Categories
06-Jun 07-Jul 2024 Scandinavia

ทัวร์เกาะแฟโร ทะเลสาบมายา • นกพัฟฟิน • บ้านหลังคาหญ้า

ทัวร์เกาะแฟโร
ทะเลสาบมายา • นกพัฟฟิน • บ้านหลังคาหญ้า
สรุปไฮไลท์

☀️เกาะแฟโร (Faroe Islands) – หมู่เกาะในมหาสมุทรแอตแลนติกเหนือที่มีประชากรเพียงราว 50,000 คน

☀️หมู่บ้าน Kirkjubour – หมู่บ้านทางตอนใต้ของเกาะ Streymoy

☀️หมู่บ้าน Tjørnuvík – หมู่บ้านเล็กๆ ทางตอนเหนือสุดของเกาะ Streymoy

☀️Eiði – หมู่บ้านเล็กๆ บนเกาะ Eysturoy

☀️Gjógv – หมู่บ้านอันเก่าแก่ตั้งแต่ปี 1584

☀️Trollanes village – หมู่บ้านเล็กๆ บนชายฝั่งตะวันตกของเกาะ

☀️Viðareiði – หมู่บ้านที่อยู่ไกลสุดทางตอนเหนือ

☀️เสาหิน Trollkonufingur – ลักษณะที่คล้ายนิ้วของแม่มด

☀️ทะเลสาบ Trælanípan – ทะเลสาบภาพลวงตา

☀️ยอดเขา Slættaratindur – จุดที่สูงที่สุดในหมู่เกาะแฟโร

☀️Kalsoy Island – เกาะที่ได้ชื่อว่าเป็น “หลุมศพของเจมส์บอนด์”

☀️ประภาคาร Kallur lighthouse – ประภาคารบนอันโด่งดัง

☀️น้ำตก Múlafossur Waterfall – น้ำตก signature ตั้งอยู่บนเกาะ Vagar

☀️Mykines Island – เดินเที่ยวชมรอบเกาะบ้านเกิดของนกพัฟฟิน

ค่าทริปและการจองทริป
  • ค่าทริป
    • ท่านละ 129,000 บาท (พักห้องคู่หรือ 3 คน)
    • พักเดี่ยวเพิ่มท่านละ 35,000 บาท
  • วันเดินทาง  
    • 13 – 21 มิย. 68
    • 25 กค. – 2 สค. 68 
    • 7 – 15 สค. 68
  • สนใจจองทริป
    • ทักเราที่ Line @painaima
    • โทร 089-4789334
สรุปทริป

✅️ รูปแบบการเดินทาง Roadtrip Style
✅️ โรงแรมที่พัก 3-4 ดาว พร้อมอาหารเช้า
✅️ กลุ่มเล็ก 6 ท่าน เที่ยวโดยรถตู้
✅️ นำทริปโดยคนไทย ถ่ายรูปสวยๆ ให้
✅️ ประกันการเดินทาง วงเงิน 2 ล้าน

ค่าทริป ไม่รวม

⛔ วีซ่า (มีบริการรับทำ)
⛔ ไม่รวมค่าตั๋วเครื่องบิน (เราจัดหาให้ได้)
⛔ ไม่รวมอาหารกลางวันและเย็น
⛔ อาหารเช้า หากโรงแรมเป็นลักษณะ Apartment

โปรแกรมทริป หมู่เกาะแฟโร

วันที่ 1 : กรุงเทพฯ – โคเปนเฮเกน

  • บินสู่โคเปนเฮเกน: เที่ยวบิน TG950 เวลา 01:20-07:40 น.
  • ออกเดินทางจากท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ สู่ประเทศเดนมาร์ก

วันที่ 2 : โคเปนเฮเกน – หมู่เกาะแฟโร

  • เดินทางสู่หมู่เกาะแฟโร: ถึงโคเปนเฮเกนเวลา 07:40 น. และเดินทางต่อไปยังหมู่เกาะแฟโร
  • เกาะแฟโร (Faroe Islands): หมู่เกาะที่มีประชากรราว 18 เกาะ ในเขตการปกครองตัวเองของเดนมาร์ก เป็นหมู่เกาะที่มีประชากรเพียงหกหมื่นคน หมู่เกาะแฟโรจึงมีฉายาว่าเป็น “เกาะแห่งหมะ”
  • เสาหิน Trollkonufingur: ลักษณะที่คล้ายนิ้วของแม่มด เป็นแลนด์มาร์กธรรมชาติที่โดดเด่น
  • หมู่บ้าน Tjørnuvík: หมู่บ้านเล็กๆ ที่ตั้งอยู่บนเกาะ Streymoy ทางตอนเหนือสุดของหมู่เกาะแฟโร
  • หมู่บ้าน Kirkjubour: หมู่บ้านที่อยู่ทางตอนใต้ของเกาะ Streymoy เป็นศูนย์กลางทางวัฒนธรรมและศาสนาในสมัยยุคกลาง
  • ที่พัก: Torshavn (เมืองหลวงของหมู่เกาะแฟโร)

วันที่ 3 : Torshavn

  • Faroe Museum: พิพิธภัณฑ์แห่งชาติที่ก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 1952 เป็นที่รวบรวมและจัดแสดงผลงานศิลปะและวิถีชีวิตของชาวแฟโร
  • จุดชมวิว Sornfelli: จุดชมวิวที่สามารถมองเห็นทัศนียภาพอันงดงามของหมู่เกาะแฟโร
  • ทะเลสาบ Trælanípan: ทะเลสาบที่อยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเล เมื่อมองจากมุมที่เหมาะสมจะเห็นเป็นภาพลวงตาเหมือนกับภูเขาเป็นแอ่งและน้ำอยู่ข้างบน
  • ที่พัก: Torshavn

วันที่ 4 : Vestmanna – ทัวร์เกาะต่างๆ

  • Vestmanna Torshavn: เมืองเล็กๆ บนชายฝั่งตะวันตกของเกาะ Streymoy เป็นจุดเริ่มต้นของทัวร์ล่องเรือชมหน้าผาและถ้ำ
  • หมู่บ้าน Saksun: บ้านและโบสถ์ที่มีหลังคาหญ้า ตั้งอยู่ในทะเลสาบธรรมชาติที่เปิดออกสู่มหาสมุทร
  • Eiði: หมู่บ้านเล็กๆ ที่ตั้งอยู่บนเกาะ Eysturoy มีวิวทิวทัศน์ที่สวยงาม
  • Gjógv: หมู่บ้านอันเก่าแก่ตั้งแต่ปี 1584 ชื่อของหมู่บ้านมาจากช่องแคบตามธรรมชาติที่ทอดยาวจากหมู่บ้านลงสู่ทะเล
  • ยอดเขา Slættaratindur: จุดที่สูงที่สุดในหมู่เกาะแฟโร (882 เมตร) ให้วิวพาโนรามาที่สวยงาม
  • ที่พัก: Torshavn

วันที่ 5 : เกาะ Mykines

  • นั่งเรือ Ferry ไปยัง Mykines Island: เกาะที่อยู่ทางตะวันตกสุดของหมู่เกาะแฟโร
  • เดินเที่ยวชมรอบเกาะ: เกาะ Mykines เป็นบ้านเกิดของนกพัฟฟิน (Puffin) นกทะเลที่มีจะงอยปากสีสันสดใส สามารถพบเห็นได้ในช่วงฤดูร้อน
  • ที่พัก: Torshavn

วันที่ 6 : ทัวร์เกาะทางตอนเหนือ

  • เกาะ Kalsoy: ได้ฉายาว่าเป็น “หลุมศพของเจมส์บอนด์” จากภาพยนตร์เรื่อง No Time to Die ซึ่งมีฉากสำคัญถ่ายทำที่นี่
  • ประภาคาร Kallur lighthouse: ประภาคารบนหน้าผาสูงอันโด่งดัง ให้วิวทิวทัศน์ที่สวยงามของทะเลและเกาะใกล้เคียง
  • Trollanes village: หมู่บ้านเล็กๆ ตั้งอยู่บนชายฝั่งตะวันตกของเกาะ
  • หมู่บ้าน Mikladatur: หมู่บ้านเล็กๆ ที่มีเสน่ห์
  • Klaksvík: เมืองใหญ่อันดับสองของหมู่เกาะแฟโร ศูนย์กลางการประมงและการค้าทางตอนเหนือ
  • หมู่บ้าน Viðareiði: หมู่บ้านที่อยู่ไกลสุดทางตอนเหนือ มีวิวทิวทัศน์ที่สวยงามของภูเขาและทะเล
  • ที่พัก: Torshavn

วันที่ 7 : ทัวร์ทางทะเล – เดินทางกลับโคเปนเฮเกน

  • ล่องเรือไปยังจุดชมวิว Drangarnir: เกาะหินที่มีช่องโค้งเป็นเอกลักษณ์ สร้างภาพที่น่าประทับใจ
  • หมู่บ้าน Gasadalur: หมู่บ้านอันมีภาพที่โด่งดังที่สุดภาพหนึ่ง อยู่ท่ามกลางภูเขาและทะเล
  • น้ำตก Múlafossur Waterfall: น้ำตกที่สวยงามไหลลงสู่มหาสมุทรโดยตรง ตั้งอยู่บนเกาะ Vagar ของหมู่เกาะแฟโร
  • เดินทางกลับโคเปนเฮเกน: เที่ยวบิน RC452 เวลา 16:20-19:25 น.
  • ที่พัก: โคเปนเฮเกน

วันที่ 8 : โคเปนเฮเกน – กรุงเทพฯ

  • อิสระช่วงเช้า: ท่องเที่ยวในเมืองโคเปนเฮเกนตามอัธยาศัย
  • เดินทางกลับกรุงเทพฯ: เที่ยวบิน TG951 เวลา 14:25-06:00 น. (+1)

วันที่ 9 : ถึงกรุงเทพฯ

  • เดินทางถึงกรุงเทพฯ: โดยสวัสดิภาพในช่วงเช้า
Categories
06-Jun 07-Jul 08-Aug 2024 Scandinavia

ทัวร์แฟโร กรีนแลนด์ ทะเลสาบมายา • นกพัฟฟิน • บ้านหลังคาหญ้า

ทัวร์แฟโร กรีนแลนด์
ทะเลสาบมายา • นกพัฟฟิน • บ้านหลังคาหญ้า
สรุปไฮไลท์

☀️หน้าผา Trælanípan (หน้าผาทาส) – “ทะเลลอยฟ้า” ทะเลแยกเป็นสองระดับคล้ายมีทะเลแขวนอยู่กลางอากาศ

☀️น้ำตก Múlafossur – น้ำตกซิกเนอเจอร์ไหลจากหน้าผาสูงชันลงสู่มหาสมุทรโดยตรง โดยมีฉากหลังเป็นหมู่บ้าน Gasadalur และภูเขาสูง สร้างภาพที่เหมือนหลุดออกมาจากนิทาน

☀️หมู่บ้านหลังคาหญ้าโบราณ – Saksun และ Gjógv ที่ยังคงรักษาสถาปัตยกรรมดั้งเดิมท่ามกลางธรรมชาติอันงดงาม

☀️เกาะ Mykines – “สวรรค์ของนกพัฟฟิน” ที่คุณจะได้เห็นนกพัฟฟินนับหมื่นตัวในระยะใกล้ๆ (ช่วงพฤษภาคม-สิงหาคม)

☀️ประภาคาร Kallur – จุดชมวิวบนหน้าผาสูงชันที่สวยที่สุดในโลกแห่งหนึ่ง ตั้งอยู่บนเกาะ Kalsoy ซึ่งเป็นฉากถ่ายทำในภาพยนตร์เจมส์ บอนด์เรื่อง “No Time to Die”

☀️โขดหิน Drangarnir – โขดหินรูปโค้งกลางทะเลที่เป็นสัญลักษณ์ของหมู่เกาะแฟโร

☀️Ice Cap Point 660 – โอกาสพิเศษในการเดินบนแผ่นน้ำแข็งกรีนแลนด์ที่ปกคลุมพื้นที่ 80% ของประเทศ

☀️ธารน้ำแข็ง Russell Glacier – กำแพงน้ำแข็งมหึมาสูงกว่า 60 เมตร ที่มีโอกาสได้เห็นการแตกตัวของก้อนน้ำแข็งขนาดใหญ่

☀️ล่องเรือชมภูเขาน้ำแข็งที่ Disko Bay – สัมผัสใกล้ชิดกับภูเขาน้ำแข็งยักษ์หลากรูปทรงที่ลอยอยู่ในอ่าว บางก้อนสูงเทียบเท่าตึก 15 ชั้น

☀️Ilulissat Icefjord – มรดกโลกยูเนสโก ธารน้ำแข็งที่เคลื่อนตัวเร็วที่สุดในโลก (40 เมตรต่อวัน) และผลิตน้ำแข็งมากที่สุด ทำให้เกิดภูเขาน้ำแข็งมหึมาลอยในอ่าว

☀️โอกาสชมแสงอาทิตย์เที่ยงคืน – ในช่วงฤดูร้อน พระอาทิตย์จะไม่ตกดิน ทำให้ท้องฟ้าเป็นสีทองตลอดคืน (พฤษภาคม-กรกฎาคม) หรือช่วงส่งท้ายฤดูกาลในเดือนสิงหาคม

☀️วัฒนธรรมอินูอิตดั้งเดิม – เรียนรู้วิถีชีวิตของชาวพื้นเมืองกรีนแลนด์ผ่านหัตถกรรมท้องถิ่น งานแกะสลักงาช้างทะเล กระดูกวาฬ และผลิตภัณฑ์จากหนังแมวน้ำ

ค่าทริปและการจองทริป
  • ค่าทริป
    • ท่านละ 189,000 บาท (พักห้องคู่หรือ 3 คน)
    • พักเดี่ยวเพิ่มท่านละ 35,000 บาท
  • วันเดินทาง  
    • 25 กค – 6 สค 68 
    • 8 – 20 สค 68
  • สนใจจองทริป
    • ทักเราที่ Line @painaima
    • โทร 089-4789334
สรุปทริป

✅️ รูปแบบการเดินทาง Roadtrip Style
✅️ โรงแรมที่พัก 3-4 ดาว พร้อมอาหารเช้า
✅️ กลุ่มเล็ก 6 ท่าน เที่ยวโดยรถตู้
✅️ นำทริปโดยคนไทย ถ่ายรูปสวยๆ ให้
✅️ ประกันการเดินทาง วงเงิน 2 ล้าน

ค่าทริป ไม่รวม

⛔ วีซ่า (มีบริการรับทำ)
⛔ ไม่รวมค่าตั๋วเครื่องบิน (เราจัดหาให้ได้)
⛔ ไม่รวมอาหารกลางวันและเย็น
⛔ อาหารเช้า หากโรงแรมเป็นลักษณะ Apartment

โปรแกรมทริป Greenland Faroe

 วันที่ 1 – เริ่มต้นการเดินทาง

  • บินสู่ดินแดนแห่งตำนานไวกิ้ง

วันที่ 2 – สัมผัสมนต์เสน่ห์ทอร์สฮาฟน์

  • ทอร์สฮาฟน์ – เมืองหลวงที่เล็กที่สุดในยุโรป แต่เต็มไปด้วยเสน่ห์ของบ้านหลังคาหญ้า ท่าเรือโบราณ และร้านอาหารระดับมิชลิน
  • Trælanípan (หน้าผาทาส) – สิ่งมหัศจรรย์ทางธรรมชาติที่สร้างภาพลวงตาของ “ทะเลลอยฟ้า” จุดชมวิวที่คุณจะเห็นทะเลแยกเป็นสองระดับ สร้างภาพที่น่าทึ่งราวกับมีทะเลแขวนอยู่กลางอากาศ
  • ย่านเมืองเก่า Tinganes – ที่ตั้งของรัฐบาลท้องถิ่นในอาคารไม้หลังคาหญ้าสีแดงโดดเด่น ซึ่งเป็นรัฐสภาที่เก่าแก่ที่สุดในโลกแห่งหนึ่ง

วันที่ 3 – สำรวจหมู่บ้านในฝัน

  • Vestmanna – ล่องเรือชมหน้าผาสูงชันและถ้ำมหัศจรรย์ที่เป็นบ้านของนกทะเลนับพันตัว
  • Saksun – หมู่บ้านในฝันที่ซ่อนตัวในหุบเขา มีบ้านหลังคาหญ้าดั้งเดิม และทะเลสาบน้ำเค็มที่รายล้อมด้วยภูเขาสูง
  • Eiði – หมู่บ้านประมงเล็กๆ ที่มีวิวของ “ยักษ์และแม่มด” หินโขดขนาดใหญ่กลางทะเล
  • Gjógv – หมู่บ้านที่สวยที่สุดในแฟโร ชื่อหมายถึง “ช่องแคบ” ซึ่งเป็นท่าเรือธรรมชาติที่ถูกสร้างขึ้นโดยคลื่นลมทะเล
  • Slættaratindur – มองเห็นยอดเขาสูงที่สุดของหมู่เกาะ (882 เมตร) ในวันที่อากาศดีสามารถมองเห็นถึงไอซ์แลนด์!

วันที่ 4 – ผจญภัยที่เกาะ Mykines

  • เกาะ Mykines – “สวรรค์ของนกพัฟฟิน” เกาะที่อยู่ทางตะวันตกสุดของแฟโร
  • สะพานข้ามเกาะ – เดินข้ามสะพานแขวนสุดหวาดเสียวไปยังเกาะเล็กๆ Mykineshólmur ที่มีประภาคารเก่าแก่
  • นกพัฟฟิน – ชมนกพัฟฟินนับหมื่นตัวที่อาศัยอยู่ตามหน้าผา เป็นโอกาสอันหาได้ยากในการถ่ายภาพนกที่น่ารักเหล่านี้ในระยะใกล้ๆ (ช่วงฤดูผสมพันธุ์ พฤษภาคม-สิงหาคม)

วันที่ 5 – เรื่องเล่าและตำนานบนเกาะ

  • เกาะ Kalsoy – อุโมงค์เล็กๆ ทอดยาวตลอดเกาะ และเป็นฉากถ่ายทำในภาพยนตร์เจมส์ บอนด์เรื่อง “No Time to Die”
  • ประภาคาร Kallur – เดินเท้าสู่จุดชมวิวที่สวยที่สุดในโลกแห่งหนึ่ง ประภาคารตั้งอยู่บนหน้าผาสูงชันที่ทอดตัวสู่มหาสมุทรแอตแลนติก
  • Mikladalur – ชมรูปปั้น “Kópakonan” หรือหญิงสาวแมวน้ำ ตำนานพื้นบ้านอันโด่งดังของชาวแฟโร
  • Viðareiði – หมู่บ้านที่อยู่เหนือสุดของเกาะแฟโร มีโบสถ์สีขาวอายุกว่า 130 ปี ตั้งโดดเด่นท่ามกลางวิวภูเขาและทะเล

วันที่ 6 – มหัศจรรย์ทางธรรมชาติและอำลาแฟโร

  • ล่องเรือชม Drangarnir – โขดหินรูปโค้งกลางทะเลที่เป็นสัญลักษณ์ของหมู่เกาะแฟโร ต้องล่องเรือหรือเดินเท้าหลายชั่วโมงเท่านั้นจึงจะเข้าถึงได้
  • หมู่บ้าน Gasadalur – หมู่บ้านที่สวยที่สุดและโดดเดี่ยวที่สุด ถูกล้อมรอบด้วยภูเขาสูง เพิ่งมีถนนเชื่อมต่อในปี 2004 ผ่านอุโมงค์ยาว 1.4 กม.
  • น้ำตก Múlafossur – น้ำตกอันโด่งดังที่ไหลจากหน้าผาลงสู่มหาสมุทรโดยตรง ฉากหลังเป็นหมู่บ้านและภูเขา สร้างภาพที่เหมือนในนิทาน
  • เดินทางสู่โคเปนเฮเกน – อำลาหมู่เกาะแฟโร มุ่งหน้าสู่เมืองหลวงของเดนมาร์กเพื่อเตรียมตัวสู่การผจญภัยครั้งใหม่ในกรีนแลนด์

วันที่ 7 – สู่ดินแดนน้ำแข็ง

  • เดินทางจากโคเปนเฮเกนสู่ Kangerlussuaq – ประตูสู่กรีนแลนด์
  • Kangerlussuaq – เมืองที่ตั้งอยู่ปลายฟยอร์ดยาว 170 กม. เคยเป็นฐานทัพอากาศของสหรัฐฯ ในช่วงสงครามเย็น

วันที่ 8 – สัมผัสแผ่นน้ำแข็งยักษ์

  • Ice Cap Point 660 – เดินทางด้วยรถ 4×4 สู่จุดที่สามารถเข้าถึงแผ่นน้ำแข็งกรีนแลนด์ได้ แผ่นน้ำแข็งที่ใหญ่เป็นอันดับสองของโลก ปกคลุมพื้นที่ 80% ของประเทศ
  • ธารน้ำแข็ง Russell Glacier – ตื่นตาตื่นใจกับกำแพงน้ำแข็งยักษ์สูงกว่า 60 เมตร มีโอกาสได้เห็นการถล่มของก้อนน้ำแข็งขนาดมหึมา
  • บินสู่ Ilulissat – เมืองแห่งภูเขาน้ำแข็ง
  • ยามค่ำคืนที่ Ilulissat – ชมแสงสีทองยามพระอาทิตย์ตกกระทบภูเขาน้ำแข็งในอ่าว สร้างภาพที่น่าประทับใจไม่รู้ลืม

วันที่ 9 – มหัศจรรย์น้ำแข็งที่ Disko Bay

  • เดินเส้นทาง Blue Trail – เส้นทางเดินชมวิวที่สวยที่สุดใน Disko Bay เห็นภูเขาน้ำแข็งลอยอยู่ในอ่าว
  • ล่องเรือชม Iceberg – สัมผัสประสบการณ์แบบใกล้ชิดกับภูเขาน้ำแข็งยักษ์ที่มีรูปทรงแปลกตา บางก้อนสูงกว่าตึก 15 ชั้น
  • ปรากฏการณ์แสงพระอาทิตย์เที่ยงคืน – ในช่วงฤดูร้อน พระอาทิตย์จะไม่ตกดินทำให้ท้องฟ้าเป็นสีทองตลอดคืน (พฤษภาคม-กรกฎาคม) หรือช่วงส่งท้ายฤดูกาลในสิงหาคม

วันที่ 10 – วัฒนธรรมอินูอิตและธารน้ำแข็งมรดกโลก

  • ธารน้ำแข็ง Ilulissat Icefjord – มรดกโลกยูเนสโก ธารน้ำแข็งที่เคลื่อนตัวเร็วที่สุดในโลก (40 ม./วัน) และผลิตน้ำแข็งมากที่สุด
  • โบสถ์ Zion – โบสถ์ไม้สีแดงอายุกว่า 240 ปี (สร้างปี 1779) เป็นอาคารที่เก่าแก่ที่สุดในกรีนแลนด์
  • พิพิธภัณฑ์บ้านเกิด Knud Rasmussen – บ้านของนักสำรวจขั้วโลกที่มีชื่อเสียงที่สุดของกรีนแลนด์
  • เยี่ยมชมตลาดปลาและหัตถกรรมท้องถิ่น – สัมผัสวิถีชีวิตของชาวอินูอิต ชมงานแกะสลักงาช้างทะเล กระดูกวาฬ และหนังแมวน้ำ

วันที่ 11 – อำลากรีนแลนด์

  • เวลาอิสระช่วงเช้า – โอกาสสุดท้ายในการซื้อของที่ระลึกหรือเดินชมเมือง
  • เดินทางกลับโคเปนเฮเกน

วันที่ 12 – อำลายุโรปเหนือ

  • อิสระ พักผ่อนหรือเดินเล่นชมเมืองตามอัธยาศัย
  • เดินทางกลับกรุงเทพฯ – ด้วยเที่ยวบิน TG951 (14:25-06:00+1)

วันที่ 13 (20 ส.ค.) – ถึงบ้านพร้อมความทรงจำ

  • เดินทางถึงกรุงเทพฯ โดยสวัสดิภาพ
Categories
06-Jun 07-Jul 2024 Europe

France : Provence

France : Provence
สรุปไฮไลท์

☀️เมืองนีซและชายหาดฝรั่งเศสริเวียร่า (Nice & French Riviera) – สัมผัสความมีชีวิตชีวาของเมืองริมทะเลเมดิเตอร์เรเนียนอันมีเสน่ห์ เดินเล่นบน Promenade des Anglais อันโด่งดังและดื่มด่ำกับบรรยากาศสดใสของท้องฟ้าและทะเลสีครามที่ทำให้ที่นี่เป็นสวรรค์ของศิลปินและนักท่องเที่ยว

☀️ย่านประวัติศาสตร์โมนาโกวิลล์ (Monaco-Ville) – เยือนประเทศเล็กที่สุดอันดับสองของโลก ชมพระราชวังเจ้าชายที่สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 13 และทัศนียภาพอันตระการตาของท่าเรือหรูและทะเลเมดิเตอร์เรเนียนจากจุดชมวิวบนเนินเขา

☀️ทุ่งลาเวนเดอร์วาลองโซล (Plateau de Valensole) – ดื่มด่ำกับภาพที่ราบสูงกว้างใหญ่ที่ปกคลุมด้วยทุ่งดอกลาเวนเดอร์สีม่วงสุดลูกหูลูกตา โดยเฉพาะในช่วงเดือนมิถุนายนถึงกรกฎาคมที่ดอกลาเวนเดอร์บานสะพรั่ง ให้ภาพและกลิ่นหอมที่เป็นสัญลักษณ์ของโพรวองซ์

☀️หมู่บ้านรูซียงและสีโอเคอร์ธรรมชาติ (Roussillon) – ตื่นตากับหมู่บ้านสีสันสดใสที่อาคารบ้านเรือนทาด้วยสีจากดินโอเคอร์ธรรมชาติหลากเฉดสี ตั้งแต่แดง ส้ม และเหลือง สร้างภาพที่แตกต่างจากหมู่บ้านทั่วไปในโพรวองซ์อย่างสิ้นเชิง

☀️หมู่บ้านกอร์ดบนเนินเขา (Gordes) – เยือนหนึ่งในหมู่บ้านที่สวยที่สุดในฝรั่งเศส ด้วยบ้านหินสีเทาที่เรียงรายลดหลั่นลงมาตามไหล่เขา พร้อมปราสาทศตวรรษที่ 16 และทัศนียภาพของหุบเขาลูเบอรงที่สวยงาม

☀️อารามเซนองก์และทุ่งลาเวนเดอร์ (Sénanque Abbey) – ชมอารามซิสเตอร์เชียนเก่าแก่จากศตวรรษที่ 12 ที่ยังมีนักบวชอาศัยอยู่ ล้อมรอบด้วยทุ่งลาเวนเดอร์ที่สร้างภาพอันเป็นสัญลักษณ์ของโพรวองซ์ที่นักท่องเที่ยวจากทั่วโลกปรารถนาจะได้เห็นสักครั้งในชีวิต

☀️พระราชวังพระสันตะปาปา (Palais des Papes) – ทึ่งกับพระราชวังโกธิคอันยิ่งใหญ่ในเมืองอาวีญงที่เคยเป็นที่ประทับของพระสันตะปาปาในศตวรรษที่ 14 มรดกโลกที่เป็นพยานประวัติศาสตร์ช่วงเวลาสำคัญของศาสนาคริสต์ในยุโรป

☀️สะพานส่งน้ำโรมันปงดูการ์ (Pont du Gard) – ชมสะพานส่งน้ำโรมันโบราณจากศตวรรษที่ 1 ที่ได้รับการอนุรักษ์ไว้อย่างดีเยี่ยม สูงถึง 49 เมตร เป็นตัวอย่างชั้นเลิศของวิศวกรรมโรมันและได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก

☀️อุทยานแห่งชาติคาลังก์ (Calanques National Park) – ผจญภัยในอ่าวแคบที่ล้อมรอบด้วยหน้าผาหินปูนสูงชันและน้ำทะเลสีเขียวมรกตใสสะอาด ดินแดนธรรมชาติอันน่าทึ่งระหว่างมาร์เซย์และคาสซิส ที่สามารถสำรวจได้ทั้งทางบกและทางทะเล

☀️มหาวิหารโนเทรอะดาม เดอ ลาการ์ด (Notre-Dame de la Garde) – เยือนสัญลักษณ์ของเมืองมาร์เซย์ที่ตั้งตระหง่านบนเนินเขาสูงสุดของเมือง โดดเด่นด้วยสถาปัตยกรรมผสมผสานและรูปปั้นพระแม่มารีทองคำ พร้อมชมวิวพาโนรามา 360 องศาของเมืองท่าโบราณและทะเลเมดิเตอร์เรเนียน

ค่าทริปและการจองทริป
  • ค่าทริป
    • ท่านละ 109,000 บาท (พักห้องคู่หรือ 3 คน)
  • วันเดินทาง  
    • สอบถามทีมงาน
  • สนใจจองทริป
    • ทักเราที่ Line @painaima
    • โทร 089-4789334
สรุปทริป

✅️ รูปแบบการเดินทาง Roadtrip Style
✅️ โรงแรมที่พัก 3-4 ดาว พร้อมอาหารเช้า
✅️ กลุ่มเล็ก 6 ท่าน เที่ยวโดยรถตู้
✅️ นำทริปโดยคนไทย ถ่ายรูปสวยๆ ให้
✅️ ประกันการเดินทาง วงเงิน 2 ล้าน

ค่าทริป ไม่รวม

⛔ วีซ่า (มีบริการรับทำ)
⛔ ไม่รวมค่าตั๋วเครื่องบิน (เราจัดหาให้ได้)
⛔ ไม่รวมอาหารกลางวันและเย็น
⛔ อาหารเช้า หากโรงแรมเป็นลักษณะ Apartment

Place
Place
Place
Place
Place

โปรแกรมทริป โพรวองซ์

วันที่ 1: กรุงเทพฯ – สู่ฝรั่งเศส

  • พบกันที่สนามบินสุวรรณภูมิ – เตรียมพร้อมสำหรับการเดินทางสู่ดินแดนแห่งมนต์เสน่ห์ของฝรั่งเศสและโมนาโก ออกเดินทางด้วยสายการบินชั้นนำสู่เมืองนีซ ประตูสู่ฝรั่งเศสตอนใต้และเฟรนช์ริเวียร่า ดินแดนที่เต็มไปด้วยสีสัน วัฒนธรรม และทัศนียภาพอันงดงาม

วันที่ 2: นีซ – โมนาโก

  • เมืองนีซ (Nice) – เมืองเลียบชายฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียนอันมีเสน่ห์ เดินเล่นบน Promenade des Anglais ถนนริมชายหาดที่มีชื่อเสียงระดับโลก ดื่มด่ำบรรยากาศสดใสของท้องฟ้าและทะเลสีคราม เยี่ยมชมย่านเมืองเก่า (Vieux Nice) ที่เต็มไปด้วยตรอกซอกซอยแคบๆ ร้านค้า และร้านอาหารท้องถิ่นที่มีสีสัน
  • โมนาโกวิลล์ (Monaco-Ville) – ย่านประวัติศาสตร์บนเนินเขาของประเทศเล็กที่สุดอันดับสองของโลก ชมพระราชวังเจ้าชายแห่งโมนาโก (Prince’s Palace) ที่สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 13 เป็นที่ประทับของราชวงศ์กริมาลดี มีการเปลี่ยนเวรยามทหารที่น่าประทับใจ พร้อมชมทัศนียภาพอันงดงามของท่าเรือ Port Hercule และทะเลเมดิเตอร์เรเนียนจากจุดชมวิวที่ดีที่สุดของเมือง

วันที่ 3: ทะเลสาบแซงต์-ครัวซ์ – มูสติเยร์-แซงต์-มารี

  • ทะเลสาบแซงต์-ครัวซ์ (Lac de Sainte-Croix) – ทะเลสาบสีฟ้าครามใสสะอาดที่สร้างขึ้นในปี 1973 ตั้งอยู่ในหุบเขาที่สวยงามของแม่น้ำแวร์ดง (Verdon) เป็นส่วนหนึ่งของอุทยานธรรมชาติแวร์ดง (Verdon Natural Regional Park) เหมาะแก่การพักผ่อน พายเรือคายัค หรือว่ายน้ำในฤดูร้อน ล้อมรอบด้วยทิวทัศน์ของภูเขาและป่าไม้ที่สวยงาม
  • มูสติเยร์-แซงต์-มารี (Moustiers-Sainte-Marie) – หมู่บ้านเล็กๆ ที่ตั้งอยู่ระหว่างหน้าผาสองแห่ง มีชื่อเสียงด้านศิลปะการผลิตเครื่องเคลือบดินเผา (Faience) ที่มีความละเอียดและสวยงาม เดินเล่นตามถนนหินที่ลัดเลาะขึ้นเขา ชมโบสถ์ Notre-Dame de Beauvoir และดาวทองคำที่แขวนอยู่เหนือหมู่บ้าน เยี่ยมชมร้านค้าและเวิร์คช็อปที่มีเสน่ห์ของช่างฝีมือท้องถิ่น

วันที่ 4: ทุ่งลาเวนเดอร์วาลองโซล

  • วาลองโซล (Valensole) – สัมผัสความงดงามของที่ราบสูงวาลองโซล (Plateau de Valensole) ที่เต็มไปด้วยทุ่งดอกลาเวนเดอร์อันสุดลูกหูลูกตา กว้างกว่า 800 ตารางกิโลเมตร โดยเฉพาะในช่วงเดือนมิถุนายนถึงกรกฎาคมที่ดอกลาเวนเดอร์บานสะพรั่ง เก็บภาพความประทับใจกับทุ่งสีม่วงที่ทอดยาวจนสุดสายตา บรรยากาศหอมกรุ่นด้วยกลิ่นลาเวนเดอร์ ชมหมู่บ้านเล็กๆ ของชาวบ้านที่ทำการเกษตรและผลิตน้ำมันหอมระเหยจากดอกลาเวนเดอร์ อันเป็นเอกลักษณ์ของแคว้นโพรวองซ์

วันที่ 5: รูซียง – กอร์ด – อารามเซนองก์

  • รูซียง (Roussillon) – หมู่บ้านสีสันสดใสที่ตั้งอยู่บนเนินเขาในหุบเขาลูเบอรง (Luberon Valley) โดดเด่นด้วยอาคารบ้านเรือนที่ทาด้วยสีจากดินโอเคอร์ธรรมชาติ (Ochre) สีแดง ส้ม และเหลือง ที่ขุดจากเหมืองในท้องถิ่น เดินเล่นตามเส้นทาง Sentier des Ocres เพื่อชมแนวหน้าผาสีสันสดใสและทัศนียภาพอันน่าทึ่ง
  • กอร์ด (Gordes) – เมืองสวยบนภูเขาในโพรวองซ์ ได้รับการขนานนามว่าเป็นหนึ่งในหมู่บ้านที่สวยที่สุดในฝรั่งเศส (Les Plus Beaux Villages de France) โดดเด่นด้วยบ้านหินสีเทาที่เรียงรายลดหลั่นลงมาตามไหล่เขา ชมปราสาทกอร์ด (Château de Gordes) ที่สร้างในศตวรรษที่ 16 พร้อมเก็บภาพทัศนียภาพที่สวยงามของหมู่บ้านและทุ่งนาโดยรอบ
  • อารามเซนองก์ (Sénanque Abbey) – อารามซิสเตอร์เชียนเก่าแก่ที่สร้างขึ้นในปี 1148 ยังคงความสงบและเรียบง่ายตามวิถีของนักบวช เป็นตัวอย่างที่งดงามของสถาปัตยกรรมโรมาเนสก์ ล้อมรอบด้วยทุ่งลาเวนเดอร์ที่นักบวชปลูกไว้ (บานสะพรั่งในเดือนกรกฎาคม) สร้างภาพที่เป็นสัญลักษณ์ของโพรวองซ์ที่นักท่องเที่ยวจากทั่วโลกต้องการมาเยือน

วันที่ 6: อาวีญง – ปงดูการ์ – เลโบโดโพรวองซ์ – แซงต์-เรมี-เดอ-โพรวองซ์

  • พระราชวังพระสันตะปาปา (Palais des Papes) – พระราชวังโกธิคอันยิ่งใหญ่ในเมืองอาวีญง (Avignon) ที่เคยเป็นที่ประทับของพระสันตะปาปาในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 14 เมื่อครั้งที่ศูนย์กลางของศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิกย้ายจากกรุงโรมมายังอาวีญง ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก ภายในมีห้องโถงขนาดใหญ่และภาพเขียนฝาผนังที่งดงาม
  • สะพานปงดูการ์ (Pont du Gard) – สะพานส่งน้ำโรมันโบราณที่สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 1 สูงถึง 49 เมตร ยาว 275 เมตร เป็นส่วนหนึ่งของระบบส่งน้ำที่ยาว 50 กิโลเมตรจากแหล่งน้ำไปยังเมืองนีมส์ (Nîmes) ได้รับการอนุรักษ์ไว้ดีที่สุดแห่งหนึ่งของโลกและเป็นมรดกโลกที่ทรงคุณค่า
  • เลโบโดโพรวองซ์ (Les Baux-de-Provence) – หมู่บ้านโบราณบนหน้าผาหินปูนในเทือกเขา Alpilles ที่มีซากปราสาทยุคกลาง ชมทัศนียภาพกว้างไกลของหุบเขาและสถาปัตยกรรมเก่าแก่ที่ได้รับการอนุรักษ์ไว้อย่างดี รวมถึง Carrières de Lumières ที่จัดแสดงศิลปะด้วยการฉายภาพบนผนังเหมืองหินปูนเก่า
  • แซงต์-เรมี-เดอ-โพรวองซ์ (Saint-Rémy-de-Provence) – เมืองเล็กๆ ที่มีเสน่ห์ เป็นสถานที่พักรักษาตัวของศิลปินชื่อดัง วินเซนต์ แวนโก๊ะ ที่โรงพยาบาล Saint-Paul-de-Mausole เดินเล่นในตรอกซอกซอยที่มีร้านค้าและร้านอาหารน่ารัก ชมโบราณสถานโรมัน Glanum และบรรยากาศอันเงียบสงบที่ได้แรงบันดาลใจให้แวนโก๊ะสร้างผลงานมากมาย

วันที่ 7: คาสซิส – คาลังก์เดอปอร์ตมิโอ – มาร์เซย์

  • คาสซิส (Cassis) – เมืองชายทะเลเล็กๆ ที่สวยงาม ตั้งอยู่บนอ่าวที่ล้อมรอบด้วยหน้าผาสูงชัน มีท่าเรือเล็กๆ ที่มีเสน่ห์ล้อมรอบด้วยร้านอาหารและคาเฟ่ที่มีสีสัน บรรยากาศผ่อนคลาย เป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในการสำรวจอุทยานแห่งชาติคาลังก์ (Calanques National Park)
  • คาลังก์เดอปอร์ตมิโอ (Calanque de Port Miou) – อ่าวแคบที่ล้อมรอบด้วยหน้าผาหินปูนสูงชันและน้ำทะเลสีเขียวมรกตใสสะอาด เป็นหนึ่งในคาลังก์ (Calanques) อันโด่งดังระหว่างมาร์เซย์และคาสซิส เหมาะสำหรับเดินป่า ปีนเขา หรือล่องเรือเพื่อชมทัศนียภาพอันน่าทึ่งของชายฝั่งที่ถูกกัดเซาะโดยทะเล
  • มาร์เซย์ (Marseille) – เมืองท่าเก่าแก่ที่สุดของฝรั่งเศสและเป็นเมืองใหญ่อันดับสองของประเทศ เป็นศูนย์กลางการค้าในทะเลเมดิเตอร์เรเนียนมาตั้งแต่สมัยกรีกโบราณ เยี่ยมชมท่าเรือเก่า (Vieux Port) ที่คึกคัก ชมย่านเล ปานิเยร์ (Le Panier) ย่านเมืองเก่าที่มีตรอกซอกซอยแคบๆ และบ้านเรือนสีสันสดใส
  • มหาวิหารโนเทรอะดาม เดอ ลาการ์ด (Notre-Dame de la Garde) – สัญลักษณ์สำคัญของเมืองมาร์เซย์ ตั้งตระหง่านบนเนินเขาที่สูงที่สุดของเมือง โดดเด่นด้วยสถาปัตยกรรมไบแซนไทน์และโรมาเนสก์ที่ผสมผสานกัน มีรูปปั้นพระแม่มารีทองคำประดับอยู่บนยอดหอระฆัง ชมทัศนียภาพพาโนรามาของเมืองมาร์เซย์และทะเลเมดิเตอร์เรเนียนได้ 360 องศา

วันที่ 8: ตลาดเช้าโพรวองซาล – เดินทางกลับ

  • ตลาดเช้าโพรวองซาล (Marché Provençale) – สัมผัสชีวิตชีวาและสีสันของตลาดท้องถิ่นในยามเช้า ที่เต็มไปด้วยผักผลไม้สดจากสวน ชีส น้ำผึ้ง น้ำมันมะกอก สมุนไพร และสินค้าพื้นเมืองต่างๆ ชิมอาหารท้องถิ่นและซื้อของที่ระลึกจากโพรวองซ์กลับบ้าน เรียนรู้วิถีชีวิตและวัฒนธรรมการกินอยู่ของชาวฝรั่งเศสใต้
  • เดินทางสู่สนามบินมาร์เซย์ (Marseille Provence Airport) – เตรียมตัวสำหรับการเดินทางกลับสู่กรุงเทพฯ พร้อมความทรงจำอันแสนประทับใจจากการเดินทางในดินแดนแห่งแสงแดด กลิ่นลาเวนเดอร์ และวิถีชีวิตที่เรียบง่ายแต่เต็มไปด้วยความสุขของชาวโพรวองซ์

วันที่ 9: เดินทางถึงกรุงเทพฯ โดยสวัสดิภาพ

  • เดินทางถึงสนามบินสุวรรณภูมิ กรุงเทพฯ พร้อมความทรงจำและประสบการณ์อันแสนพิเศษจากการเดินทางในดินแดนแห่งความงดงามของธรรมชาติ ประวัติศาสตร์ และวัฒนธรรมที่หลากหลายของฝรั่งเศสตอนใต้และโมนาโก
Categories
05-May 06-Jun 2024 Europe

ทัวร์อิตาลีเหนือ โดโลไมท์ ทัสคานี ชิงเควเตเร่

ทัวร์อิตาลีเหนือ
โดโลไมท์ ทัสคานี ชิงเคว่เตเร่ โคโม่
สรุปไฮไลท์

☀️เทือกเขาโดโลไมท์ – สัมผัสความงดงามของเทือกเขาหินปูนที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก ชมวิวแบบพาโนรามาที่ Alpe di Siusi และภูเขา Seceda ที่มีหน้าผาดราม่าติก

☀️ทะเลสาบ Braies – ทะเลสาบสีเขียวมรกตที่ใสราวกับกระจก ล้อมรอบด้วยภูเขาสูงตระหง่าน หนึ่งในทะเลสาบที่สวยที่สุดในอิตาลี

☀️Tre Cime di Lavaredo – ยอดเขาสามยอดอันเป็นสัญลักษณ์ของโดโลไมท์ ที่มีรูปทรงแหลมสูงตระหง่านและเป็นที่รู้จักในหมู่นักปีนเขาทั่วโลก

☀️San Gimignano – เมืองยุคกลางที่มีหอคอยสูงที่ยังคงหลงเหลืออยู่ ให้บรรยากาศย้อนยุคราวกับได้เดินทางกลับไปในศตวรรษที่ 13

☀️ไวน์ Brunello di Montalcino – ได้ลิ้มรสไวน์ชั้นเลิศของอิตาลีที่หมู่บ้าน Montalcino ซึ่งผลิตจากองุ่น Sangiovese ท่ามกลางภูมิทัศน์ทัสคานีอันงดงาม

☀️Piazza del Campo ที่เมือง Siena – จัตุรัสรูปหอยเชลล์ที่โด่งดัง สถานที่จัดการแข่งม้า Palio อันเลื่องชื่อ หนึ่งในจัตุรัสยุคกลางที่สวยที่สุดในยุโรป

☀️หอเอนปิซ่า – สิ่งมหัศจรรย์ทางสถาปัตยกรรมที่เอียง 4 องศา ในจัตุรัส Piazza dei Miracoli ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก

☀️Cinque Terre – ห้าหมู่บ้านริมชายฝั่งที่มีบ้านเรือนสีสันสดใส เกาะตัวอยู่บนหน้าผาสูงชันริมทะเล เชื่อมต่อกันด้วยเส้นทางเดินเท้าที่สวยงาม

☀️มหาวิหาร Duomo แห่งมิลาน – มหาวิหารโกธิคอันยิ่งใหญ่ที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของยุโรป ประดับด้วยยอดแหลมและรูปปั้นอันวิจิตรบรรจง

☀️หมู่บ้าน Val di Funes – ภาพไอคอนิกของโบสถ์ Santa Magdalena ที่ตั้งอยู่ท่ามกลางทุ่งหญ้าเขียวขจี โดยมีฉากหลังเป็นยอดเขา Odle/Geisler อันแหลมชัน

ค่าทริปและการจองทริป
  • ค่าทริป
    • ท่านละ 119,000 บาท (พักห้องคู่หรือ 3 คน)
    • พักเดี่ยวเพิ่ม 35,000 บาท
  • วันเดินทาง  
    • 30 พค. – 9 มิย. 68
    • 7 – 17 สค. 68
  • สนใจจองทริป
    • ทักเราที่ Line @painaima
    • โทร 089-4789334
สรุปทริป

✅️ รูปแบบการเดินทาง Roadtrip Style
✅️ โรงแรมที่พัก 3-4 ดาว พร้อมอาหารเช้า
✅️ กลุ่มเล็ก 6 ท่าน เที่ยวโดยรถตู้
✅️ นำทริปโดยคนไทย ถ่ายรูปสวยๆ ให้
✅️ ประกันการเดินทาง วงเงิน 2 ล้าน

ค่าทริป ไม่รวม

⛔ วีซ่า (มีบริการรับทำ)
⛔ ไม่รวมค่าตั๋วเครื่องบิน (เราจัดหาให้ได้)
⛔ ไม่รวมอาหารกลางวันและเย็น
⛔ อาหารเช้า หากโรงแรมเป็นลักษณะ Apartment

โปรแกรมทริปอิตาลี โดโลไมท์ ทัสคานี

วันที่ 1

  • พบกันที่สนามบินสุวรรณภูมิ
  • เดินทางสู่มิลานโดยสายการบินไทย (Thai Airways) เที่ยวบินตรงสู่อิตาลี

วันที่ 2

  • เดินทางถึงมิลาน (Milan) เมืองแฟชั่นและเศรษฐกิจสำคัญของอิตาลี
  • เยี่ยมชมเมือง Sirmione เมืองโบราณริมทะเลสาบการ์ดา (Lake Garda) ที่มีปราสาท Scaliger อายุกว่า 700 ปี และมีน้ำพุร้อนธรรมชาติที่มีชื่อเสียง
  • เดินทางต่อไปยังเมือง Bolzano เมืองหลวงของแคว้นซูดทิโรล (South Tyrol) ที่ผสมผสานวัฒนธรรมอิตาเลียนและออสเตรียนได้อย่างลงตัว
  • เดินทางถึงเมือง Ortisei หมู่บ้านในหุบเขา Val Gardena ที่มีสถาปัตยกรรมแบบชาวทิโรลีส พักค้างคืนที่นี่เพื่อเตรียมสำรวจเทือกเขาโดโลไมท์

วันที่ 3

  • ช่วงเช้า: ขึ้นกระเช้าสู่ Alpe di Siusi (Seiser Alm) ทุ่งหญ้าบนภูเขาที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป ที่ระดับความสูง 1,800 เมตร ชมวิวทิวทัศน์แบบพาโนรามาของเทือกเขาโดโลไมท์ที่โอบล้อมด้วยยอดเขา Sassolungo และ Sella
  • ช่วงบ่าย: ขึ้นกระเช้าสู่ภูเขา Seceda ที่ความสูง 2,500 เมตร จุดชมวิวที่มีหน้าผาดราม่าติก สามารถมองเห็นยอดเขา Geisler/Odle Peaks ที่มีรูปทรงแหลมคมสวยงาม เป็นจุดถ่ายภาพที่มีชื่อเสียงที่สุดแห่งหนึ่งในโดโลไมท์

วันที่ 4

  • เยี่ยมชมหมู่บ้าน Val di Funes (Villnöss) หุบเขาที่มีโบสถ์ Santa Magdalena ตั้งอยู่ท่ามกลางทุ่งหญ้าเขียวขจีและฉากหลังเป็นยอดเขา Odle/Geisler ภาพที่เป็นสัญลักษณ์ของโดโลไมท์
  • ชมทะเลสาบ Braies (Pragser Wildsee) ทะเลสาบกระจกสีมรกตที่ตั้งอยู่ระหว่างภูเขาหินและป่าสน สถานที่ถ่ายทำซีรีส์ดัง “Un Passo dal Cielo”
  • ผ่านชม Tre Cime di Lavaredo (Three Peaks) ยอดเขาสามยอดที่สูงชันและเป็นสัญลักษณ์ของเทือกเขาโดโลไมท์ มีความสูงกว่า 2,999 เมตร
  • ชมทะเลสาบ Misurina ทะเลสาบสีฟ้าใสที่ตั้งอยู่ที่ความสูง 1,756 เมตร มีฉากหลังเป็นเทือกเขาที่สวยงาม
  • เดินทางสู่เมือง Cortina d’Ampezzo เมืองสกีรีสอร์ทหรูที่เคยเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกฤดูหนาวปี 1956 พักค้างคืนที่นี่

วันที่ 5

  • ชมจุดชมวิว Giau Pass เส้นทางผ่านภูเขาที่ความสูง 2,236 เมตร มีวิวภูเขาโดยรอบ 360 องศา และ Pordoi Pass ที่ความสูง 2,239 เมตร ที่มีวิวภูเขาอันตระการตา
  • ชม Lake of Carezza (Karersee) ทะเลสาบเล็กๆ ที่มีน้ำใสราวกับมรกตและมีสีสันสะท้อนแสงรุ้ง มีตำนานเล่าว่าเป็นที่อยู่ของนางเงือก
  • เดินทางต่อไปยังเมือง Verona เมืองแห่งความรักของโรมิโอและจูเลียต พักค้างคืนที่นี่

วันที่ 6

  • เดินทางสู่แคว้นทัสคานี (Tuscany) ดินแดนแห่งไร่องุ่นและภูมิทัศน์เนินเขาอันงดงาม
  • เยี่ยมชมเมือง San Gimignano เมืองยุคกลางที่มีหอคอยสูง 14 หอ (จากเดิม 72 หอ) ที่ตระหง่านอยู่บนเนินเขา ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดยยูเนสโก
  • ต่อด้วยหมู่บ้าน Montalcino หมู่บ้านบนเนินเขาที่โอบล้อมด้วยไร่องุ่น มีชื่อเสียงโด่งดังจากไวน์ Brunello di Montalcino ที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในไวน์ชั้นเลิศของอิตาลี
  • ชมโบสถ์ Sant’Antimo อารามเบเนดิกตินโบราณที่สร้างด้วยหินปูนสีครีมและหินอ่อน อายุกว่า 1,000 ปี ตั้งอยู่ท่ามกลางทุ่งหญ้าและต้นไซเปรส

วันที่ 7

  • สำรวจเมืองในแคว้นทัสคานี:
  • เมือง Pienza “เมืองในอุดมคติ” แห่งยุคเรอเนสซองส์ที่สร้างโดยพระสันตะปาปาพิอุสที่ 2 ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก มีจัตุรัส Piazza Pio II และมหาวิหาร Duomo ที่สวยงาม
  • San Quirico d’Orcia เมืองเล็กๆ ที่มีกำแพงเมืองจากยุคกลาง โบสถ์ Collegiata ที่มีประตูโรมาเนสก์อันงดงาม และสวน Horti Leonini สวนสไตล์อิตาเลียนจากศตวรรษที่ 16
  • แวะชมเมือง Bagno Vignoni ที่มีจุดเด่นคือจัตุรัสกลางเมืองที่เป็นบ่อน้ำพุร้อนขนาดใหญ่แทนที่จะเป็นจัตุรัสทั่วไป เป็นแหล่งน้ำพุร้อนที่ใช้มาตั้งแต่สมัยโรมัน

วันที่ 8

  • เยี่ยมชมเมือง Siena เมืองยุคกลางที่มีจัตุรัส Piazza del Campo รูปทรงเหมือนหอยเชลล์ สถานที่จัดการแข่งม้า Palio อันเลื่องชื่อ และมหาวิหาร Duomo ที่ประดับด้วยหินอ่อนขาวดำอันเป็นเอกลักษณ์
  • เดินทางไปเมือง Pisa ชมหอเอนปิซ่า (Leaning Tower) สิ่งมหัศจรรย์ทางสถาปัตยกรรมที่เอียง 4 องศา มหาวิหาร Duomo และหอศีลจุ่ม Baptistery ในจัตุรัส Piazza dei Miracoli
  • เดินทางไปยัง La Spezia เมืองท่าใกล้ Cinque Terre เพื่อพักค้างคืน

วันที่ 9

  • ชมหมู่บ้าน Cinque Terre ทั้ง 5 หมู่บ้านริมชายฝั่งที่มีสีสันสดใส ได้แก่:
  • Riomaggiore หมู่บ้านที่มีบ้านเรือนสีสันสดใสเรียงรายตามหน้าผา
  • Manarola หมู่บ้านที่มีท่าเรือเล็กๆ และไร่องุ่นบนเนินเขา
  • Corniglia หมู่บ้านเดียวที่ไม่ติดทะเล ตั้งอยู่บนหน้าผาสูง
  • Vernazza หมู่บ้านที่สวยที่สุดใน Cinque Terre มีปราสาท Doria และโบสถ์ Santa Margherita d’Antiochia
  • Monterosso al Mare หมู่บ้านที่ใหญ่ที่สุดและมีชายหาดที่สวยงาม
  • เดินทางกลับมิลาน

วันที่ 10

  • เที่ยวชมเมืองมิลาน (Milan) เมืองแฟชั่นและศูนย์กลางเศรษฐกิจของอิตาลี:
  • ชมโบสถ์ Duomo มหาวิหารโกธิคที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของยุโรป ประดับด้วยยอดแหลมกว่า 135 ยอด และรูปปั้นกว่า 3,400 ชิ้น
  • ชม Galleria Vittorio Emanuele II ห้างสรรพสินค้าทรงโดมที่เก่าแก่ที่สุดในอิตาลี
  • เดินทางไปสนามบินมัลเพนซา (Malpensa) เพื่อเดินทางกลับกรุงเทพฯ

วันที่ 11

  • ถึงกรุงเทพฯ โดยสวัสดิภาพ พร้อมความทรงจำดีๆ
Categories
06-Jun 10-Oct 12-Dec 2024 Europe

ทัวร์อิตาลีเหนือ โดโลไมท์ ชิงเควเตเร่ โคโม่

ทัวร์อิตาลีเหนือ
โดโลไมท์ ชิงเคว่เตเร่ โคโม่
สรุปไฮไลท์

☀️อัลเป ดิ ซิอูซี (Alpe di Siusi) – ที่ราบสูงที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป ด้วยทุ่งหญ้ากว้างใหญ่ล้อมรอบด้วยเทือกเขาโดโลไมท์อันยิ่งใหญ่ เป็นภาพที่ราวกับหลุดออกมาจากนิทาน

☀️เซเชดา (Seceda) – หน้าผาฟันเลื่อยสุดอลังการที่โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ จุดถ่ายภาพที่จะทำให้ทุกคนต้องตะลึง เมื่อได้เห็นแนวเขาที่เรียงตัวคล้ายฟันปลาฉลามโผล่พ้นทะเลหมอก

☀️วัล ดิ ฟูเนส (Val di Funes) – ซิกเนเจอร์ของโดโลไมท์ ด้วยโบสถ์ซานตาแมดาเลนาที่ตั้งโดดเด่นท่ามกลางทุ่งหญ้าเขียวขจี มีฉากหลังเป็นเทือกเขาแหลมสูง ภาพที่เป็นสัญลักษณ์ของโดโลไมท์

☀️ทะเลสาบไบรเอส (Lake Braies) – ไข่มุกแห่งโดโลไมท์ ทะเลสาบสีเทอร์ควอยซ์ที่ใสราวกับกระจก สะท้อนภาพเทือกเขาและบ้านไม้สีแดงอย่างสมบูรณ์แบบ เป็นจุดถ่ายภาพที่สวยงามที่สุดแห่งหนึ่งของอิตาลี

☀️ซิงเคว เทเร่ (Cinque Terre) – ห้าหมู่บ้านริมทะเลสีสันสดใสที่เกาะติดหน้าผาชายฝั่ง โดยเฉพาะหมู่บ้าน Manarola ที่มีบ้านสีสันสดใสเรียงรายบนหน้าผาสูงชัน เป็นภาพจำของชายฝั่งอิตาเลียนริเวียร่า

☀️จิเอา พาส (Giau Pass) – จุดชมวิวบนเส้นทางผ่านเทือกเขาที่สวยที่สุดในโดโลไมท์ ด้วยทัศนียภาพ 360 องศาของยอดเขาที่โดดเด่นและทุ่งหญ้าอัลไพน์

☀️ทะเลสาบโคโม (Lake Como) – ทะเลสาบรูปตัว Y ที่งดงามที่สุดในอิตาลี ล้อมรอบด้วยภูเขาและวิลล่าหรู ที่พักตากอากาศของเหล่าคนดังและชนชั้นสูง ด้วยบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความโรแมนติก

☀️มหาวิหารดูโอโม (Duomo) มิลาน – มหาวิหารโกธิคที่ยิ่งใหญ่และงดงามที่สุดของอิตาลี ด้วยยอดแหลมกว่า 135 ยอด และรูปปั้นกว่า 3,400 ชิ้น ความละเอียดอ่อนของสถาปัตยกรรมที่ใช้เวลาสร้างหลายร้อยปี

☀️เทร ชิเม ดิ ลาวาเรโด (Tre Cime di Lavaredo) – สัญลักษณ์อันเป็นที่จดจำของโดโลไมท์ กับยอดเขาสามยอดที่โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ ภาพที่นักถ่ายภาพทั่วโลกใฝ่ฝันจะได้มาบันทึกภาพ

☀️บ้านจูเลียต (Casa di Giulietta) – สัมผัสตำนานรักอมตะที่บ้านของจูเลียตในเวโรนา พร้อมระเบียงอันโด่งดังจากวรรณกรรมเรื่อง “Romeo and Juliet” ของเชคสเปียร์ ที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก

ค่าทริปและการจองทริป
  • ค่าทริป
    • ท่านละ 109,000 บาท (พักห้องคู่หรือ 3 คน)
    • พักเดี่ยวเพิ่มท่านละ 30,000 บาท
  • วันเดินทาง  
    • 17 – 26 ต.ค. 68
  • สนใจจองทริป
    • ทักเราที่ Line @painaima
    • โทร 089-4789334
สรุปทริป

✅️ รูปแบบการเดินทาง Roadtrip Style
✅️ โรงแรมที่พัก 3-4 ดาว พร้อมอาหารเช้า
✅️ กลุ่มเล็ก 6 ท่าน เที่ยวโดยรถตู้
✅️ นำทริปโดยคนไทย ถ่ายรูปสวยๆ ให้
✅️ ประกันการเดินทาง วงเงิน 2 ล้าน

ค่าทริป ไม่รวม

⛔ วีซ่า (มีบริการรับทำ)
⛔ ไม่รวมค่าตั๋วเครื่องบิน (เราจัดหาให้ได้)
⛔ ไม่รวมอาหารกลางวันและเย็น
⛔ อาหารเช้า หากโรงแรมเป็นลักษณะ Apartment

Place
Place
Place

โปรแกรมทริป Italy Dolomite Cinque

วันที่ 1: การเริ่มต้นการผจญภัย

  • บินตรงสู่ดินแดนแห่งศิลปะและวัฒนธรรมด้วยสายการบิน Thai Airways International จากสนามบินสุวรรณภูมิ

วันที่ 2: สัมผัสวัฒนธรรมผสมผสานที่เป็นเอกลักษณ์

  • มิลาน สู่ โบลซาโน (Bolzano) – เมืองที่ผสานความงดงามของวัฒนธรรมอิตาเลียนและออสเตรียนได้อย่างลงตัว ชมสถาปัตยกรรมที่มีเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร
  • จัตุรัสวอลเธอร์ (Walther Square) – จัตุรัสหลักของเมืองโบลซาโน ที่มีบรรยากาศผสมผสานระหว่างอิตาลีและออสเตรียอย่างลงตัว
  • ตลาดท้องถิ่น Mercatino di Natale – หากไปช่วงหน้าหนาว เป็นตลาดคริสต์มาสที่สวยที่สุดในอิตาลีเหนือ
  • ออร์ติเซอิ (Ortisei) – ประตูสู่ดินแดนมหัศจรรย์แห่งโดโลไมท์ เมืองเล็กๆ ที่เต็มไปด้วยเสน่ห์แบบอัลไพน์ และเป็นศูนย์กลางกิจกรรมกลางแจ้งที่ทุกคนต้องหลงรัก

วันที่ 3: ความยิ่งใหญ่เหนือขุนเขา

  • อัลเป ดิ ซิอูซี (Alpe di Siusi) – ทุ่งหญ้าบนที่ราบสูงที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป ล้อมรอบด้วยเทือกเขาโดโลไมท์อันน่าทึ่ง เหมือนได้เดินอยู่บนสวรรค์
  • Bullaccia/Puflatsch – จุดชมวิวที่สวยงามอีกแห่งในอัลเป ดิ ซิอูซี ที่สามารถเดินเท้าได้
  • หมู่บ้าน Compatsch – หมู่บ้านเล็กๆ น่ารักในอัลเป ดิ ซิอูซี
  • เซเชดา (Seceda) – นั่งกระเช้าขึ้นสู่หน้าผาสูงชันที่เป็นไฮไลท์ของการถ่ายภาพ กับภาพเทือกเขาที่เรียงตัวเหมือนฟันเลื่อยยักษ์ โผล่พ้นจากทะเลหมอก

วันที่ 4: สัมผัสซิกเนเจอร์แห่งโดโลไมท์

  • วัล ดิ ฟูเนส (Val di Funes) – หมู่บ้านในหุบเขาที่งดงามเหนือคำบรรยาย กับโบสถ์ซานตาแมดาเลนาที่ตั้งโดดเด่นมีฉากหลังเป็นเทือกเขาอันยิ่งใหญ่
  • โบสถ์ St. Johann (San Giovanni) – โบสถ์สวยอีกแห่งในหุบเขา Val di Funes
  • ทะเลสาบไบรเอส (Lake Braies) – ไข่มุกแห่งโดโลไมท์ ทะเลสาบสีเทอร์ควอยซ์ที่ใสราวกับกระจก สะท้อนภาพเทือกเขาอย่างสมบูรณ์แบบ
  • Toblach/Dobbiaco – หมู่บ้านเล็กๆ น่ารักระหว่างทางไป Lake Braies
  • เทร ชิเม ดิ ลาวาเรโด (Tre Cime di Lavaredo) – สัญลักษณ์อันเป็นที่จดจำของโดโลไมท์ กับยอดเขาสามยอดที่โดดเด่น (จุดชมวิว ไม่ได้ Trek)
  • ทะเลสาบมิซูรินา (Lake Misurina) – ทะเลสาบกระจกที่สะท้อนภาพขุนเขา พร้อมอาคารสีเหลืองสดใสเป็นจุดเด่น
  • คอร์ติน่า ดิ อัมเปซโซ (Cortina d’Ampezzo) – เมืองรีสอร์ทสกีสุดหรู “ไข่มุกแห่งโดโลไมท์” ที่เคยเป็นเจ้าภาพโอลิมปิกฤดูหนาว

วันที่ 5: ขุนเขาสู่เมืองแห่งความรัก

  • จิเอา พาส (Giau Pass) – จุดชมวิวบนเส้นทางผ่านเทือกเขาที่สวยที่สุดในโดโลไมท์
  • พอร์ดอย พาส (Pordoi Pass) – อีกหนึ่งเส้นทางผ่านเทือกเขาที่จะทำให้คุณตื่นตาตื่นใจ
  • Arabba – หมู่บ้านเล็กๆ น่ารักระหว่างเส้นทาง Pordoi Pass
  • ทะเลสาบคาเรซซ่า (Lake of Carezza) – ทะเลสาบเล็กๆ ที่มีสีสันงดงามราวกับรุ้ง
  • เวโรนา (Verona) – เมืองแห่งความรักอันเป็นตำนาน บ้านเกิดของเรื่องราวโรมิโอและจูเลียต

วันที่ 6: จากเมืองรักสู่ริมฝั่งทะเล

  • บ้านจูเลียต (Casa di Giulietta) – สัมผัสตำนานรักอมตะที่บ้านของจูเลียต พร้อมระเบียงอันโด่งดัง
  • Arena di Verona – โรงละครโรมันโบราณที่ยังใช้จัดแสดงโอเปร่าในปัจจุบัน
  • จัตุรัส Piazza delle Erbe – จัตุรัสเก่าแก่ใจกลางเมือง มีตลาดท้องถิ่นและร้านกาแฟ
  • ลา สเปเซีย (La Spezia) – เมืองริมทะเลเมดิเตอร์เรเนียนที่มีเสน่ห์ ประตูสู่ซิงเคว เทเร่

วันที่ 7: ความงดงามของชายฝั่งและทะเลสาบ

  • ซิงเคว เทเร่ (Cinque Terre) – ห้าหมู่บ้านสีสันสดใสที่เกาะติดหน้าผาริมทะเล เชื่อมต่อกันด้วยเส้นทางเดินที่มีวิวทะเลแสนงดงาม สัมผัสบรรยากาศอิตาเลียนริเวียร่าแบบดั้งเดิม
  • หมู่บ้าน Monterosso al Mare – หมู่บ้านที่ใหญ่ที่สุดใน Cinque Terre มีชายหาดที่สวยงาม
  • หมู่บ้าน Manarola – จุดถ่ายรูปชื่อดังของ Cinque Terre ที่มีบ้านสีสันสดใสเรียงรายบนหน้าผา
  • ทะเลสาบโคโม (Lake Como) – ทะเลสาบรูปตัว Y กลับหัว ล้อมรอบด้วยภูเขาและวิลล่าหรู ที่พักตากอากาศของเหล่าคนดังและชนชั้นสูง

วันที่ 8: สัมผัสมนต์เสน่ห์ทะเลสาบสู่เมืองแฟชั่น

  • มิลาน (Milan) – เยี่ยมชม มหาวิหารดูโอโม (Duomo) มหาวิหารโกธิคที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของอิตาลี ด้วยสถาปัตยกรรมอันวิจิตรตระการตา จากยอดแหลมกว่า 135 ยอด และรูปปั้นกว่า 3,400 ชิ้น
  • แกลเลอเรีย วิตโตรีโอ เอมานูเอเล (Galleria Vittorio Emanuele II) – ห้างสรรพสินค้าที่เก่าแก่และหรูหราที่สุดในอิตาลี

วันที่ 9: อำลาอิตาลี

  • มิลาน – เพลิดเพลินกับช่วงเช้าอิสระในเมืองมิลาน
  • เดินทางสู่สนามบินเพื่อเดินทางกลับกรุงเทพฯ

วันที่ 10: กลับถึงบ้าน

  • เดินทางถึงกรุงเทพฯ โดยสวัสดิภาพ พร้อมความทรงจำที่น่าประทับใจจากการเยือนอิตาลีเหนือ
error: บทความทั้งหมดเป็นลิขสิทธิ์ของไปไหนมาดอทคอม