DAY 1: Bangkok
- นัดพบกันที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ
DAY 2 : Reykjavik – Thingvellir National Park Golden Circle
- ต่อเครื่องไปยัง Iceland
- พาชม อุทยานแห่งชาติซิงเควลลิร์ (Thingvellir National Park) อุทยานแห่งชาติแห่งแรก ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโก้ มีความสำคัญคือ เป็นรอยเชื่อมระหว่างทวีปยูเรเซีย และทวีปอเมริกาเหนือ และยังมีฐานะเป็นสภาแห่งแรกของไอซ์แลนด์
- ชม น้ำตกกูลฟอสส์ หรือ ไนแองการ่าแห่งไอซ์แลนด์ ถือเป็นน้ำตกที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งของประเทศไอซ์แลนด์ และเป็นสถานที่ท่องเที่ยว 1 ใน 3 ที่ไอซ์แลนด์จัดให้อยู่ในเส้นทาง “วงกลมทองคำ” ที่ผู้มาเยือนต้องมาเที่ยวชม สำหรับ ชื่อน้ำตกแห่ง Gullfoss มาจากคำว่า Gull ที่แปลว่าทองคำและ Foss ที่แปลว่าน้ำตก เมื่อรวมกันหมายถึงน้ำตกทองคำ
- ชม น้ำพุร้อนหรือเกย์เซอร์ ซึ่งเป็นน้ำพุร้อนที่พวยพุ่งขึ้นสูงกว่า 180 ฟุต ทุกๆ 7-10 นาที สาเหตุการเกิดน้ำพุร้อนดังกล่าวเนื่องมาจากน้ำในโพรงหินใต้ดิน ได้รับความร้อนจากพลังงานที่อยู่ใต้หินเปลือกโลก เมื่อถึงจุดเดือด จึงขับเคลื่อนน้ำในโพรงขึ้นมา ให้กลายเป็นน้ำพุร้อน
- ชมปล่องภูเขาไฟ Kerid Crater ปล่องภูเขาไฟสีเลือดที่มีทะเลสาบสีเขียวมรกตปรากฏอยู่บริเวณปากปล่อง ซึ่งแม้ว่าจะมีอายุกว่า 3 พันปีแล้วก็ตาม แต่ยังมีสภาพที่สมบูรณ์อยู่
- คืนนี้เราจะพักกันที่ เมือง Selfoss
DAY 3 : Seljalansfoss – Skoga – Dyrholaey – Vik – Klaustur
- ชม น้ำตกเซลยาลันส์ฟอสส์ (Seljalansfoss) มีความสูง 60 เมตร และถือเป็นอีกหนึ่ง Highlihgt ของน้ำตกแห่งนี้ที่ผู้มาเยือนสามารถเดินเข้าไปด้านหลังได้
- ชม น้ำตกสโกก้าฟอสส์ (Skogarfoss) อันมีมวลน้ำขนาดใหญ่ตกมาจากหน้าผาสูง 62 m ความสวยงามตระการตาของน้ำตกที่เห็นอยู่นั้นเกิดจากองค์ประกอบรอบๆ ของตัวน้ำตกและโตรกผาที่สอดประสานกัน
- ชม แหลม Dyrholaey (เดิมเรียกว่าเคปพอร์ตแลนด์โดยชาวอังกฤษ) ตั้งอยู่บนชายฝั่งทางใต้ของไอซ์แลนด์ จุดเด่นของที่นี่คือ หาดลาวาสีดำสนิท ที่ทอดตัวยาวหลายสิบกิโลเมตร โดดเด่นที่บริเวณริมผาจะเห็นประติมากรรมอันถูกสร้างสรรค์จากธรรมชาติ เป็นลักษณะแหลมหินที่มีรูขนาดใหญ่ยื่นลงไปในทะเล เมื่อมองกลับไปด้านหลังจะพบกับธารน้ำแข็ง Mýrdalsjökull glacier
- Reynisfjara Beach หาดทรายสีดำที่ดังที่สุดในเส้นทางIceland ภาคใต้ มี landmark ที่สำคัญคือหน้าผาหิน บะซอลท์ที่ใครๆก็ต้องแวะเวียนมาถ่ายรูป
- ชม Trolls in Reynisdrangar ที่มีตำนานอันลึกลับกล่าวขานว่า พวกปีศาจพยายามแอบลากเรือออกจากฝั่งของเมือง Vik แต่ถูกจับได้ โดยเทพเจ้าแห่งแสงแดดในยามรุ่งสาง เหล่าปีศาจร้ายจึงถูกสาปให้กลายเป็นหินรูปทรงแปลกประหลาดน่าเกลียดน่ากลัวตั้งอยู่กลางท้องทะเล
- เดินทางต่อสู่เส้นทางเลียบชายหาด แวะชม LavaField ซึ่งเป็นทุ่งหญ้ามอสที่ปกคลุมอยู่บนหินลาวา เมื่อถ่ายภาพออกมา จะกลายเป็นภาพที่แปลกตาแต่สวยงาม
- คืนนี้เราจะพักกันที่ เมือง Klaustur
Day 4 : Skaftafell – Svartifoss – SvinafellsJokull – Vatnajokull Jokulsarlon – Hofn
- ชม อุทยานแห่งชาติ Skaftafell อันมีภูมิประเทศคล้ายคลึงกับเทือกเขา Alp มีลักษณะเป็นเขตธารน้ำแข็งที่ก่อต่อขึ้นมาหลายพันปีจากอิทธิพลการระเบิดของภูเขาไฟใต้ธารน้ำแข็งที่ทำให้เกิด Glacier Floods
- ชม ธารน้ำแข็ง SvinafellsJokull อันมีลักษณะเป็นกราเซียที่เกิดจากธารน้ำแข็ง Vatnajokul ผู้มาเยือนสามารถถ่ายภาพกับวิวกลาเซียและก้อนน้ำแข็งขนาดใหญ่ที่ลอยอยู่ในทะเลสาบเบื้องล่างอันแสนพิเศษนี้
- ธารน้ำแข็งเรียกว่า Vatnajokull มีขนาด 8,300 ตร.กม. เท่ากับธารน้ำแข็งทั้งหมดในทวีปยุโรปรวมกัน และขนาดความหนามากที่สุดประมาณ 1,000 เมตร ซึ่งถือว่ามีขนาดใหญ่เป็นอันดับสองของทวีปยุโรป
- ชม โจกุลซาลอน (Jokulsarlon) ซึ่งถือเป็นทะเลสาบธารน้ำแข็งที่ใหญ่ที่สุดในไอซ์แลนด์ ธารน้ำแข็งแห่งนี้ เกิดขึ้นครั้งแรกในช่วงปี 1934-1935 ต่อมาจึงเกิดการละลายเรื่อยๆ จนเพิ่มพื้นที่มากขึ้นในทุกๆ ปี
- ชม AMPHIBIAN BOAT TOUR ล่องเรือชมความงามของภูเขาน้ำแข็งขนาดใหญ่ท่ามกลางทิวทัศน์อันสวยงามแปลกตา ตื่นตากับธารน้ำแข็ง 1000 ปี หากโชคดีอาจจะเจอแมวน้ำรอต้อนรับ
- คืนนี้เราจะพักกันที่ Hofn
Day 5 : Hofn – Dettifoss – Hverarondor Hverir – Goda foss Akureyri
- เตรียมตัวเดินทางสู่ใจกลางประเทศไอซ์แลนด์ วันนี้เราจะลัดเลาะไปตามแนว East Fjord มีหน้าผาสูงชันและเลียบไปตามทะเล แวะถ่ายรูปทัศนียภาพอันแปลกตา ที่น่ามองอีกจุดหนึ่งของ Iceland
- เดินทางข้าม Pass Modradalsfjallgurdar อันมีหิมะปกคลุมในช่วงฤดูหนาวตลอดเส้นทาง เราจะเห็นทัศนียภาพเป็นหุบเขาสีขาวสวยงามตระการตา พร้อมมุ่งหน้าสู่เมืองหลวงทางตะวันออกที่ชื่อเมือง Egilstadir
- ชม น้ำตก Dettifoss อันเป็นสถานที่ถ่ายภาพยนต์เรื่อง Prometeus น้ำตกแห่งนี้เป็นน้ำตกที่ใหญ่และทรงพลังที่สุดในทวีปยุโรป ตั้งอยู่ในอุทยานแห่งชาติ Vatnajökull
- ชม สถานีพลังงาน Krafla เป็นสถานีพลังงานความร้อนใต้พิภพใหญ่ที่สุดของประเทศ ขนาด 60 เมกะวัตต์ตั้งอยู่ใกล้ภูเขาไฟ Krafla ในไอซ์แลนด์
- Hverarondor Hverir อันเป็นทางออกของพลังงานความร้อนจากใต้พิภพ เกิดเป็นบ่อโคลนเดือดและควันกำมะถันพวยพุ่งออกมาจากหลุม เดินทางผ่านชมทะเลสาบสีเทอควอยต์ที่มีโรงไฟฟ้าพลังความร้อนพ่นควันฉุยตั้งอยู่เคียงข้าง
- คืนนี้เราจะพักกันที่ เมือง Myvatn
Day 6 : Myvatn – Godafoss – Akureyri
- ชม Hverfjall ซึ่งเป็นภูเขาไฟรูปทรงโคลนและมีขนาดความกว้างของปล่องประมาณ 1 กิโลเมตร สามารถเดินเท้าขึ้นไปที่ปากปล่องเพื่อ ชมวิวของ Lake Myvatn และความอลังการของปล่องภูเขาไฟได้ ซึ่งปากปล่องสูงถึง 463 เมตร
- ชม น้ำตก Godafoss ที่ได้รับฉายาว่า น้ำตกแห่งพระเจ้า “Waterfall of the Gods”
- (เมษายน– กันยายน) พาล่องเรือ ชมปลาวาฬ จะมีโอกาสเห็นวาฬมิงค์
- ชม เมืองอาคูเรย์ริ (Akureyri) เมืองที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ 2 ของประเทศไอซ์เเลนด์ และยังเป็นศูนย์กลางการทำประมง โบสถ์อาคูเรย์รี่ (Akureyrakirkja) สัญลักษณ์ของเมือง สถาปนิกผู้ก่อสร้างโบสถ์นี้คือ Gudjon Samuelsson เป็นคนเดียวกับผู้ออกแบบ Hallgrimskirkja โบสถ์ลูเธอรันนี้ออกแบบเสร็จในปี 1940 ภายในโบสถ์ประกอบด้วยท่อออร์แกน 3200 อันที่นำมาจากประเทศเยอรมันในปี 1961 มีภาพของพระเยซูและเรือทำมือที่แขวนจากเพดาน ตามความเชื่อของชาวนอร์ดิกโบราณ
- อิสระแก่ทุกท่านเพื่อช้อปปิ้งเลือกซื้อสินค้าบนถนนคนเดินเกเรอโตรกาตา (Gerartogata)
- คืนนี้เราจะพักกันที่ เมือง Akureyri
Day 7 : Akureyri – Snæfellsjökull – Kirkjufell – Grundafjord
- เดินทางสู่ Snæfellsjökull เขตภูเขาไฟอายุ 700000 ปีที่มีกลาเซียปกคลุมอยู่ทั่วบริเวณ และภูเขาไฟแห่งนี้ ยังเป็นฉากในนวนิยายเรื่อง Journey to the Center of the Earth
- เข้าสู่เขตเมือง Grundafjordur เมืองเล็กๆริมทะเล อยู่ทางตอนเหนือของคาบสมุทร Snæfellsnes Peninsula ทางทิศตะวันตกของไอซ์แลนด์ อาคารแต่ละหลังถูกสร้างขึ้นมาอย่างเรียบง่าย มีฉากหลังเป็นภูเขาที่ปกคลุมไปด้วยหิมะ
- ชม Kirkjufell ภูเขาทรงหมวก และน้ำตก Kirkjufellsfoss อันเป็นสถานที่สำคัญเลื่องชื่อ ที่หากมาเยือน Iceland แล้ว ต้องห้ามพลาดถ่ายรูปกับสถานที่แห่งนี้
- คืนนี้เราจะพักกันที่ เมือง Grundafjord
DAY 8 : Grundafjord – BlueLagoon – Keflavik
- หลังอาหารเช้าชม ถ้ำลาวา 1 หมื่นล้านปี อันเกิดจากลาวาที่ไหลลงมาสู่ชายฝั่งทะเล และแข็งตัวไม่พร้อมกัน ทำให้เกิดเป็นโพรงถ้ำขนาดใหญ่อยู่ใต้ดิน
- เดินทางเข้าสู่เมืองหลวงเรยาวิค ชม ฮัลล์กรีมสคิร์คยา (Hallgrimskirkja) โบสถ์ใจกลางเมืองที่มีความสูง 73 เมตร เป็นโบสถ์ที่ใหญ่ที่สุดในไอซ์แลนด์และเป็นสิ่งก่อสร้างที่สูงที่สุดเป็นอันดับ 6 ของไอซ์แลนด์ โดยโบสถ์แห่งนี้ถูกตั้งชื่อขึ้นตามชื่อของ ฮัลล์กรีมูร์ เพทูร์สซอน (1614 – 1674) กวีและนักบวชชาวไอซ์แลนด์ เพราะคำว่า “ฮัลล์กรีมสคิร์คยา” ตามศัพท์แปลว่า “โบสถ์ของฮัลล์กรีมูร์”
- ชม Harpa อันเป็น Concert Hall และ Conference Center มีที่ตั้งอยู่ริมอ่าว โดยอาคารแห่งนี้ถูกตกแต่งไปด้วยกระจก 6 เหลี่ยม เมื่อยามสะท้อนแสงอาทิตย์จะทำให้เกิดเป็นประกาย หลากสีสันแตกต่างกันออกไปตามมุมมองที่เรายืนชมอยู่ นับเป็นอีกหนึ่งสถาปัตยกรรมสมัยใหม่ที่หาดูได้ยากในโลก
- ถ่ายรูปกับ Sun Voyager (Solar) สร้างขึ้นเมื่อปี 1990 ชนะเลิศจากการประกวดประติมากรรมเพื่อเฉลิมฉลองกรุงเรคยาวิกครบ 200 ปี Sun Voyeger แทนความหมายของเรือแห่งความฝันที่ออกเดินทางไปตามทิศทางแห่งดวงอาทิตย์ ไปสู่ดินแดนที่ยังไม่ถูกค้นพบ
- มุ่งหน้าสู่ เมือง Keflavik แวะผ่อนคลายกันที่ บลูลากูน (BlueLagoon) หรือทะเลสาบสีฟ้า ซึ่งเป็นน้ำพุร้อนที่มีชื่อเสียงที่สุดของไอซ์แลนด์ สามารถลงไปแหวกว่าย นอนแช่ในบ่อน้ำพุร้อนที่มีอุณหภูมิความร้อนของน้ำเฉลี่ยอยู่ที่ 40 องศาเซลเซียสได้อย่างสบายๆ ทำให้เกิดความรู้สึกผ่อนคลาย อีกทั้งตัวน้ำพุร้อนอันบริสุทธิ์ยังเต็มไปด้วยแร่ธาตุมากมาย ที่เชื่อกันว่าสามารถช่วยรักษาโรคได้อีกด้วย (กรุณาเตรียมชุดว่ายน้ำไปด้วยครับ)
- คืนนี้เราจะพักกันที่ เมือง Keflavik
DAY 9 : Keflavik – Copenhagen
- ออกเดินทางจาก Icelane สู่โคเปนเฮเกน (พาเที่ยวโคเปน ด้วยรถไฟ)
- พาท่านไปถ่ายรูปกับเงือกน้อย little mermaid ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของเมืองโคเปนฮาเก้น ที่กำลังนั่งรอเจ้าชายตามเทพนิยายอันเลื่องชื่อ ของนักเล่านิทานระดับโลกฮันส์คริสเตียน-แอนเดอร์สัน
- Amalianborg Castle พระราชวังที่สร้างขึ้นสำหรับประทับช่วงฤดูหนาว ประกอบด้วยอาคารสี่หลังใหญ่ ล้อมรอบพื้นที่ทรงแปดเหลี่ยม ตรงกลางด้านในนั้นประดิษฐานอนุสาวรีย์พระบรมรูปทรงม้าของผู้ก่อตั้ง Amalienborg ของกษัตริย์เฟรเดอริที่ 5
- พักที่ Copenhagen
DAY 10 : Copenhagen – Bangkok
- เช้า อิสระตามอัธยาศัย ช่วงบ่ายเตรียมกลับไทย
DAY 11 : Bangkok
- เดินทางถึงกรุงเทพมหานครโดยสวัสดิภาพ