Day 1 : Bangkok – Delhi – Srinagar – Shalima Garden – Nishat Garden – Lake Dal
- พบกันที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ
- ออกเดินทางสู่เมืองนิวเดลี
- ถึงท่าอากาศยานนานาชาติอินทิราคานธี เมืองนิวเดลี รับสัมภาระจากนั้นรอเวลาเปลี่ยนเครื่องเพื่อเดินทางต่อไปยังศรีนาการ์
- เดินทางต่อไปยังศรีนาการ์ (Srinagar) โดยสายการบินภายในประเทศ เดินทางถึงเมืองศรีนาการ์ เมืองหลวงของแคว้นจามมูและแคชเมียร์ ตั้งอยู่ในหุบเขาแคชเมียร์ ที่ระดับความสูง 1,730 เมตร ได้ชื่อว่าเป็นดินแดนแห่งทะเลสาบและสายน้ำ สวนดอกไม้และงานศิลปะที่ประดิษฐ์จากไม้
- หลังอาหารกลางวันชม สวนชาลิมาร์ (Shalimar Garden) หรือสวนแห่งความรัก เป็นสวนที่ตั้งอยู่ ณ เชิงเขาที่ทอดยาวไปยังทะเลสาบเบื้องหน้า สวนแห่งนี้ยังแสดงให้เห็นถึงภูมิปัญญาของคนสมัยโบราณ ที่มีการสร้างน้ำพุเรียงกันเป็นแนวยาว และใช้แรงดันน้ำที่ไหลลงมาจากภูเขา ประกอบกับการตกแต่งสวนที่มีดอกไม้นานาพันธุ์แข่งกันเบ่งบานอวดสีสันอันสวยงาม
- ชม สวนนิชาท (Nishat Garden) ถือได้ว่าเป็นสวนสำหรับการพักผ่อนที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในรัฐจัมมูแอนด์แคชเมียร์ ฉากหลังของสวนแห่งนี้ติดกับเทือกเขาซาร์วาวาลที่มีความยิ่งใหญ่และมีหิมะปกคลุม นอกจากนี้ยังมีต้นเมเปิ้ลขนาดใหญ่ที่มีอายุยาวนานกว่า 400 ปี โดยสวนแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นโดยพระบัญชาของพระเจ้าอาซาฟข่านเพื่อมอบเป็นของขวัญให้กับพระนางนูรชาฮาน ผู้เป็นน้องสาว
- Lake Dal ทะเลสาบที่ใหญ่ที่สุดในแคชเมียร์ มีเกาะเล็กเกาะน้อยอยู่กลางทะเลสาบ ชาวบ้านจะใช้พื้นที่นั้นในการเพาะปลูกอีกด้วย ชมภาพวิวทิวทัศน์ของทะเลสาบที่ล้อมรอบด้วยภูเขาหิมะ
Day 2 : Jamia Masjid – Sonsmarg – Kargil
- ชม มัสยิดจามา (Jamia Masjid) มัสยิดแห่งนี้มีสถาปัตยกรรมเป็นเอกลักษณ์คือมีโครงสร้างเป็นหอคอยทรงพีรามิด และมียอดแหลมคล้ายกับเจดีย์ ทั้งยังมีระเบียงโดยรอบ และมีซุ้มประตูทางเข้าอีกด้วย สันนิษฐานว่าอาจปรับแบบมาจากศาสนสถานเดิมในดินแดนแถบนี้ซึ่งเป็นศาสนาพุทธและฮินดูผสมกัน นอกจากนั้น มัสยิดแห่งนี้ยังมีประวัติศาสตร์อันยาวนานคู่กับแคชเมียร์ เนื่องจากได้รับการบันทึกไว้ว่าสร้างมาตั้งแต่ราวปลายคริสต์ศตวรรษที่ 14
- เมืองโซนามาร์ค บริเวณริมฝั่งข้างทางจะมีทุ่งหญ้าสีเหลืองที่เต็มไปด้วยดอกมัสตาร์ดที่สวยงาม แวะเก็บภาพเป็นที่ระลึก
- นอกจากนี้แล้วยังผ่านป่าวอลนัทที่ปลูกเรียงรายตลอดสองข้างทาง
- Kargil เป็นเมืองที่ตั้งอยู่ในบริเวณเทือกเขาหิมาลัย เคยอยู่ใจกลางความขัดแย้งระหว่างอินเดียและปากีสถาน เป็นเมืองที่มีอากาศเย็นตลอดทั้งปี และเป็นเมืองแห่งมุสลิม
- คืนนี้พักผ่อนกันที่ คาร์กิล
Day 3 : Kargil – Lamayuru – Moonland – likir – Alchi Monastery Leh
- วัดลามายูรู (Lamayuru Monastery) วิถีชีวิตและวัฒนธรรมเก่าแก่ มีเรื่องเล่าในตำนานว่า บริเวณที่ตั้งของวัดแห่งนี้เคยเป็นทะเลสาบอันกว้างใหญ่และเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของพญานาค มีคำทำนายระบุไว้ว่า บริเวณที่ตั้งของวัดแห่งนี้จะเป็นสถานที่ๆ พระพุทธศาสนาจะเจริญสูงสุด และในปัจจุบัน วัดลามายูรู ก็เป็นสถานที่ ที่ผู้ต้องการศึกษาพระธรรมคำสอน เดินทางมาหาความสงบ ศึกษาพระธรรม และปฎิบัติธรรมกันเป็นจำนวนมาก
- มูนแลนด์ (Moonland) แวะพักถ่ายรูปกันที่ moonland อันเป็นทัศนียภาพอันแปลกตาเหมือนเราอยู่บนพระจันทร์
- วัดลิกีร์ (Likir Gompa) จุดชมวิวที่น่าสนใจอีกจุดบนเส้นทางนี้ เป็นวัดนี้มีพระพุทธรูปพระศรีอาริยเมตไตรย์ขนาดใหญ่ ที่ฉากหลังเทือกเขารายล้อม กอปรกับทิวทัศน์ระหว่างทางไปสู่วัดที่เป็นถนนผ้าพับบนไหล่เขา ชมรูปปั้น พระโพธิสัตว์ Sakyamuni , Maitreya และ Tsong Khapa รวมถึงภาพวาดหายากที่ริมระเบียงวัด
- Alchi Monastery กลุ่มอนุสรณ์สถานและอารามที่ได้ชื่อว่าเก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งในเขต ลาดักห์ มีอายุยาวนาน กว่า 1000 ปี มีวัดสำคัญสองแห่งในเขตนี้ คือ Lakhang Soma และ Lotsabha Lakhang ที่ตบแต่งด้วยงานไม้แกะสลักฝีมือเยี่ยม รวมถึงจิตกรรมฝาผนังที่สวยงามที่สะท้อนถึงจิตวิญญาณแห่งกษัตริย์ฮินดูและกษัตริย์แห่งแคชเมียร์ในกาลเวลาที่ผ่านพ้นไป
- คืนนี้พักผ่อนกันที่ เลห์
Day 4 : Delhi – Leh – Leh palace – Shanti Stupa – Leh
- เดินทางต่อไปยังเลห์ (Leh) เมืองหลวงของอาณาจักรลาดักห์แห่งเทือกเขาหิมาลัย เป็นเมืองที่มีพื้นที่ใหญ่เป็นอันดับสองของอินเดีย อยู่ที่ความสูง 3,500 เมตรจากระดับน้ำทะเล ศูนย์กลางการค้าที่ระหว่างลุ่มแม่น้ำสินธุ ทิเบต แคชเมียร์ รวมถึงจีนมาร่วมศตวรรษ สินค้าสำคัญในขณะนั้นคือ เกลือ เมล็ดข้าว ขนสัตว์ ผ้าไหม เป็นต้น ชาวลาดักห์ประกอบไปด้วย คนเชื้อสายอินโด-อารยัน และเชื้อสายทิเบต เป็นเขตที่มีประชากรเบาบางที่สุดในเขตแคชเมียร์ นับถือศาสนาพุทธนิกายมหายานแบบทิเบตเป็นหลัก
- Leh Palace พระราชวังที่เคยเป็นที่ประทับคงราชวงศ์ผู้ครองนคร สร้างเมื่อ ศตวรรษที่ 16 หรือเกือบ 500 ปีมาแล้ว ตั้งโดดเด่นอยู่กลางเมืองเลห์ สูง 9 ชั้น มีลักษณะรูปแบบสถาปัตยกรรมใกล้เคียง กับพระราชวังโปตาลาในทิเบตคือมีผนังเอียงเข้าหากันทุกด้าน
- Shanti Stupa เจดีย์สีขาว สร้างขึ้นโดยชาวญี่ปุ่นเพื่อประกาศพระศาสนาและแสดงถึงสันติภาพแห่งโลก ตั้งอยู่บนยอดเขาในแถบจังสปา อยู่ไม่ไกลเมืองเลห์เท่าไหร่ จากเจดีย์เราสามารถมองเห็นเมืองเลห์ได้ในมุมสูง
- คืนนี้พักผ่อนกันที่ เลห์
Day 5 : Leh – Thiksey – Shey Palace – Hemis Monastery – Leh
- Thiksey Monastery ที่นี่มีสถาปัตยกรรมที่ใกล้เคียงกับวังโปตาลาในธิเบต จึงได้ชื่อว่าเป็นทิเบตน้อย เป็นวัดในนิกายหมวกเหลือง หรือ นิกายเกลุกปะ อยู่ไม่ไกลจากพระราชวังเชย์ ภายในวิหารเป็นที่ประดิษฐานพระศรีอริยเมตไตรย์ซึ่งมีความสูงเท่าอาคารสองชั้น หากเวลาเหมาะสมจะได้ชมพิธีทำวัดเช้าของลามะที่ประจำอยู่ที่วัดนี้
- Shey Palace สร้างเป็นวังฤดูร้อน เนื่องจากในสมัยก่อนเมือง shey เป็นเมืองหลวงในช่วงฤดูร้อนของอาณาจักรลาดักห์ สร้างโดยกษัตริย์ Deldan Namgyal เพื่อ ระลึกถึงผู้เป็นพระบิดา Singge Namgyal กำแพงพระราชวังถูกฉาบด้วยทองคำผสมทองแดง ภายในมีรูปปั้นของพระศากยมุนี ที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคนี้
- Hemis Monastery วัดเฮมิสเป็นวัดทิเบตนิกายหมวกแดง อายุ 450 ปี เป็นวัดเก่าแก่ที่มีชื่อเสียงที่สุดในเมืองลาดักห์ สร้างขึ้นเมื่อพุทธศตวรรษที่ 17 โดย King Sengge Namgyal ผู้สร้างพระราชวังเลห์ เป็นที่เก็บ ทังก้า (Tangka) พระปทุมสมภพอายุมากกว่า 300 ปี อันสมบัติลํ้าค่าของชาวลาดักห์
- คืนนี้พักผ่อนกันที่ เลห์
Day 6 : Leh – Khardung la pass – Diskit Monastery – Hunder Sand Dune – camel ride – Nubra
- คาร์ดุง ลา (Khardung La Pass) จุดที่สูงที่สุดของถนนสายเลห์-นูบร้า มีความสูงราว 5,600 เมตร จากระดับน้ำทะเล สามารถเห็นแนวเขาคาราโครัม แห่งปากีสถาน ที่มีหิมะปกคลุมนูบร้าวัลเลย์ ซึ่งเส้นทางช่วงนี้ ถนนที่เราผ่านจะคู่ขนานไปกับแม่น้ำ จนถึงหุบเขานูบร้าได้ชื่นชมความงามความสดชื่นตลอดเส้นทาง
- Diskit Monastery วัดเก่าแก่ และใหญ่ที่สุดในแถบนูบร้าวัลเล่ย์ สร้างในปี 1420 มีพระพุทธรูปองค์ใหญ่ เห็นโดดเด่นอยู่ด้านหน้าวัด และเป็นจุดชมวิวที่ดีอีกจุดหนึ่งที่สามารถเห็นหมู่บ้านดิสกิตและหมู่บ้านฮุนเดอร์ที่อยู่ทางซ้ายมือที่ไกลออกไปได้
- Hunder Sand Dune ขี่อูฐสองหนอก ที่ทะเลทรายฮุนด้า (Hunder Sandune) ทะเลทรายสีขาว เมื่อมองไปสุดลูกหูลูกตาจะเห็นภูเขาที่มีหิมะปกคลุมพร้อมเนินทรายอยู่ข้างหน้า
- Nubra ที่อยู่ทางตอนเหนือของเลห์ เป็นพื้นที่ที่อุดมสมบูรณ์และมีแม่น้ำชย็อก (Shayok river) ไหลผ่าน มีอากาศอบอุ่นกว่าเลห์ และมีความสูงที่ต่ำกว่าเลห์ ทำให้อากาศสบายๆ และเหมาะแก่การปลูกผลไม้ เช่น แอปเปิ้ล แอปปิคอตช่วงกรกฎาคม – สิงหาคม ทุ่งดอกไม้สองข้างทางจะเต็มไปด้วยดอกไม้
- คืนนี้พักผ่อนกันที่ นูบร้า
Day 7 : Nubra – Pangong Lake
- ทะเลสาบแปงกอง (Pangong Lake) หรืออาจจะได้ยินกันว่าผางกงโฉ (Pangong Tso) เป็นทะเลสาบน้ำเค็มที่อยู่สูงที่สุดในโลก คือมีความสูงถึง 4320 เมตร จากระดับน้ำทะเล น้ำในทะเลสาบแห่งนี้มีสีสันที่งดงามมาก โดยเฉพาะในช่วงเย็นน้ำจะมีสีน้ำเงินเข้ม และจะเปลี่ยนสีไปเรื่อยๆตามมุมของดวงอาทิตย์ที่ส่องแสงกระทบผืนน้ำ
- คืนนี้พักผ่อนกันที่ แปงกอง
Day 8 : Pangong Lake – Spituk Gompa – Leh – Shopping
- Spituk Gompa เป็นสถานที่เคารพและบูชาของชาวพุทธมาหลายศตวรรษ สามารถชื่นชม วิวทิวทัศน์ พื้นที่กสิกรรม ลุ่มน้ำสินธุของ เมืองเลห์ และ ที่ราบลุ่มแม่น้ำสินธุ ที่ไหลผ่านเมืองเลห์ได้อย่างงดงาม
- เดินทางเข้าสู่เมืองเลห์ ให้ท่านช้อปปิ้ง เลือกซื้อของฝากติดไม้ติดมือได้ตามอัธยาศัย ที่ Main Bazaar ร้านค้าที่นักท่องเที่ยวต้องแวะมาซื้อของที่ระลึกจากทิเบต งานฝีมือโบราณ ผ้าขนสัตว์และเครื่องประดับต่างๆมากมายของชาวพื้นเมือง
- คืนนี้พักผ่อนกันที่ เลห์
Day 9 : Leh – Delhi – Bangkok
- เตรียมตัวเดินทางไปสนามบิน เพื่อเดินทางกลับกรุงเทพฯ
- เดินทางถึงกรุงเทพฯ โดยสวัสดิภาพ พร้อมความประทับใจ
***รายการอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ตามความเหมาะสม***