทางแห่งดวงอาทิตย์ ไปสู่ดินแดนที่ยังไม่ถูกค้นพบ  
  • มุ่งหน้าสู่ เมือง Keflavik แวะผ่อนคลายกันที่ บลูลากูน (BlueLagoon) หรือทะเลสาบสีฟ้า ซึ่งเป็นน้ำพุร้อนที่มีชื่อเสียงที่สุดของไอซ์แลนด์ สามารถลงไปแหวกว่าย นอนแช่ในบ่อน้ำพุร้อนที่มีอุณหภูมิความร้อนของน้ำเฉลี่ยอยู่ที่ 40 องศาเซลเซียสได้อย่างสบายๆ ทำให้เกิดความรู้สึกผ่อนคลาย อีกทั้งตัวน้ำพุร้อนอันบริสุทธิ์ยังเต็มไปด้วยแร่ธาตุมากมาย ที่เชื่อกันว่าสามารถช่วยรักษาโรคได้อีกด้วย (กรุณาเตรียมชุดว่ายน้ำไปด้วยครับ 
  • คืนนี้เราจะพักกันที่ เมือง Keflavik  

DAY 9 : Keflavik – Copenhagen  

  • ออกเดินทางจาก Icelane สู่โคเปนเฮเกน (พาเที่ยวโคเปน ด้วยรถไฟ)  
  • พาท่านไปถ่ายรูปกับเงือกน้อย little mermaid ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของเมืองโคเปนฮาเก้น ที่กำลังนั่งรอเจ้าชายตามเทพนิยายอันเลื่องชื่อ ของนักเล่านิทานระดับโลกฮันส์คริสเตียน-แอนเดอร์สัน 
  • Amalianborg Castle พระราชวังที่สร้างขึ้นสำหรับประทับช่วงฤดูหนาว ประกอบด้วยอาคารสี่หลังใหญ่ ล้อมรอบพื้นที่ทรงแปดเหลี่ยม ตรงกลางด้านในนั้นประดิษฐานอนุสาวรีย์พระบรมรูปทรงม้าของผู้ก่อตั้ง Amalienborg ของกษัตริย์เฟรเดอริที่ 5  
  • พักที่ Copenhagen  

DAY 10 : Copenhagen – Bangkok  

  • เช้า อิสระตามอัธยาศัย ช่วงบ่ายเตรียมกลับไทย 

DAY 11 : Bangkok  

  • เดินทางถึงกรุงเทพมหานครโดยสวัสดิภาพ

ค่าใช้จ่ายทริป 
129000 บาท พักห้องคู่

*พักเดี่ยวเพิ่ม 30000 บาท
**ไม่มีราคาเด็ก

ค่าใช้จ่ายรวม

  • ค่าวีซ่า
  • การเดินทางทั้งหมดในไอซ์แลนด์
  • ค่ากิจกรรมทั้งหมดตามโปรแกรม
  • โรงแรมระดับ 3-4 ดาว ขึ้นกับสภาพเมือง พร้อมอาหารเช้า
  • ตั๋วเครื่องบินโคเปนเฮเก้น – เรยาวิค

ค่าใช้จ่ายไม่รวม

  • อาหารกลางวันและเย็น
  • ตั๋วเครื่องบินระหว่างประเทศ กรุงเทพ-โคเปนเฮเก้น (สามารถจองและออกตั๋วผ่านทีมงานได้เลย)
  • ไอซ์แลนด์เป็นประเทศที่สภาพภูมิอากาศแปรปรวน โดยเฉพาะลมและฝน ซึ่งเกิดขึ้นได้ทุกเวลา ให้ทุกท่านเตรียมร่างกายและอุปกรณ์เพื่อรับกับสภาพอากาศให้พร้อม
  • แสงเหนือในช่วงฤดูหนาว ขึ้นอยู่กับสภาพเมฆที่ปกคลุมท้องฟ้า โดยสตาฟจะศึกษาพยากรณ์อากาศในแต่ละวันเพื่อหาจุดที่ดีที่สุดในระยะที่เราเดินทางถึงจากที่พักในค่ำคืนนั้น (พาทุกท่านออกล่าแสงเหนือทุกคืน ที่ฟ้าเปิด)
  • โรงแรมที่พักในบางเมืองที่ห่างไกลอาจจะไม่สะดวกหรือใหญ่โตเหมือนในเขตเมืองใหญ่
  • หากมีพายุหิมะ จะต้องรอจนถนนเคลียร์เรียบร้อยก่อน ซึ่งอาจจะได้ให้โปรแกรมขาดไปได้ (ประเมินตามหน้างาน)
  • ทัวร์ของเราเป็นลักษณะเหมาจ่าย การไม่ใช้ Service ใด Service หนึ่งไม่สามารถขอ Refund ได้ระหว่างการเดินทาง 
  • วีซ่า ทีมงานจะเตรียมเอกสารโดยสมบูรณ์ที่สุดหากแต่การพิจารณาขึ้นกับดุลยพินิจของสถานทูตเท่านั้น 
  • ประกันการเดินทางครอบคลุมถึงกรณีเจ็บป่วย กระเป๋าล่าช้า และต้องเดินทางฉุกเฉิน * ทั้งนี้การชดใช้ค่าเสียหายที่เกิดขึ้น ขึ้นกับดุลยพินิจของบริษัทประกัน โดยทางทีมงานมีหน้าที่อำนวยความสะดวกในการเตรียมเอกสารเพื่อเคลมประกัน ไม่สามารถก้าวล่วงการพิจารณาของประกันได้

 


– การยกเลิกทริปล่วงหน้า 90 วัน จะได้รับมัดจําคืนเต็มจํานวน ยกเว้นค่าใช้จ่ายที่ได้จ่ายไปตามจริงแล้ว เช่น ค่าเครื่องบิน ค่าจองโรงแรม
– กรณียกเลิกทริปล่วงหน้า 60 วัน จะหักมัดจํา 50%
– กรณียกเลิกทริปล่วงหน้า 45 วัน จะไม่สามารถคืนมัดจําได้
– กรณียกเลิกทริปล่วงหน้า 30 วัน ไม่สามารถคืนค่าทริปทั้งหมด
– กรณียกเลิกทริปเนื่องด้วยภัยธรรมชาติ ที่ทําให้ไม่สามารถเดินทางไปได้ ผู้จัดยินดีคืนเงินค่าทริปทั้งหมด หลังหัก ค่าใช้จ่าย เช่น ค่าตั๋วเครื่องบิน ค่าจอง รร เป็นต้น

ไปไหนมาดอทคอม • 089-4789334 • 02-045-3445 • Line : @painaima.com • painaima@gmail.com • ติดต่อเรา

ไปไหนมาดอทคอม • ติดต่อเรา

Categories
Europe

ทัวร์โดโลไมท์

ทัวร์โดโลไมท์

Highlight

Dolmite Grand

Dolmite + Cinque

Dolmite + Tuscany

Day : Bangkok – Milan 

  • นัดพบกันที่ สนามบินสุวรรณภูมิ  

Day : Milan – Bergarmo – Stelvio National park – Stelvio – Sulden 

  • ถึงเมืองมิลาน เดินทางสู่เมือง เบอร์กาโม (BERGAMO) เมืองในยุคกลางอีกครั้ง สถาปัตยกรรมที่ผสานระหว่างศิลปะยุคกลางและยุคเรเนสซองส์ไว้ด้วยกัน  
  •  ชมย่านเมืองเก่า Citta Alta” ซึ่งพื้นที่ส่วนใหญ่ของเมืองนั้นล้อมรอบด้วยกำแพงเมืองแบบเวนิส ที่สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 17  
  • ชมย่านจัตุรัสเก่า เปียสซ่า เว็คเคียร์ (Piazza Vecchia ,Old square) ซึ่งเป็นย่านใจกลางเมืองเก่าที่แวดล้อมไปด้วยเหล่าอาคารที่แสดงออกถึงการผสมผสานระหว่างสถาปัตยกรรมของยุคกลางและเรเนสซองส์ 
  • นำท่านเข้าชม มหาวิหารซานต้า มาเรีย มายอเร” (Santa Maria Maggiore) อีกหนึ่งมหาวิหารที่มีความโดดเด่นทางด้านสถาปัตยกรรม  สิ่งที่โดดเด่นของมหาวิหารก็คงจะเป็นรูปปั้นสิงโตคู่ ที่สร้างขึ้นเพื่อรองรับซุ้มประตูโค้งด้านหน้ามหาวิหาร 
  • ชื่นชมความมหัศจรรย์ของอุทยานแห่งชาติ Stelvio National park ก่อตั้งขึ้นในปี 2478 อุทยานนี้จะติดกับอุทยานแห่งชาติสวิสด้วย และเป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่านานาชนิดที่หายาก
  • ออกเดินทางสู่เมือง Stelvio โดยใช้เส้นทาง Stelvio Pass ลักษณะถนนจะคดโค้ง วกไปวนมาแวะถ่ายรูปบนจุดสูงสุดของ Pass ที่ความสูงประมาณ 2757 เมตร
  • จากนั้นนำท่านสู่ เมือง Sulden เป็นชุมชนเก่าแก่ขนาดกลางใจกลางเทือกเขาแอลป์ ล้อมรอบด้วยยอดเขาหิมะสูงชัน ทิวทัศน์ของเมืองก็งดงามน่าประทับใจ นับเป็นปลายแดนที่ชาวยุโรปนิยมขึ้นมาพักผ่อน 
  • คืนนี้เราจะพักกันที่เมือง Sulden 

Day : Sulden – Brixen – Val di Funnes – Santa Magdalena  Ortisei