Tongariro crossing

นิวซีแลนด์เป็นหนึ่งในหมู่ประเทศที่มีความเสียงต่อปรากฏการณ์ธรรมชาติจำพวกแผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิด เพราะนิวซีแลนด์ตั้งอยู่บนรอยต่อของเปลือกโลก 2 แผ่น เรียกว่าถ้าเปลือกโลกทั้งสองเกิดทะเลาะกันแล้วต่างคนต่างไปนิวซีแลนด์ก็คงจมบุ๋งลงก้นทะเล(อันนี้อย่าเอาไปอ้างอิงนะครับ มันเป็นไปได้หลายกรณี) แต่ถ้าเกิดทะเลาะกันแล้วก็ยังเดินหน้าชนช้างเข้าหากันอีก นิวซีแลนด์ก็จะยกตัวสูงขึ้น อาจจะก่อเกิดเป็นภูเขาลูกใหม่ หรือ ทำให้ลูกเก่าๆสูงขึ้นไปอีก(หรือไม่ก็อาจเกิดเป็น Tsunamiก็ได้) จากอดีต นับร้อยล้านปีจนถึงปัจจุบันและไปสู่อนาคต นิวซีแลนด์ไม่เคยหยุดนิ่ง และอีก 50 ล้านปีข้างหน้า หน้าตาของประเทศก็จะเปลี่ยนไปอีกพอสมควร ไม่เชื่อรออยู่ดูก็ได้ และด้วยเหตุแห่งธรรมชาตินี้เองทำให้นิวซีแลนด์มีสภาพภูมิประเทศที่แปลกๆ เช่นภูเขาไฟที่ยังอุ่นๆอยู่หรือบ่อน้ำร้อน จริงๆควรจะเรียกว่า..อะไรดีหละ มันไม่ใช่แค่บ่อน้ำเอาไว้ต้มไข่แบบบ้านเรา ขอทับศัพท์ละกัน ฝรั่งเขาเรียกว่า Thermal area หนะครับ ที่โด่งดังก็เห็นจะได้แก่ Rotorua (กลิ่นประมาณบ่อน้ำร้อนที่ปายทั้งเมือง ไปเที่ยวแล้วอยากกินไข่ต้ม) แต่ขอไว้เล่าตอนหน้าละกัน วันนี้เราไปเที่ยวภูเขาไฟกันก่อนดีกว่าครับ
 
ถ้าหากเริ่มจากเวลลิงตัน เมืองหลวงบนเกาะเหนือของนิวซีแลนด์ (บางคนเข้าใจว่าอ็อคแลนด์เป็นเมืองหลวง แต่แท้จริงอ็อคแลนด์เป็นพียงแค่เมืองที่มีคนอยู่มากที่สุดแค่นั้น ส่วนไครเชิร์จที่อยู่เกาะใต้ก็เป็นเพียงเมืองที่ใหญ่ที่สุดของเกาะใต้แค่นั้น) ขับรถปุเลงๆไปเรื่อยประมาณสาม-สี่ชั่วโมงเศษ บนไฮเวย์หมายเลย 4 มองไปทางขวามือก็จะเห็นอะไรขาวๆแทงขึ้นไปบนฟ้า ยิ่งวันไหนฟ้าใสๆยิ่งดูโดดเด่น ไอ้ขาวๆที่ว่าก็คือหมู่ภูเขาไฟที่โด่งดังที่สุดในนิวซีแลนด์ เรียกรวมๆกันว่า Tongariro National Park ซึ่งได้ถูกประกาศให้เป็นมรดกโลกทางด้านธรรมชาติไปแล้ว
 
ดูๆไปก็แปลกดีเพราะผมก็ไม่เคยนึกออกว่าไอ้ภูเขาไฟนี่หน้าตามันเป็นอย่างไร ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าประเทศอื่นภูเขาไฟมันจะอยู่กันแบบไหน แต่ที่ๆนี่มันแยกกันอยู่แฮะ หมายถึง มันไม่ได้มีเทือกเขาสลับซับซ้อนเป็นทะเลภูเขา แต่ให้ลองจินตนาการถึงภูเขาที่เด็กชอบวาดคือเป็นลูกโดดๆ ยังไงยังงั้นเลย
 
ในพื้นที่ Tongariro NP มีเขาอยู่หลายลูก แต่ที่ดังๆ ก็มี Mt Ruapehu สูง 2797 m หน้าหนาวหิมะตกกลายเป็นลานสกีไปไนตัว (แอบดูค่าเล่นแล้วยิ่งหนาวก็หิมะอีก คือราว 200 เหรียญนิวซีแลนด์ก็ตก ครั้งละ 5000บาท ) Mt Ngauruhoe สูง 2291 m ลูกนี่เป็นผมชอบมาก พุ่งเสียดฟ้าเหมือนสิวบนหน้าผมดี อีกลูกชื่อเหมือนอุทยาน Mt Tongariro สูง 1968 m
แล้วเราจะมาทำปะป๋าอะไรกันที่นี่
 
ถ้ามาหน้าหนาว กิจกรรมสุดโด่งดังสุดหนาวกายและกระเป๋าตังก็มาเล่นสกี แต่ผมมาหน้าร้อนหิมะเริ่มละลาย กิจกรรมที่โด่งดังอีกอย่างของที่นี่ก็คือการเดินชม ภูเขาไฟนั้นเอง หรือเขาเรียกไอ้เจ้าการเดินนี่ว่า Tongariro Crossing ถ้าไปเปิดดูใน Lonely planet เจ้าประจำ เขาจะเขียนไว้ว่า “The finest one-day walk in NZ” ถามผมว่าจริงไหม ก็จริงหละครับ 
 
แต่หลังจากการเที่ยวนานๆก็เลยมีข้อสังเกตอย่างนึงว่า ชาว Kiwi (เรียกแทนชาวนิวซีแลนด์) นั้นบ้าตำแหน่งความใหญ่ความโตอยู่ไม่น้อย ตัวอย่างเช่น หนึ่งในทางรถไฟสายที่สวยที่สุดในโลก แต่ก็มีตั้งหลายเส้นทางที่ใช้คำโฆษณานี้ หรือ ทะเลสาบที่ลึกที่สุดในนิวซีแลนด์ ทะเลสาบที่ลึกที่สุดในเกาะใต้ ทะเลสาบที่ลึกเป็นที่สามของนิวซีแลนด์  ทะเลสาบที่ใหญ่ที่สุดในซีกโลกใต้ เมืองที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับเก้าของนิวซีแลนด์ เป็นต้น อ่านแล้วงงไหมครับ ผมเองยังงงงงเลย ง่ายๆก็คือเขาชอบจัดอันดับ (ถ้าไม่ใหญ่สุดเอาเลขรองๆลงมาก็ได้) สถานที่ต่างๆเพื่อโปรโมทการท่องเที่ยว –แต่ผมว่ายังไงๆก็สู้ธูปยักษ์ ขนมเปี๊ยะยักษ์ ต้มย้ำหม้อยักษ์ไม่ได้หรอก
 
หากใครจะมาเดิน Tongariro crossing จะต้องมาพักนอนกันใกล้ๆ อุทยานฯ จะมีแบคแพคเกอร์และโรงแรมอยู่หลายเจ้าคอยให้บริการ ราคาก็ตั้งแต่ 16เหรียญจนถึง อาจจะเกิน 100 เหรียญ ซึ่งย่านแถวนี้ตรงนี้เขาเรียกกันว่า  “National park” ผมก็งงเหมือนกันว่าทำไมจึงชื่อนี้ แต่ก็ดูตามแผนที่เอา จากที่พักจะอยู่ห่างอุทยานฯประมาณ สิบกว่ากม. และโดยปกติหากต้องการเดิน Tongariro crossing แต่ไม่มีรถมาเอง ก็จะมีรถบริการในทุกๆเช้า ราคา 20 เหรียญ โดยจะออกจากที่พักประมาณ 8 โมงแล้วแต่เจ้า ซื้อตั๋วได้ที่ที่พักเลย รถจะไปส่งเราถึงจุดเริ่มต้นเดิน จากนั้นก็ต้องเดิน เดิน เดิน นับไปอีกราว 8 ชม. จนถึงประมาณ 4-5 โมงเย็น รถก็จะมารอรับที่ปลายทาง พาเราสู่ที่พัก (ไม่ต้องกลัวว่าเดินช้าแล้วจะไม่ทันรถนะครับ จริงๆหนะถ้าเดินช้ามากรถเขาคงไม่รอหรอก แต่ก็ไม่เห็นมีใครตกรถสักคน) สำหรับทริปนี้ก็แนะนำว่าน่าจะนอนที่นี่สัก 2 คืน จะได้ไม่เหนื่อยเกินไปไงครับ แต่รับรองเวลาแน่นอน
 
พูดถึงการเดินทางสู่ Tongarirop  จริงๆแล้วจากเวลลิงตันแค่ขับขึ้นไปตรงๆได้เลยแค่ไม่กี่ชม. แต่ผมดันอ้อมไป Wanganui ก่อน โดยแผนการดั้งเดิมอยากจะไปเที่ยว Mt Taranaki ภูเขาไฟเท่ห์ๆรูปร่างคล้ายสิวบนหน้าผมที่อยู่ทาง West coast แต่ก็จำนนด้วยเวลา ส่วนในเมือง Wanganui ก็ไม่มีอะไรมากเท่าไร เรียกว่าถ้าเวลามีจำกันข้ามไปก็ได้
 
จาก Wanganui ผมอ้อยอิ่งไปเรื่อยๆ จนจะ 5 โมงเย็นอยู่แล้วจึงถึง Tongariro NP แต่อาทิตย์ก็ยังแผดเผาอย่างไม่หยุดยั้ง มองหาแบคแพคเกอร์ที่โทรมาจองไว้ ซึ่งก็อยู่ริมถนนนั่นแล check in เรียบร้อย วางข้าวของและอาหารบางส่วนเพราะเก็บไว้ในรถก็กลัวจะเสีย ดูนาฬิกายังมีเวลาอีกนานก็จะพระอาทิตย์จะลับฟ้าตอนราวๆ 3 ทุ่ม ไปขับรถเล่นกันดีกว่า
 
ใครว่าขับรถในเมืองหนาวไม่ต้องการแอร์ติดรถ คิดผิดคิดใหม่ได้ ยิงโดยเฉพาะหน้าร้อนอย่างนี้ แม้อุณหภูมิพุ่งขึ้นแค่ไม่เกิน 30 แต่อากาศแห้งๆ กับ UV แรงๆเล่นเอาทั้งแสบทั้งร้อน เหนื่อยไปหมด การมาเที่ยวในหน้าร้อนแบบนี้ ครีมกันแดดนั้นเป็นสิ่งจำเป็นมาก และเขาแนะนำว่า SPF ไม่ควรต่ำกว่า 30 ด้วยเนื่องจาก ชั้นโอโซนที่นี่นั้นเบาบางกว่ามาตรฐาน ทำให้ UV บุกจู่โจมอย่างไม่ยั้ง
 
 
อือออออออ เสียงเครื่องยนต์รถคันเล็กๆเก่าๆ ต่อสู่กับระดับความสูงที่ไต่ขึ้นเรื่อยๆ บนเส้นทางหมู่ภูเขาอีกชุดหนึ่งที่เปิดเป็นลานสกี ภูมิประเทศก็เปลี่ยนเป็นแห้งแล้งขึ้นเรื่อยๆเช่นกัน จากที่มีต้นไม้อยู่บางกลายเป็นแค่กอหญ้าแห้งๆ เหลืองอยู่เป็นหย่อมๆ สลับหินภูเขาไฟสีดำมิดหมีตลอดสองข้างทาง เหลียวไปมองข้างหลังเฮ้ยสวยดีหวะ ก็เลยจอดรถถ่ายรูปเป็นระยะ ในที่สุดประมาณ ครึ่ง ชม ก็มาถึงจุดสุดยอด อ้าออออออออออออออออออออ
 
กระเช้าขนส่งสำหรับนักเล่นสกีจอดสงบนิ่งรอการซ่อมแซมและตรวจเช็ค เพื่อรอคอยหน้าหนาวหน้าที่จะมาเยือนพร้อมกับนักเล่นสกีจากทุกซอกของโลก ยอดหิมะน้ำแข็งสีขาวที่มองจากเบื้องล่างบัดนี้เริ่มละลาย หินสีดำมะเมื่อมเริ่มโผล่ ก้อนหินผู้เจียมตนรู้ว่าคงไม่มีหวังที่จะขึ้นไปบนฟ้าได้เป็นแน่ มันจึงได้แค่รอว่าเมื่อไรหิมะขาวจะโน้มโปรยลงมาหามันอีกซักครั้ง
 
สองทุ่มกว่าๆพระอาทิตย์เริ่มลับของฟ้า แสงทองเปลี่ยนเป็นแดงจับทออยู่กับยอดเขาสีขาวให้กลายเป็นชมพูอ่อนระเรื่อเหมือนแก้มสาวไวใส อุณหภูมิเริ่มลดต่ำอย่างรวดเร็ว ผมควักว่ากล้องออกมาถ่ายได้ไม่กี่รูปก็ต้องรูปกลับเข้าที่พักเพราะมันหนาวเกินกว่าจะทนไหว ไปเปิดตู้เย็นหาอะไรกินดีกว่า เหมื่อมองออกไปนอกหน้าต่างท้องฟ้าจากสีแดงค่อยกลายเป็นสีน้ำเงินเข้มจนถึงดำ แล้วดาวน้อยก็โผล่มาขับกล่อมผมให้หลับไปใต้ถุงนอนบางๆ กะว่าพรุ่งนี้แต่เช้าจะได้ฤกษ์ปีนป่ายภูเขากันเสียที
 
ทุ่มเศษๆ ผมนั่งลุ่นอยู่หน้าทีวีที่กำลังรายงานสภาพอากาศ แล้วก็เป็นไปดังคาด อีก3-4 วันข้างหน้า รูปเมฆดำปิ๊ดปี๋ เสนอหน้าออกมาทั่วเกาะเหนือ นั่นก็แปลว่า ถ้าฝนไม่ตกท้องฟ้าก็คงจะสีขุ่นมัวตลอด สำหรับบางคนผู้ไม่หวั่นต่อดินฟ้าอากาศก็คงจะไม่ยี่หระเท่าไรกับสภาพอากาศโลเลแบบใจคนเช่นนี้หรอก แต่สำหรับผู้กระหายการถ่ายรูปเป็นชีวิตจิตใจอย่างผมคงไม่ดีเป็นแน่แท้ แม้บางครั้งการถ่ายรูปกลางฟ้าฝนอาจเป็นอีกหนึ่งความแปลก แต่ถ้าเลือกได้ ขอฟ้าใสให้เป็นทางเลือกอันดับต้นๆจะดีกว่าครับ ค่ำคืนนั้นผมเลยต้องงัดแผนที่ที่ไปหยิบมาจาก information center ตามเมืองต่างๆมานั่งดูอีกรอบ(วันนี้แต่เช้า ดูไปแล้ว 4 รอบ) แผนการเปลี่ยนแปลงได้วันละหกเวลาทั้งก่อนและหลังอาหาร นี่หละครับข้อดีของการเดินทางคนเดียว (ไม่นับถึงข้อเสียอีกร้อยข้อ เช่น จ่ายตังคนเดียว หลงทาง พูดกะเขาไม่ค่อยรู้เรื่อง คิดไม่ออกว่าจะทำอะไรกินดี ที่ร้ายแรงที่สุดก็คงเป็นไอ้เจ้าความเหงาที่มันเป็นเหมือนโรควัวบ้ายิ่งกว่าไข้หวัดนกที่กร่อนหัวใจอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน)
 
จาก Tongariro National park สามารถไปถึง Taupo ทะเลสาบน้ำจืดที่ใหญ่ที่สุดในนิวซีแลนด์ภายใน ชม เศษๆ หรือจะเลยไป โรโตรัว เมืองสุดโด่งดังแห่งบ่อโคลนเดือนและกลิ่นกำมะถันจากความร้อนใต้พิภพ ภายใน 2 ชม. เศษๆ ด้วยความเร็วคงที่ไม่เกิน 100 กม/ ชม. (ถ้าอยากไปถึงจุดหมายเร็วกว่านี้ คุณอาจจะต้องเสียค่าปรับให้ ตำมะรวจ เป็นจำนวนเงินที่อาจจะแพงกว่ารถมือสองสักคัน อย่างน้อยก็แพงกว่ารถผมแน่ๆ)
แต่ถ้าไปเที่ยวท่ามกลางสายฝนคงไม่สนุกแน่ บ้างบอกว่าไปเชื่อทีวีทำไม ผมค่อนเชื่อจากประสพการณ์ที่ผ่านมา อย่าหาว่าผมงมงายเลยนะครับ อิอิ
 
ทีนี้ก็เลยมองแผนที่เฉียงไปทางเหนือๆอีกหน่อย ก็เหลือบไปเห็น ถ้ำไวโตโม จริงๆแล้ว ไอ้ถ้ำนี้ก็โด่งดังอยู่ใช่ย่อย แต่ตอนแรกมันอยู่นอกเส้นทางที่วางไว้ ก็เลยตบเข่าเอาวะ ไปไวโตโมเคปกันดีกว่า ที่โด่งดังของถ้ำนี้คือ Glow warm หรือหนอนเรืองแสง ไม่ใช่หิ่งห้อยนะครับ 
 
ระยะทาง 2 ชม กว่าๆ เลี้ยวซ้ายเข้าแยกไม่เล็กไม่ใหญ่ไปอีก 10 กิโลเมตร ไปหาที่นอนก่อน 
 
ฝนที่ตั้งเค้ามาแต่สายๆกับเมฆสีเทาอ้วนๆ ท้องฟ้าขุ่นคลักไปด้วยหยาดละอองน้ำ บรรยากาศน่านอนสักตื่นใหญ่ๆ แต่เสียดายเวลาที่หมุนไปอย่างไม่กลับ กางหนังสือนำเที่ยวคู่กาย เขาว่ามีน้ำตกใหญ่เลยเข้าไปข้างใน 30 กม!!! 
“น่าสนใจแต่ไกลไปหน่อยไหมหว่า”
“ไม่หรอก แค่เหยียบๆแป็บเดียวก็ถึง” ผมบอกตัวเองเช่นนั้น นี่หละครับข้อดีของการมีรถส่วนตัว (ไม่นับรวมข้อเสียอีก ร้อยข้อ อีกเช่นเคย) 
 
จากครึ่งชม ขยับเป็นสี่สิบนาที ห้าสิบนาที จนเฉียด ชม. จึงถึงจุดเดินเท้าเข้าสู่น้ำตก นับไปอีก 10 นาที ผมก็มายืนอยู่หน้าน้ำตกผืนใหญ่ที่ชื่อว่า…”Marokapo”…มันใหญ่จริงๆคับ คล้ายกับเหวนรกบ้านเรา แต่เตี้ยและล่ำกว่า หล่อไปคนละแบบ หวังว่าคงไม่เป็นเกย์นะ 55
ฝนยังคงตกต่อเนื่อง ต้องเอาร่มกางตลอดเวลา เพราะมิฉนั้น น้ำจะเกาะหน้าเลนส์ ถ่ายรูปไม่ได้อีก มือนึงถือร่ม มือนึงจัดกล้อง โอย โคตรจะทุลักทุเล นี่หละอีกข้อเสียของการเที่ยวคนเดียว กว่าจะได้รูปสักใบ เรียกว่าตัวเปียกเหมือนไปอาบน้ำ กางเกงเลอะโคลน รองเท้ากินน้ำจนอ้วน แต่กล้องห้ามเปียกเด็ดขาด เกิดเป็นกล้องถ่ายรูปนี่น่าสบายจริงๆ เกิดเป็นช่างถ่ายภาพ ชีวิตนั้นแสนอาภัพ อดมื้อกินมื้อ ตัวลำบากไม่ว่า อย่าให้กล้องต้องลำบากตาม เฮ้อออ
 
ก่อนกลับเข้าที่พักผมแอบหยิบโบรชัวร์โฆษณาการท่องเที่ยวที่นี่ ซึ่งส่วนมากจะดำเนินการโดยเอกชนและราคากิจกรรมแต่ละอย่างนี่ แพงระดับมหากาฬในความคิดของผม อย่างเช่นโรยตัวลงในถ้ำลึก 100 เมตร ก็ราว 200 กว่าเหรียญหรือราว 5000 บาท จริงๆก็อยากลองหละครับ แต่เงินขนาดนั้นทั้งเที่ยวทั้งกินได้ทั้งอาทิตย์
 
รุ่งขึ้นผมเตรียมตัวไปเที่ยวถ้ำแต่เช้า ค่าเข้าชมซื้อได้ที่เค้าเตอร์เลย ราคา 25 เหรียญหือ 500 บาท !!! ระยะเวลาราว 1 ชม…………โอ้ จอร์จ มันช่างมหัศจรรย์เสียยิ่งกะไร
ผมเดินตามกลุ่มเข้าไป มีไกด์ 1 คนต่อนักท่องเที่ยวราว 10-15 คน พูดตรงๆว่าถ้ำบ้านเขาสู้ถ้าบานเราไม่ได้เลยครับ แต่ไม่มีหินงอกหินย้อยหักแม้แต่ต้นเดียว!!!
แล้วก็ถึงเวลาลงเรือ ในถ้ำมืดสนิทไม่มีไฟ แม้แต่ไฟฉาย เพราะไฮไลท์ก็คือเจ้าหนอนเรืองแสงนับล้านๆที่เกาะอยู่ตามผนังซ้ำ ดูแพรวพราวราวกับทางช้างเผือก สีเขียวครามๆเรืองรองตลอดการล่องเรือ คล้ายๆสติกเกอร์รูปดาวเรืองแสงที่แปะอยู่หัวเตียงบ้านคุณหละครับ แต่ที่นี่มีเป็นล้าน! 
 
ไกด์บอกห้ามพูดกัน ก็ไม่มีเสียงพูดกันสัก 1 เดซิเบล และแน่นอน ไม่มีเสียงมือถือด้วย
 
ไอ้หนอนเรืองแสงมีอัตะชีวประวัตอย่างไรผมก็ไม่ค่อยแน่ใจเสียแล้ว จำได้เลาๆว่ามีเฉพาะที่นิวซีแลนด์กับ ออสเตรเลียเท่านั้น แล้วเขาก็โม้ว่าที่นี่คือ สภาวะแวดล้อมที่นี่เหมาะสมที่สุดของการเจริญเติบโตของหนอน ก็ตีความได้เลาๆว่า หนอนที่นี่น่ามาดูมาเที่ยวที่สุด ไม่รู้จริงไหม
 
ไกด์พาเรือวิ่งไปตามสายเคเบิ้ลที่ขึงไว้ตามซอกหลืบต่างๆอย่างคล่องเคล่ว พักใหญ่ๆ ก็จบการล่องเรือดูความมหัศจรรย์ของธรรมชาติ
 
มองการจัดการของเขาแล้วก็มองย้อนกลับมาดูการจัดการท่องเที่ยวในเมืองไทย หลายคนบอกว่าอยากให้เอาการจัดการแบบนั้นมาใช้บ้านเราบ้าง ผมบอกได้เลยว่าไม่เวิร์คครับ เพราะพื้นฐานของคนเที่ยวนั้นต่างกัน เขาใช้คนไม่กี่คนคุมระบบทั้งระบบ เพราะเขาเชื่อใจและไว้ใจ นักท่องเที่ยว เขาถือว่าโตๆกันแล้วพูดกันรู้เรื่องส่วนเด็กก็มีผู้ใหญ่คุมและสอน ถามกลับอย่างจริงใจว่า ถ้าเอาป้ายห้ามเด็ด ห้ามจับห้ามเข้า ห้ามถ่ายรูป มาติดที่ท่องเที่ยวบ้านเรา มันจะได้ผลไหม คนไทยมีนิสัยอย่างนึงคือขาดระเบียบวินัยและจิตสำนึกที่ดี ไม่ได้เหมารวม แต่เชื่อว่าทุกคนคงเข้าใจนะครับ 
 
ปีกลายผมไปเที่ยวถ้ำเลเขากอบที่ จ.กระบี่หรือตรังนี่หละ(ถ้าจำไม่ผิด) สวยครับ หินงอกหินย้อย แต่หักกุดเกือบทุกต้น เห็นแล้วเวทนาตัวเอง ทำไมนา เด็ดไปแล้วก็เอาไปทิ้งจะเด็ดไปทำไม
 
หรืออย่างเช่นลำคลองงู ที่กำลังโด่งดัง เจ้าหน้าที่ 1 คนต่อ นักท่องเที่ยว 10 คน ขนาดเจ้าหน้าที่กำชับว่าอย่าจับผนังถ้ำ (ถ้ำน้ำตกถือเป็นถ้ำที่สวยมาก แต่ก็บอบบางมากด้วย) แต่ก็ไม่วายมีชายหนึ่งคนเอามือไปลูบ เจ้าหน้าที่ก็น้ำท่วมปาก พูดอะไรไม่ออก แล้วถ้าวันหนึ่งเสาหินที่สูงที่สุดในโลกแห่งนี้ เต็มไปด้วยรอยจารึกวันที่และชื่อผู้มาเยือน คุณจะรู้สึกเช่นไร
 
ดังนั้นการปลูกฝังจิตสำนึกที่ดีแต่เด็กจึงจำเป็นและเร่งด่วนครับ ก่อนที่มันจะเลือนหายไปจากสังคมไทยโดยสมบูรณ์ ….
 
ผมไม่ชอบเลยครับสุภาษิตที่ว่า ทำอะไรตามใจคือไทยแท้ หรือไอ้พวกที่ว่า กฏมีไว้แหก นี่
 
ดังนั้นจึงไม่อยากให้รัฐบาลเหมาเอาว่าทีฝรั่งมันยังใช้แล้วดีเลย เอามาใช้บ้างก็ต้องดีตาม อย่างเช่นจะสร้างกระเช้าขึ้นเชียงดาว โดยอ้างเหตุผลว่าคุมได้ มีมาตรการรองรับ มองตัวเองให้ดีครับ ดูดีๆแล้วค่อยทำดีกว่า นั่งเทียนเอาว่าดีแล้วพอเอาเข้าจริงก็ต้องสูญเสียทรัพยากรมากมาย เพราะการไม่ยอมรับความเป็นจริงของตัวเอง
บนเส้นทางหลวงหมายเลข 30 แผนที่แผ่นพับทางหลวงขนาดแจกฟรีขนาดใหญ่ โชว์เส้นสีเหลืองเข้มดูเด่นเป็นสง่า เส้นทางสายนี้เป็นเส้นทาง Scenic view point หรือทางหลวงประเภทวิวข้างทางสวยงามนั่นเอง มันตัดจากแถวๆ waitomo สู่ Rotorua ถ้าฝนไม่ตกเมฆไม่ดำ เส้นทางเส้นนี้อาจเป็นอีกหนึ่งความงามที่ไม่ควรพลาดก็เป็นได้
 
บรรยากาศครึ้มฟ้าครึ้มฝน เมฆเทาลอยอ้อยอิ่ง ผมคิดกับตัวเอง ทำไมท้องฟ้า หรือท้องเทานี้มันต่ำจังวะ 
ท้องฟ้า สายลมและแสงแดดนั้นแปรผันตรงต่อจิตใจของคนเสียจริงๆ วันไหนท้องฟ้าขุ่นมัว ชีวิตเราก็ดูจะมั่วๆไปตามสีสัน วันไหวฝนโปรย ชีวิตก็จะก่อสารอนุมูลอิสระพันธ์ที่มีชื่อว่า เหงา เข้าโจมตีระบบร่างกาย ยาแก้ขนานเดียวที่จะเพิ่มแอนตี้บอดี้ให้ร่างกายมีชื่อว่านายแสงแดด และนางฟ้าใส ผมขับรถผ่านทางหลวงหมายเลข30 บรรยากาศครึ้มฟ้าครึ้มฝน เมฆเทาลอยอ้อยอิ่ง ผมคิดกับตัวเอง ทำไมท้องฟ้า หรือท้องเทานี้มันต่ำจังวะ 
ท้องฟ้า สายลมและแสงแดดนั้นแปรผันตรงต่อจิตใจของคนเสียจริงๆ วันไหนท้องฟ้าขุ่นมัว ชีวิตเราก็ดูจะมั่วๆไปตามสีสัน วันไหวฝนโปรย ชีวิตก็จะก่อสารอนุมูลอิสระพันธ์ที่มีชื่อว่า เหงา เข้าโจมตีระบบร่างกาย ยาแก้ขนานเดียวที่จะเพิ่มแอนตี้บอดี้ให้ร่างกายมีชื่อว่านายแสงแดด และนางฟ้าใส (คู่นี้เขาเป็นผัวเมียกันครับ บางวันตีกันก็แยกกันอยู่ บางวันดีกันก็อยู่ด้วยกัน แต่ส่วนมากแล้ว พอเข้าหน้าหนาวทีไร เขาก็จะอยู่ด้วยกันเสมอ คงจะเป็นโรคขี้เหงาเหมือนผม)
ผมก็เป็นคนหนึ่งที่โหยหาและถวิลหาแสงแดดและฟ้าใส เนื่องจากตอนกลางของเกาะเหนือถูกมานฝนกางกั้นทั้งหมดแล้ว มีแต่ทางตะวันออก ของเกาะที่มีแสงแดด นั่นก็เลยเป็นเหตุผลที่ผมจะต้องเปลี่ยนแผนแล้วเปลี่ยนเล่า และตอนนี้ผมก็กำลังมุ่งหน้าสู่ Taupo เพื่อตัดข้ามไปสู่ oppotiki
จากเมฆดำกร่ำฟ้าค่อยๆกลายเป็นฟ้าสดใสอย่างไม่น่าเชื่อ 
ถนนเรียบทะเลที่ทางนิวซีแลนด์พยายามโปรโมทให้เป็นเส้นทางท่องเที่ยว แต่นั่นก็ยังเป็นเพียงความพยายาม อาจมีนักท่องเที่ยวผู้สรรหาความแปลกใหม่หลบเร้นความจำเจมาบ้างแต่ ความจริงที่ว่า มันไม่ไดสวยโดดเด่นอย่างแท้จริงมันก็จะไม่ดัง ก็คงต้องอาศัยแรงโฆษณาชวนเชี่อเพื่อชักจูงนักท่องเที่ยวกันต่อไป แต่อย่าให้เป็นแบบเมืองไทยเลยครับ โฆษณาเกินจริงบ่อยๆไปมันจะกลายเป็นเด็กเลี้ยงแกะเอา
 
จาก oppotiki ก็ตั้งใจจะเลยไปเรื่อยใหถึง East cape แต่ทะเลข้างทางยังสวยไม่ถูกใจเท่าไร รังว่าขับไปคงร้อนและเสียเวลาและน้ำมันมากขึ้นไปอีกค่ำคืนนี้ผมจึงแวะหยุดพักที่oppotiki
แวบแรกที่นี่แทบไม่น่าเชื่อว่านี่คือนิวซีแลนด์ เงียบเสียจนบางทีก็ดูน่ากลัวสำหรับนักท่องเที่ยวหน้าแปลกๆอย่างผม
ที่นี่เป็นเมืองของเมารี ชนชาติพื้นเมือง ลักษณะของเมารีสังเกตง่ายๆครับว่าตัวใหญ่ไม่ใช่ชาวยุโรบ ผิวคล้ำ มีรอยสักเต็มไปหมด หลายคนพอไปถึงนิวซีแลนด์บอกว่าอยากไปดูระบำเมารี และส่วนมากก็ไปดูตามโรงละครหรือตามภัตาคารสถานที่ดังๆเช่น Rotorua แต่นี่ผมมาเจอของจริงแบบตัวเป็นๆ ก็นึกถึงบ้านเราที่พวกอยากไปดูชาวเขาเผ่าต่าแต่งตัวตามประเพณี บางคนเลยนึกเลยไปว่าเขายังแต่งกันยังงั้นอยู่หากแต่ในชีวิตจริงๆเขาก็เหมือนเราๆนี่ หละครับ เสื้อยืดกางเกงขาสั้น ไม่ว่าจะเป็นระบำเมารี หรือชุดประจำเผ่าม้งคงมีให้เห็นตามแหล่งเงินแหล่งทองเพียงแค่นั้น
ที่พักที่นี่นับว่าเป็นที่พักที่ถูกที่สุดตั้งแต่ผมพักมาและคาดว่าจะถูกที่สุดตลอดทริปนี้ คืนละ12$เอง มีคนพักอยู่พอควรแต่ส่วนมากแล้ว เขาทำงานเป็นพวกเก็บผลไม้อยู่ที่นี่ พวกนี้ก็มาจากหลายๆที่ในโลก มาทำงานเก็บตั้งพอหมดฤดูกาลก็เริ่มออกท่องเที่ยว 
ค่ำคืนนี้ไม่มีอะไรพิเศษไปกว่านั่งพูดคุยกัน 
“มาจากไหนครับ” 
แล้วเขาก็บอกว่ายังงี้ต้องไปวาดธงชาติเพิ่มที่รั้วบ้านแต่พอเดินออกไปดูผมกลับประหลาดใจกว่าเพราะว่าธงสามสีของเราได้ประดับอยู่บนรั้วมานานแล้ว (สังเกตได้จากสี)
 
หาที่หลบฝนได้อีกหนึ่งคืน แต่รู้สึกว่าจะออกนอกลู่นอกทางมาพอดู 
คงถึงว่าลาต้องดั้นไปตามแผนเดินสักที 
 
พรุ่งนี้ล้อจะหมุนอีกครั้งแม้รู้ว่าข้างหน้าอาจไม่ได้มาซึ่งสิ่งที่ต้องการ
error: บทความทั้งหมดเป็นลิขสิทธิ์ของไปไหนมาดอทคอม